มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 988
“ปัง!”
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นสั่นไหวดังมาจากบริเวณช่วงกลางเขา หลังจากได้ยินเสียงนั้นหลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นไปตามทิศทางของเสียง แต่สายตากลับถูกบดบังด้วยม่านแสงวิชาห้ามค่ายกลจำนวนมาก ไม่สามารถมองแห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านนาย ต้องมีใครบางคนกำลังบังคับโจมตีม่านป้องกันค่ายกล ข้าสัมผัสได้ถึงออร่าของเทวมังกร” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองพูดเสียงเรียบ เขารู้ดีว่าหากถูกเทวมังกรรู้เข้าว่าเขายอมจำนนต่อหลัวซิว ด้วยอารมณ์ร้ายของเทวมังกรจำต้องทำลายเขาเป็นจุลอย่างแน่นอน
เทวมังกรผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารขั้นสูงแห่งโลกมาร เขาแข็งแกร่งมากเสียจน แม้ว่าหลัวซิวจะแกร่งกว่านี้อีกสิบเท่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลัวซิวไม่ได้เลือกที่จะทำลายค่ายด้วยตนเอง แต่เดินไปตามช่องทางที่คนก่อนหน้านี้ได้เปิดไว้แล้ว ผ่านทะลุม่านป้องกันค่ายกลวิชาห้ามที่เข้มข้นเข้าไป
จากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็ได้มาถึงบริเวณกลางภูเขา แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีพลังกดขี่ที่น่าสะพรึงกลัวที่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ลอยลงมา
พลังกดขี่นี้หนักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาหลายร้อยลูกอยู่บนหลังของเขา เป็นการยากที่จะขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียว
กระทั่งพลังกดขี่นี้ไม่ใช่เพียงแต่เล่นงานมาที่ตัวของเขา ยังเล่นงานไปที่จิตใจของเขาด้วย ราวกับว่ายืนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้าผู้เป็นอมตะ ในเวลานี้ได้สำแดงความยิ่งใหญ่ของตนออกมา ทำให้ผู้คนยอมจำนนและก้มคำนับต่อเขา
จิตใจของหลัวซิวประสบความทุกข์ยากมามากมาย จึงได้มั่นคงอย่างมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากออร่านี้
แต่ถึงแม้เขาจะทนได้ แต่ออร่านี้พุ่งทะลุตัวหยั่งรู้ ผลลัพธ์แบบเดียวกันเดขึ้นกับเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง เทพมารอสูรผู้นี้ผลการฝึกตนสูงกว่าเขา แต่จิตใจกลับด้อยกว่ามาก ในเวลานี้เหงื่อท่วมทั่วตัว ราวกับกำลังจะคุกเข่าลงไปแล้ว
“นี่คือบรรยากาศของเทพสงครามเอกภพงั้นหรือ?”
หลัวซิวยืนอยู่ที่เดิม ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม
ถึงแม้เทพสงครามเอกภพจะตายไปแล้ว แต่ออร่าที่หลงเหลือเอาไว้ ก็ยังคงทรงพลังอย่างน่าหวาดเกรงได้ถึงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่ พลังต่อสู้ของเขาไม่รู้ว่าจะน่าหวั่นเกรงจนถึงแดนใด
เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้แข็งแกร่งเหนือศัตรูทั้ง 800 โลก ออร่าเก่าแก่และแปรปรวน เต็มสัญญาณของความไม่เต็มใจต่อโชคชะตา
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า รู้สึกแค่ทุกย่างก้าวของตน พลังกดขี่ที่ต้องอดทนรับไว้นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวนั้นยากมาก
คิดจะเดินขึ้นไปถึงยอดเขาทีละก้าวเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องไปอีกไกลแค่ไหน และไม่รู้ว่าต่อไปพลังกดขี่ที่จะต้องรับไว้นั้นจะน่ากลัวมากขึ้นอีกสักเพียงใด
ทันใดนั้น ลูกแก้วความเป็นตายที่ผสานรวมเข้าเป็นร่างเดียวกับวิญญาณดั้งเดิมก็ปลดปล่อยออร่าออกมา พลังกดขี่ก็คลี่คลายได้ในพริบตา ทำให้เขารู้สึกถึงความผ่อนคลาย
นี่ทำให้หลัวซิวรู้สึกดีใจมาก ด้วยวิธีนี้เขาสามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง
ในเวลานี้ ดวงตาของเขาสังเกตเห็นร่างเงาหลายร่างปรากฏอยู่ข้างหน้า ห่างไปประมาณสองสามร้อยเมตร
ผู้นำคนแรก นั่นคือวีรสตรีหญิงช่าจื่อเยียน ที่ด้านหลังของเขาไม่ไกลนักมีเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทอง ส่วนเทพมารคนอื่น ๆ ที่เดินตามมานั้น ก็เดินตามหลังขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เดิมแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเทพมารสิบคน เผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจมีเผ่าละเก้าคน หลังจากประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ จนมาถึงเวลานี้ หลัวซิวเห็นว่าเทพมารเผ่าพันธุ์มนุษย์หายไปสองคน เผ่าพันธุ์มารหายไปสามคน เผ่าปีศาจนั้นหายไปสี่คน
ถึงแม้จะยังไม่นับเทพมารอสูรเหยี่ยวทองที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา เทพมารที่ตายไปในครั้งนี้ ก็มีถึงแปดคน!
โลกยุทธ์ของพิภพต่ำแห่งหนึ่ง ฝึกตนด้วยอารยธรรมจนถึงที่จุดที่รุ่งเรืองสูงสุด อย่างมากที่สุดในเวลาเดียวกันก็สามารถมีเทพมารได้ประมาณสิบคน แปดคนได้ตายลงที่นี่พร้อมกัน แสดงให้เห็นว่ามันที่แห่งนี้อันตรายและโหดร้ายเพียงใด
โลกแสงดาวในทุกวันนี้ หากไม่มีสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพเป็นตัวดึงดูด ก็มีเพียงเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่และหลิวหงเทียน รวมเป็นเทพมารห้าคนเท่านั้น