มีฉันเต็มไปหมด [Yuri/Selfcest] - ตอนที่ 6.2 อาวุธนอกระบบ (2)
“ฟ่างอยากเพิ่มเลเวลหรือเปล่า” ฉันกลับมาจดจ่อกับห้องนี้อีกครั้ง
เด็กสาวส่ายหน้า “ถึงจะอยากแข็งแกร่งขึ้น แต่ตอนนี้ฉันยังทำใจลืมเรื่องการตายของทุกคนไม่ได้หรอก แค่… พยายามไม่แสดงออกมาจนเป็นตัวถ่วงอยู่น่ะ… ถ้าจะให้จับอาวุธฆ่ามอนสเตอร์ก็คงยังไม่ไหวอยู่ดี”
ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองของฟ่างเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมหากไม่ได้อยู่ในวันสิ้นโลก
เห็นแบบนั้นฉันจึงไม่อยากบีบบังคับอะไรเรื่องการต่อสู้หรือเพิ่มขีดจำกัดความสามารถ “อาบน้ำด้วยกันไหม”
“เอ๊ะ…” พวงแก้มใต้แว่นตากรอบกลมแทบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “จะดีเหรอ คือว่า… อาบน้ำ แก้ผ้า…”
“อย่าเขินเลยน่า ในเมื่อเครียดอยู่ก็ต้องระบายออกมาไม่ใช่เหรอ” ฉันก้มลงกระซิบข้างหู “เรื่องแบบนั้นน่ะ… ลองดูสักครั้งดีไหม”
[หวา… ปีศาจชัดๆ] บลูหรี่ตามองจากเก้าอี้หน้ากระจก
[นี่จะจีบกันต่อหน้าแบบนี้เลยจริงดิ? ต่อหน้าฉันแบบนี้อะนะ?] เรดขยี้ศีรษะตัวเองจนผมยุ่งฟู
“แต่ว่า นิล… ร่างแยกของนิลน่ะ… ตอนที่พวกเรามีอะไรกัน…” ฟ่างพูดได้ไม่เต็มเสียง อีกทั้งยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“อยากให้เข้ามาร่วมด้วยเหรอ” ฉันหยอกเย้า “แบบพร้อมกันทีละหลายคน…”
[โอ้ จัดมาเลยสิจ๊ะ สาวน้อย] เรดทำมือเหมือนพร้อมขยำหน้าอก
ยัยเวรนี่ยังไม่เข็ดที่จับนมฉันไปอีกสินะ…
“ไม่ใช่แบบนั้น!” ฟ่างปฏิเสธ “แค่… นิลคนเดียวก็พอแล้ว”
มาโรงแรมนี่มันกำไรสุดๆ ไปเลย คิดถูกแล้วที่เปลี่ยนบรรยากาศ เอาเลยจ้า จัดไปร้อยแปดท่าห้านาที!
<คุณได้รับข้อความใหม่จาก ซีกเกอร์>
“…” ฉันหมดอารมณ์แล้วแหละ
ไอ้คนที่รู้ความสามารถของฉันทั้งที่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันเลยสักนิด ติดต่อมาเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มันชวนโมโหยิ่งกว่าเดิมอีก
หรือว่าฟ่างจะเป็นคนบอกซีกเกอร์?
แต่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิด ถ้าฟ่างรู้จักคนระดับซีกเกอร์ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเอาตัวเองมาเจออันตราย ไปหลบอยู่หลังซีกเกอร์เลยจะดีกว่า แถมความสัมพันธ์กับเพชรและกายก็เป็นของจริง ไม่ได้โกหกเรื่องทักษะพิเศษอีกต่างหาก
เจ้าตัวเอียงคอมองฉันเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ “นิล?”
“ขอเวลาสักพักนะ” ฉันเปิดข้อความอ่านดู “เธออาบน้ำก่อนเลย”
“…อื้อ” ฟ่างอ่านสีหน้าเคร่งเครียดของฉันออกจึงพยักหน้ารับและเดินเข้าห้องน้ำ
ผู้ใช้นามแฝงว่าซีกเกอร์บอกให้ฉันออกไปดูหน้าโรงแรม
เขารู้ว่าฉันเข้ามาในตัวเมืองแล้ว… รู้กระทั่งที่อยู่ปัจจุบัน ราวกับสังเกตเห็นทุกการเคลื่อนไหวจนน่าขนลุก
มันมีทักษะพิเศษที่ใช้เฝ้ามองคนอื่นอยู่หรือไงกัน… ไม่งั้นก็หาคำอธิบายไม่ได้แล้วนะว่าทำไม
[ฉันจะไปดูเอง] เรดอาสาเปิดประตูไปข้างนอก และไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าทรงเหลี่ยมซึ่งมีความยาวแนวนอนกว้างเป็นเมตร [มันแปะโน้ตไว้ว่ามอบให้เธอ นิล]
ฉันลูบหน้าจากขมับลงมาถึงปลายคางด้วยความรู้สึกหลากหลาย
นี่มันคุกคามชัดๆ… เขาเป็นผู้เล่นเบต้าที่ตามหาทีมเพื่อแบ่งปันข้อมูลเท่านั้นจริงเหรอ เจตนาเบื้องหลังคืออะไรกันแน่… ข่มขู่ หรือว่าหวังผลประโยชน์ในอนาคต
บลูเปิดกระเป๋าหนักใบนั้นเพื่อตรวจสอบ
มันมีไรเฟิลจู่โจมอยู่ข้างในพร้อมตลับแม็กกาซีนสำรองแถมอีกสามอัน โดยที่เขียนแปะไว้โต้งๆ ว่าเป็นปืนรุ่นไหน
[ยอดไปเลย ปืนนี่มันอาวุธสงคราม] เยลโล่รับหน้าที่เปิดหาข้อมูลจากมือถือ
บลูพลิกกระดาษอีกด้านหนึ่ง “ในนี้เขียนเพิ่มว่าเป็นของขวัญต้อนรับเข้ากลุ่มผู้เล่นเบต้าเทสต์ และแนะนำให้ใช้แร่เคลือบอาวุธกับปืนนี้ไว้ถ้าหากเข้ามือ”
ฉันรับไรเฟิลจู่โจมมาถือ ฝากเยลโล่ช่วยดูวิธีใช้อย่างละเอียด และเปิดหน้าต่างยิงลงพื้นถนนพร้อมตัวเก็บเสียง
ฝีมือในการเล็งยิงของฉันแม่นขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่อาจเรียกว่าเก่ง เพราะมีกระสุนให้ผลาญไม่จำกัดเลยไม่เสียดายที่จะใช้ทดสอบ
พอเหนี่ยวไกค้างไว้มันจะรัวกระสุนเองอัตโนมัติ แต่แรงถีบเล่นเอาสั่นไปทั้งร่าง สมกับเป็นอาวุธสงครามที่ไม่อนุญาตให้พลเรือนได้จับ
แต่ซีกเกอร์ยังอุตส่าห์หามาได้… หมอนี่ทำฉันขนลุกเข้าไปทุกทีแล้วสิ ให้ตายเถอะ
“ขนาดกระสุนต่างจากเดิมอยู่นะเนี่ย” เยลโล่สำรวจอาวุธใหม่และถอดแม็กกาซีนออกไปดูวัสดุ “ขอใช้เวลาสักพัก”
มันเป็นอาวุธอันทรงพลัง เหมาะจะใช้ฆ่าสัตว์ประหลาดในเกมนี้
เขาบอกให้ฉันใช้แร่เคลือบอาวุธ… ถ้าใช้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ การทำตามซีกเกอร์จะเป็นเรื่องดีจริงเหรอ ฉันควรเชื่อใจมากแค่ไหนกัน
อา… แต่อยากได้อะ บ้าชะมัด ถ้าที่มาของมันไม่ใช่คนน่าสงสัยสุดๆ อย่างซีกเกอร์คงยอมรับไปแล้ว
ถึงซีกเกอร์จะทำเหมือนขีดเส้นให้ฉันเดิน แต่ดันปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาให้มานั้นมันดึงดูดใจอย่างมาก
วันโลกาวินาศแบบนี้จะมีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยอีก… และหากจะปลอดภัยได้ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น อาวุธที่ดีจึงอยู่ในเงื่อนไขแรกๆ เลยทีเดียว สำคัญพอกับการเพิ่มเลเวลนั่นแหละ
ร่างแยกผมฟ้าดึงก้อนแร่ออกมาจากช่องเก็บของ มันไม่มีคุณสมบัติเขียนไว้ว่าใช้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ได้เห่อของใหม่หรอกนะ แต่จะยอมทำเป็นเชื่อดูก็ได้
แร่ซึ่งได้เป็นรางวัลจากการปราบแอสโมเดียสสัมผัสเข้ากับปืนใหม่ มันแปรสภาพเป็นละอองบางๆ ราวกับหลอมรวมเข้ากับอาวุธในพริบตา จากนั้นหน้าต่างก็เด้งกรอบข้อความขึ้นมา
<ไรเฟิลจู่โจมชิ้นนี้ถูกบันทึกเป็นอาวุธของผู้เล่น นิล สามารถนำเข้าสู่ปราการลอยฟ้าและไม่สามารถถูกทำลายได้>
เดี๋ยวนะ ก้อนแร่นั่นมีผลในการเคลือบอาวุธให้เป็นวัสดุพิเศษที่ทำลายไม่ได้งั้นเหรอ เหมือนกับสายรัดข้อมือนี่ แล้วก็ปราการลอยฟ้านั่น…
อย่างไรก็ตาม ข้อความจากระบบมีบางอย่างให้เอะใจอยู่
อาวุธที่สามารถนำเข้าสู่ปราการลอยฟ้าได้… หากตีความในทางกลับกันก็แปลว่าอาวุธอื่นที่ไม่ได้รับการลงทะเบียนด้วยแร่เคลือบจะไม่ถูกเทเลพอร์ตไปด้วย และมีความเป็นไปได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเตรียมพร้อมไว้แล้วอาจถูกระบบตัดทิ้งจากการเทเลพอร์ตเช่นกัน
มันเหมารวมไปถึงของในทักษะช่องเก็บของหรือเปล่า… ถ้าเป็นช่องเก็บของของบลูที่อยู่ในตัวฉันอีกทีจะสามารถหาช่องว่างของระบบเอาอาวุธขึ้นไปด้วยได้ไหม
ตอนเล่นขุมนรกแห่งสัจธรรม หากขึ้นสู่ปราการลอยฟ้าครั้งหนึ่งแล้วจะไม่สามารถกลับลงมาระหว่างทางได้ ฉากของโลกจะถูกตัดออกไปเหลือแผนที่แค่ในปราการแต่ละชั้น
หมายความว่าหากของชิ้นไหนไม่ถูกเทเลพอร์ตตามผู้เล่นขึ้นไปด้วยก็จะสูญหายจนกว่าจะกลับมาพื้นโลกได้
…แล้วมันเอาอะไรไปได้บ้างละเนี่ย!?
“นิล เราอาบเสร็จแล้วนะ” ฟ่างที่ถอดแว่นออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวสีขาว ดูเย้ายวนมากโดยเฉพาะร่องอกอวบอิ่ม
แต่คนมันไม่มีอารมณ์จะมาหมกมุ่นเรื่องเพศเอาตอนนี้น่ะสิ
ยิ่งคิดว่าถ้าซีกเกอร์ตามติดฉันจากระยะไกลได้จริงจะมองเห็นถึงขั้นไหน… แย่ที่สุดเลยแฮะ
“เดี๋ยวมานะ” ฉันสลับเข้าไปอาบน้ำต่อ
คิดเรื่องข้าวของเทเลพอร์ตไม่ได้ไปก็ไม่ช่วยอะไร สุดท้ายฉันก็มีแร่นั่นอยู่ก้อนเดียว ทั้งยังใช้ไปแล้วด้วย…
อาวุธใหม่จากซีกเกอร์น่ะไม่แย่ ดูก็รู้ว่าของใหม่อย่างดี ไม่เสียดายการใช้รางวัลบอสเลยสักนิด แต่กลัวว่าพวกร่างแยกอื่นนอกจากเรดจะไม่มีอะไรไว้ป้องกันตัวหรือช่วยฉันอีกทีน่ะสิ
ถ้าให้ไปเก็บของจากมอนสเตอร์มาหลอมอาวุธอีกทีก็จะได้พวกดาบ หอก ธนู หรืออาวุธยุคเก่าในระบบเกมเดิมมาแทน ซึ่งเว้นระยะห่างได้ไม่มากพอจากอันตราย
[ว้าว นิลเป็นห่วงพวกเราด้วย…] ร่างแยกนอกห้องน้ำโต้ตอบความคิดของฉันมาเหมือนประชด
พวกเธอก็คือฉันไม่ใช่หรือไง ถ้าเจ็บขึ้นมาฉันก็เจ็บไปด้วยน่ะสิ
[เกือบซึ้งแล้วเชียว] น้ำเสียงที่รับรู้ได้จากบลูฟังดูเฉยเมย [ยัยคนนิสัยเสีย]
นี่มันด่าตัวเองอยู่ชัดๆ
ฉันรีบอาบน้ำล้างตัวและออกไปหาฟ่างอีกครั้ง พร้อมทั้งเก็บร่างแยกทั้งหมดยกเว้นไวต์ให้กลับเข้ามาก่อน
ในเมื่อคิดไปก็เท่านั้น งั้นมุ่งหน้าสู่กามารมณ์กันดีกว่า~
พวกที่เอาแต่บ่นฉันน่ะเข้าไปพักเลยไป ส่วนไอ้คุณซีกเกอร์นั่น ถ้าแอบมองอยู่จริงก็จงทรมานกับการเห็นสาวน้อยสวยๆ แต่ยื่นมือมาแตะต้องไม่ได้ไปซะเถอะ
“เอาล่ะ ไม่มีตัวเกะกะแล้ว… ถึงพวกร่างแยกจะเป็นฉันเองก็เถอะ” ฉันถูมือไปมา “มามีเซ็กส์กัน!”
เมื่อได้ทีแล้วฉันก็พุ่งเข้าใส่เนินนุ่ม
“อ๊ะ อื้อออ… นิล…” เสียงครางผะแผ่วดังออกมาจากลำคอของฟ่างผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ “ตรงนั้น… มัน…”
ดวงตาของเพื่อนสาวที่เพิ่งรู้จักกันเพียงสองวันเอ่อคลอหยาดน้ำตา กึ่งหนึ่งเป็นเพราะความสุขทางกาย อีกครึ่งมาจากความเจ็บปวดทางใจ
เพราะทุกคนที่รู้จักตายไปกันหมดแล้ว
แม้จะไม่เหลืออะไรเลยแต่พวกเราก็ยังพยายามมีชีวิตอยู่ในสถานที่อันบิดเบี้ยวไปแบบนี้ ยังคงครวญครางและเสพสมราวกับจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีก
เรื่องโลกแตกน่ะช่างหัวมันเถอะ ฉันไม่อยากคิดเยอะถึงขนาดนั้นสักหน่อย จะพลาดโอกาสสัมผัสสาวน้อยน่ารักแสนบริสุทธิ์ตรงหน้าได้ยังไง ดูสีชมพูฉ่ำวาวนี่สิ ไหนจะติ่งน้อยที่กระตุกเรียกให้ฉันเข้าไปเติมเต็มอีก…
[นิล… ลามก] ไวต์ส่งคำพูดนั้นมาเพียงครั้งเดียวก่อนจะเงียบหายไปตลอดคืน
…หลังกิจกรรมทางเพศเมื่อคืนทั้งฉันและฟ่างต่างหลับไปโดยไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง แถมตอนไฟฟ้าถูกตัดไปแล้วยังมืดและร้อนจนต้องลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึกอีก
แม้ตื่นเช้ามาจะรู้สึกเบิกบานทางจิตใจ แต่ร่างกายกลับสวนทางและประท้วงด้วยเสียงร้องโครกครากบอกว่าหิวอย่างหนัก
“นิล…” คนตัวเล็กใช้ริมฝีปากแตะเบาๆ ที่แก้มของฉัน “ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้สึกดีนะ”
ช่างเป็นสาวน้อยในอุดมคติจริงๆ นั่นแหละ… เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าฉันหวังเคลมมาตั้งแต่แรกแล้ว
หมายความว่าฉันมันชั่วช้าสามานย์ยิ่งกว่าพวกผู้ชายที่ฆ่ากายไปซะอีก แค่ใช้หน้าตาและความเป็นผู้หญิงด้วยกันให้เข้าหาง่ายขึ้นเพื่อสนองความต้องการทางเพศ
อ๊ะ ฉันด่าตัวเองจริงด้วย…
ถึงจะรู้ตัวก็ใช่จะรู้สึกผิดซะทีเดียว วิธีการของฉันคือการหลอกล่อให้เหยื่อติดกับ ซึ่งรูปร่างหน้าตาที่มีก็มักจะได้ผลดีเสมอ จากทั้งหมดทั้งมวลเลยกลายเป็นการสมยอมด้วยตัวของเหยื่อเอง
<คุณได้รับข้อความใหม่จาก ซีกเกอร์>
หน้าต่างใหม่เด้งขึ้นมารบกวนแต่เช้าและชวนให้หงุดหงิดอีกครั้ง พอกดเข้าไปดูก็พบการย้ำเรื่องเวลาและสถานที่นัดรวมตัว
เฮ้อ อยากเห็นหน้าตาเจ้าซีกเกอร์ซะจริงว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่
ฉันกับฟ่างกินขนมถุงแทนการไปทำอาหารในครัว และดื่มน้ำแช่ตู้เย็นที่ไม่ชื่นฉ่ำเท่าไรนัก… แต่พอท้องถูกเติมก็มีแรงขึ้นมาบ้าง พวกเราจึงเก็บของออกจากโรงแรมเพื่อไปจุดนัดพบต่อ
แน่นอนว่าฉันเรียกร่างแยกออกมาซ่อนตามซอกมุมอาคาร ทั้งยังถือปืนใหม่เอาไว้เผื่อเจออันตรายด้วย
เพราะมาถึงคนแรกจึงสามารถซุ่มดูสถานการณ์ได้แบบนี้
ไม่นานกลุ่มผู้เล่นเบต้าก็เริ่มทยอยมากันทีละคนสองคน รวมแล้วตอนถึงเวลานัดมีกันอยู่แปดชีวิตท่ามกลางแสงเล็กน้อยซึ่งลอดผ่านเงาของปราการลอยฟ้าลงมา แต่ละคนใส่ชุดลำลองบ้าง เสื้อสูทบ้าง เปลือยอกบ้าง จุดร่วมคือดูจะแสดงออกชัดเจนว่าอย่าเข้ามาคุยเด็ดขาด
“แกสินะ ซีกเกอร์” ชายผิวสีน้ำตาลร่างใหญ่หันไปคุยกับเด็กหนุ่มซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นด้วยซ้ำ “คายข้อมูลออกมาได้แล้วว่าเกมบ้านี่มันคืออะไรกันแน่”
ปืนกลหนักที่ห้อยกระสุนเป็นสายชวนให้หวาดผวา
“แล้วลุงรู้อะไรบ้างล่ะ แบ่งข้อมูลมาก่อนสิ เป็นผู้เล่นเบต้าไม่ใช่เหรอถึงได้ถูกชวนมาแบบนี้” เด็กหนุ่มกดหน้าจอมือถือแล้วยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
บรรยากาศบนถนนใต้สถานีรถไฟฟ้าดูตึงเครียดขึ้นมาเมื่อเห็นความไม่ลงรอยกัน แถมแต่ละคนคงไม่ใช่ธรรมดา อย่างน้อยก็รอดมาจากแต่ละเขต ไม่ก็ฆ่าแอสโมเดียสได้ด้วยตัวเอง…
ฟ่างจับชายเสื้อของฉันแน่นขึ้นและแนบตัวชิดด้านหลัง
“ถ้าแกไม่ใช่ซีกเกอร์แล้วในนี้ใครเป็นซีกเกอร์” ร่างกำยำหันมองหน้าทีละคน เขาสะดุดตากับฉันครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบไปทางชายชุดสูท “หรือว่าแก”
ผู้ที่ถูกหาเรื่องดันแว่นขึ้นด้วยนิ้วกลางเหมือนจงใจด่าด้วยท่าทางอย่างไรชอบกล
“ถ้าผมเป็นซีกเกอร์คงไม่ปรากฏตัวที่นี่หรอกครับ” คนสวมสูทพูดในสิ่งที่ฉันคิดพอดี “พอเห็นจากที่ไกลๆ แล้วว่ามีใครมาบ้างก็ซ่อนโฉมหน้าเอาไว้ให้พวกเราระแวงกันเอง ดูท่าทีและจัดลำดับว่าสมาชิกคนไหนควรจะเก็บไว้ใช้งานอย่างไรในทีม”
แปดชีวิตซึ่งอยู่ตรงนี้ ไม่น่ามีใครหาอาวุธสงครามมาให้ฉันได้สักคน
เจ้าตัวใหญ่ที่ไล่ถามคนอื่นอาจดูเข้าเค้าเพราะมีปืน แต่ก็ดูฉลาดน้อยกว่าภาพลักษณ์ของซีกเกอร์ผู้น่าจะรู้แทบทุกสิ่ง
“ดูถูกกันจังนะ ซีกเกอร์” ชายร่างหนากัดฟัน “โผล่หัวมาได้แล้ว! ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหนก็ออกมาให้เห็นซะ ไม่งั้นพวกเราจะเรียกว่าทีมเดียวกันได้ยังไง!?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากที่ไหนเลย ความเงียบและสายตาจากคนรอบข้างยิ่งทำให้เขาตัวสั่นเพราะความโกรธ
ซีกเกอร์เลือกคนแบบนี้มาเข้ากลุ่มทำไมกันนะ
ปากกระบอกปืนกลถูกเชิดหัวมาทางฉันกับฟ่าง “ถ้าแกไม่ออกมา ฉันจะฆ่าพวกนี้ซะ”
ข่มขู่กันแบบนี้เลยเหรอ…
ฟ่างขาสั่นอยู่ข้างหลัง ส่วนฉันเพียงจับอาวุธไว้แต่ไม่กล้ายกขึ้นมาตอบโต้เพราะกระสุนไม่อาจลั่นทันอีกฝ่ายแน่
[ให้ฉันยิงจากตรงนี้เลยไหม] บลูถามพร้อมความโกรธที่รับรู้ได้ทันที [ระยะนี้คงไม่พลาดเป้าไปไกลหรอก]
ยังก่อน นี่เป็นโอกาสที่ซีกเกอร์จะเปิดเผยใบหน้า
หากไม่มีใครทักท้วงตั้งแต่การเจอกันครั้งแรก ซีกเกอร์คงหาทางหลบเลี่ยงและบงการอยู่เบื้องหลังไปตลอดแน่
ถึงวิธีการจะแย่มาก ทว่ายังใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้…
“แหม ใจร้ายกับเพื่อนร่วมทีมจังนะคะ ผู้เล่นเบต้าเทสต์ทั้งหลาย” เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลังของฉันกับฟ่าง “ข่มขู่คนอื่นมันไม่ดีนะ”
[…ได้ยังไง!?] เรดสะดุ้งอย่างแรงเมื่อพวกเราล้วนจับตามองจากมุมต่างๆ รอบทิศ แต่กลับไม่มีใครรายงานตัวตนของคนข้างหลังนี้ได้
มิหนำซ้ำ…
สองเท้าของอีกฝ่ายก้าวขึ้นมาตีเสมอแล้วค่อยพิงแขนมาบนไหล่ของฉันแทนฟ่างที่กลัวจนก้าวถอยไป “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันคือซีกเกอร์”
อีกฝ่ายมีส่วนสูงเท่ากับฉัน ใช้เสียงเดียวกัน ใบหน้าเหมือนกัน ต่างเพียงแค่สีผมด้านในเท่านั้น มันไม่ใช่สีแดง สีฟ้า สีเหลือง หรือสีขาว
กลับเป็นสีม่วง…
ใบหน้าของฉันตอนนี้คงตลกมากแน่ ก็เพราะพวกเราไม่มีร่างแยกสีม่วงสักหน่อยนี่!?
“อย่าห่วงเลย นิล ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอก” เด็กสาวคนใหม่กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา
ผิดค่ะ! โคตรน่าสงสัยเลยต่างหาก!!
+++++
[TALK]
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายของตัวอย่างเล่มแล้วนะคะ
ถ้าหากสนุก น่าติดตาม สามารถคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้นะ~
ฉบับรูปเล่มเปิด Pre-order ถึง 31 ธ.ค. 65 ค่ะ ส่วน e-book ตอนนี้วางขายใน meb อยู่นะ อ่านจนจบรวดเดียวได้เลย
(แนวอินดี้คนผลิตน้อยมากในไทย แฟนตาซียูริว่าหายากแล้ว ธีมเรื่องนี้แหวกแนวกว่าเดิมอีกค่ะ ฮา มาช่วยสนับสนุนกันได้นะคะ จะได้มีเงินไปจ้างนักวาดเรื่องใหม่อีกที หมุนเงินวนไปในวงการ 55555)
ผลงานอื่นๆ ติดตามได้ใน https://witchhathut.carrd.co/ ส่วนข้าวสาร เอ้ย ข่าวสาร สามารถกดติดตามหน้าเพจเฟซบุ๊ก MintomintH หรือ twitter @Minto_mintH กันได้ค่ะ