มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 720
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 720
จากนั้น ลู่เจิ้งเย๋ไม่ได้ใส่ใจสายตาของคนอื่น ๆ เลย เดินเข้ามาใกล้ ๆ หลัวซิวด้วยความเคารพนอบน้อม และคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ข้าน้อยลู่เจิ้งเย๋ คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
“เจ้า……เจ้าสำนัก?”
ปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตที่ติดตามลู่เจิ้งเย๋มา ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
……
นับจากที่หลัวซิวจากไป ตำหนักวัฏสงสารก็ได้ว่างมาเป็นเวลานาน
ตอนที่จากไปในตอนนั้น หลัวซิวก็ได้มอบเรื่องทุกอย่างในสำนักไท่เสวียน มีเกาเหลียนหง และสวีจิงเหนียนเป็นคนดูแลรับผิดชอบ
วันนี้ ในตำหนักวัฏสงสาร บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย
หลัวซิวนั่งอยู่บนตำแหน่งของเจ้าสำนัก ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ แต่กลับมีความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็น ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
“ผู้คุมกฎสวี ท่านมีอะไรจะพูดหรือ?” เงียบอยู่สักพัก หลัววิวก็ได้มองไปยังสวีจิงเหนียน
“เจ้าสำนัก!” สวีจิงเหนียนคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยความเสียอกเสียใจ: “หนิงซวน อายุยังน้อยไม่รู้จักความได้ล่วงเกินท่านไป โทษสมควรตายจริง ๆ แต่ขอเจ้าสำนักโปรดเห็นแก่ที่ตระกูลสวีของเราได้อุทิศตนให้กับสำนักไท่เสวียน โปรดเมตตาสักครั้ง!”
สีหน้าท่าทางของหลัวซิวไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด และหันไปยังเกาเหลียนหง “ผุ้คุมกฎเกา ท่านมีความเห็นอย่างไร?”
เกาเหลียนหงลุกยืนขึ้น “เรียนท่านเจ้าสำนัก ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งไท่เสวียน ตระกูลสวีมีความดีความชอบ แต่ด้วยเหตุนี้ตระกูลสวีก็ได้รับการคุ้มครองจากไท่เสวียน กลายเป็นตระกูลของราชวงศ์ ที่มีสถานะไม่ธรรมดาในประเทศเทียนหวูในปัจจุบัน”
“จากการตรวจสอบของข้า ในช่วงหลายปีมานี้คนตระกูลสวีเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ อาศัยว่าผู้คุมกฎสวีเป็นคนแรก ๆ ที่ติดตามเจ้าสำนัก ได้ทำเรื่องผิดกฎสำนักอยู่หลายอย่าง”
แม้ว่าเกาเหลียนหงและสวีจิงเหนียนจะเป็นผู้คุมกฎเหมือนกัน แต่เดิมทีเกาเหลียนหงก็เป็นทายาทของสายนภาเสวียนอยู่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องจงรักภักดีก็คือสำนักไท่เสวียน
และก็เพราะเหตุนี้ หลัวซิวจึงได้มอบอำนาจส่วนใหญ่ของผู้คุมกฎ ไว้ในมือของเขา
“ตระกูลสวีช่างเยี่ยมยอดไปเลย!” หลัววิวยิ้มอย่างเย็นชา “คิดว่าเจ้าสำนักอย่างข้าไม่อยู่ ไท่เสวียนก็แซ่สวีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ในตำหนักวัฏสงสารเงียบเป็นเป่าสาก ดั่งเช่นพวกเหว้ยห้าวหราน ก็ไม่มีใครออกมาช่วยพูดแทนสวีจิงเหนียนเลย
“ผู้คุมกฎสวี เห็นแก่ความสัมพันธ์แต่ก่อน เรื่องนี้ข้าจะไม่ติดตามเอาความก็ได้”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หลัวซิวก็ได้มีแผนการอยู่ในใจ และค่อย ๆ กล่าวขึ้นมา: “แต่ถ้าหากข้าไม่ทำอะไรเลย ก็ยากที่จะเป็นที่ยอมรับของทุกคนได้”
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลิดรอนตำแหน่งผู้คุมกฎของท่าน วันหน้าหากข้าไม่อยู่ มีผู้คุมกฎเกาดูแลงานของเจ้าสำนักทั้งหมด!”
สำหรับตระกูลสวี นับตั้งแต่ที่สำนักไท่เสวียนได้เริ่มก่อตั้งขึ้น หลัวซิวก็คาดเดาได้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้
มาตอนนี้ตระกูลสวีมีอิทธิพล ลูกหลานมากมาย บวกกับที่แทนสวีจิงเหนียนติดตามตนมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงมีลูกหลานของตระกูลสวีจำนวนมากได้เข้าสู่สำนักไท่เสวียน และได้มีบางตำแหน่งในสำนัก
สำหรับเรื่องนี้เกาเหลียนหงเองก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะเขาและสวีจิงเหนียนต่างเป็นผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน ดังนั้นจะจัดการกับตระกูลสวีอย่างไร ต้องเป็นหลัวซิวเท่านั้นถึงจะได้
“เจ้าสำนัก หลังจากที่สวีจิงเหนียนจากไป ศิษย์ของตระกูลสวีจำนวนไม่น้อยก็ได้ออกไปจากสำนัก”
วันนี้ เกาเหลียนหงได้มาที่ตำหนักวัฏสงสาร
หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาที่ปิดลงเล็กน้อยขึ้นมา และกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ตระกูลสวีจะเป็นเช่นไร ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แม้ว่าปัจจุบันตระกูลสวีจะมีอิทธิพลในประเทศเทียนหวู แต่ก็มีวันนี้ได้เพราะการคุมครองจากไท่เสวียนของข้า”
“หากตระกูลสวีทำตามหน้าที่อันพึงกระทำของตัวเองก็แล้วไป หากมีจิตใจคิดคดละก็ สำนักไท่เสวียนของข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขาอีก”
อย่างในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ หรือสภาพจิตใจของหลัววิวต่างก็แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บเอาเรื่องของตระกูลสวีมาใส่ใจ
“ปีกว่า ๆ มานี้ ผลการฝึกตนของผู้คุมกฎเกานับว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่น้อยเลย” หลัวซิวยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้าสนทนา
ตอนที่เขาไปจากสำนักไท่เสวียน เกาเหลียนหงพึ่งจะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ แต่ตอนนี้ได้บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นสามแล้ว ความรวดเร็วในการเพิ่มขึ้นของผลการฝึกตนเช่นนี้ ก็นับว่าเร็วมากแล้ว