มู่หนานจือ - บทที่ 93 จวน
“โธ่!” ฝางจื่อชิงรีบเดินไปกอดเจียงเซี่ยนไว้ในอ้อมแขน และเอ่ยว่า “เจ้านี่นะ ลุงเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้าแต่งงานไปวันนี้เสียหน่อย ทำไมเจ้าถึงร้องไห้ขึ้นมา? ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ระวังตาบวมแล้วจะไม่สวย”
นางปลอบใจเจียงเซี่ยน พลางมองเจียงเจิ้นหยวนด้วยสายตาโมโห ส่งสัญญาณให้เขากับเจียงลวี่ออกไปก่อน นางจะได้คุยกับเจียงเซี่ยนเป็นการส่วนตัว
เจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่เจอน้ำตาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเจียงเซี่ยนต่างก็ตกตะลึง
ทั้งสองคนสบตากันอย่างไม่เข้าใจ และออกจากห้องพักผ่อนอย่างแผ่วเบา
ป้าสะใภ้ปล่อยให้เจียงเซี่ยนร้องไห้ในอ้อมกอดของนาง พลางลูบผมเจียงเซี่ยนอย่างอ่อนโยน และปลอบเจียงเซี่ยนเสียงเบา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทุกเรื่องมีลุงและพี่ใหญ่ของเจ้า พวกเราไม่กลัว ไม่กลัว”
เจียงเซี่ยนร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางพยักหน้า ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจก็เหมือนระบายออกไปตามน้ำตานี้เช่นกัน จึงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
ฝางจื่อชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าจะเช็ดน้ำตาให้นาง
“ข้าทำเอง!” เจียงเซี่ยนรับผ้าเช็ดหน้าไป เสียงยังคงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
นางเปิดประตูเรียกสาวใช้ประจำตัวของตนเองตักน้ำร้อนเข้ามา ถึงพบว่าเจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่ไม่ได้เดินไปไหนไกล แต่ยืนอยู่ใต้ต้นทับทิมข้างบันไดอย่างเงียบๆ
พอเห็นในห้องมีความเคลื่อนไหว เจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่ต่างก็เดินมาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“แค่ร้องไห้” ฝางจื่อชิงเอ่ยอย่างกังวล “ข้าจะดูสถานการณ์ว่าจะถามอะไรสักหน่อยได้หรือไม่ เรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้”
ทั้งสองคนพยักหน้า
หญิงรับใช้สองคนมาช่วยล้างหน้าและหวีผมให้เจียงเซี่ยน
เจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่ยืนอยู่ในลานบ้าน
เจียงลวี่เอ่ยว่า “ท่านพ่อ เป่าหนิง คงจะไม่ได้ชอบใครแล้วคนๆ นั้นฐานะต่ำต้อย นางจึงไม่อาจบอกพวกเราได้ใช่หรือไม่?”
เจียงเจิ้นหยวนก็เดาแบบนี้เหมือนกัน
เขาขัดแย้งมาก
สติสัมปชัญญะบอกเขาว่าการใช้ชีวิตของสองครอบครัวที่ฐานะไม่เท่าเทียมกันแตกต่างกัน มีปัญหาขึ้นมาจะทำร้ายความรู้สึกกันได้ง่าย ทว่าความรู้สึกกลับบอกเขาว่า แม้ฐานะครอบครัวของทั้งสองฝ่ายจะไม่เหมาะสมกัน เจียงเซี่ยนมีเขาสนับสนุน ยังเสียเปรียบได้อีกงั้นหรือ
เจียงเจิ้นหยวนไม่เอ่ยสิ่งใด
เจียงลวี่เห็นแล้วก็ลังเลอยู่นานมาก ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ข้าว่า หากเป่าหนิงพูดออกมา และท่าทางไม่มีปัญหาอะไร ท่านก็อนุญาตเถอะ! นางร่างกายอ่อนแอและป่วยง่ายตั้งแต่เด็ก…ท่านดูท่านอารอง ท่านปู่กับท่านย่าประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้เรื่องในกองทัพเลย ทุกคนต่างกังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับท่าน จึงจุดโคมไฟอายุยืนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ปรากฏว่าท่านยังอยู่ดี แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นกับท่านอารอง…จะเห็นได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน และไม่มีใครบอกได้…”
เตือนบิดาว่าบางครั้งหายนะก็เกิดขึ้นอย่างไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ดังนั้นจึงต้องเห็นคุณค่าของปัจจุบัน
เจียงเจิ้นหยวนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ และพูดจาล้อเล่นว่า “เจ้ามักจะอ้างว่าผู้ชายที่ทะเยอทะยานและมีความสามารถจะสร้างเนื้อสร้างตัวก่อนค่อยแต่งงาน เจ้าคงไม่ได้คิดจะผลักน้องสาวเจ้าออกมาเป็นโล่กำบังก่อน และไว้น้องสาวเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้าจะได้ทำตัวเหมือนเดิมเช่นกัน?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” เจียงลวี่อึกอักเล็กน้อย และเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้าแค่เห็นใจคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันเท่านั้นเอง!”
“เจ้ายังเห็นใจคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันด้วย!” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ย พลางดึงเข็มขัดและฟาดไปทางเจียงลวี่ “ข้าว่าเจ้ามันแส่หาเรื่อง! พรุ่งนี้ไปดูตัวให้ข้าซะ”
เจียงลวี่จึงตะโกนลั่นลานบ้าน “ช่วยด้วย”
ฝางจื่อชิงกับเจียงเซี่ยนพุ่งออกมาจากในห้อง พอเห็นเจียงลวี่วิ่งหนีอุตลุดในลานบ้านเหมือนลิงต่างก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ความเศร้าที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วเช่นกัน
เจียงเซี่ยนรู้ว่าเจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่กำลังหยอกให้นางอารมณ์ดี ในใจรู้สึกซาบซึ้งใจมาก และเสียดายเล็กน้อยที่ชาติก่อนไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวของท่านลุงบ่อยๆ
จวนองค์หญิงกับจวนเจิ้นกั๋วกงจุดโคมไฟใต้ชายคาเป็นครั้งแรก
ฝางจื่อชิงส่งเจียงเซี่ยนกลับเรือน
ระหว่างทางนางเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาว่า “ลุงของเจ้าบอกแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบใคร ขอเพียงจริงใจกับเจ้า และท่าทางไม่มีปัญหา ลุงของเจ้าก็จะตัดสินใจให้เจ้า”
เจียงเซี่ยนตอบ “อืม” เบาๆ น้ำตาเอ่อคลอเบ้าอีกครั้ง
นางยืนกอดป้าสะใภ้หน้าประตูเรือนหลักของจวนองค์หญิง และกลับห้องหลัก
ที่นั่นเคยเป็นห้องนอนของพ่อแม่ที่นางไม่เคยจำได้เลย
มันยังคงเหมือนเดิม
เชิงเทียนมังกรและหงส์ที่ยังไหม้ไม่หมดตอนแต่งงานยังคงวางอยู่ในช่องเล็กของหัวเตียงเหมือนตอนที่องค์หญิงหย่งอันมีชีวิตอยู่ นอกหน้าต่างลำต้นของต้นการบูรที่บิดาปลูกตอนที่มารดาของนางตั้งท้องนางเติบโตจนขนาดเท่าปากชามแล้ว
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเชิงเทียนมังกรและหงส์นั้นเบาๆ
จวนองค์หญิงใหญ่ขนาดนี้ มีนางอยู่แค่คนเดียว
ก็เหมือนกับจวนเจิ้นกั๋วกงที่ใหญ่ขนาดนั้น มีเพียงครอบครัวของท่านลุงนางอาศัยอยู่กันสามคน
เจียงเซี่ยนวางเชิงเทียนมังกรและหงส์กลับไปบนหัวเตียงอีกครั้ง นางออกจากห้องหลัก และไปที่เรือนรองทางด้านหลัง
เจียงเซี่ยนไม่ได้นอนที่ห้องนอนของพ่อแม่ แต่สร้างที่พักของเรือนรองขึ้นมาใหม่เป็นห้องนอนของตนเอง
ห้องโถงถูกจัดตามความชอบของนางเรียบร้อยแล้ว ฉิงเค่อกำลังปูเตียงให้นาง
นางสั่งฉิงเค่อ “เพิ่มผ้าห่มอีก อากาศค่อนข้างหนาว”
ฉิงเค่อมองห้องนอนที่จุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาวและอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ในใจเอ่ยว่า ‘หนาวตรงไหน’ ทว่ากลับไม่กล้าเผยออกมาทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว นางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม และสั่งให้นางในที่เข้าเวรกลางคืนเตรียมชาเก๊กฮวยให้เจียงเซี่ยน
กลางดึกเจียงเซี่ยนตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
นางไม่รู้ว่าตกใจกับความฝันที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนจำไม่ได้นั้นหรือเป็นเพราะห่มผ้าหนาเกินไป
นางในที่ได้ยินเสียงคลุมเสื้อและเข้ามาป้อนน้ำชาให้นาง
เจียงเซี่ยนดื่มไปสองถ้วยเต็มๆ ถึงจะรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าลง แล้วสั่งให้นางในตักน้ำและช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
คนที่ติดตามนางตกใจตื่น จนถึงยามอิ๋นถึงจะค่อยๆ สงบลง
เจียงเซี่ยนนอนไม่หลับอยู่บนเตียง ในสมองว่างเปล่า เหม่อมองแสงในห้องที่ค่อยๆ สว่างขึ้น และกลับค่อยๆ หลับสนิทไปอีกครั้ง
ไป่เจี๋ยกังวลมาก และแอบเอ่ยกับฉิงเค่อว่า “ท่านหญิงมักจะตกใจตื่นกลางดึกแบบนี้จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? ต้องทูลไทฮองไทเฮาหรือไม่ ไปขอยันต์ปลอดภัยจากศาลเจ้ากูเส่าก็ดีเหมือนกันนะ!”
“เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย” ฉิงเค่อก็กังวลเหมือนกัน แต่นางต้องใจเย็นกว่าไป่เจี๋ย “ในวังห้ามเรื่องพวกนี้ที่สุดแล้ว จะบอกก็ทำได้เพียงเล่าให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงฟังเท่านั้น”
ไป่เจี๋ยพยักหน้า และยังคงขมวดคิ้วแน่น
ตอนที่เจียงเซี่ยนตื่นมาก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
หิมะตกหนักกว่าเมื่อวานเล็กน้อย และทับถมกันเป็นชั้นบางๆ บนพื้น
นางยังไม่อยากลุกจากเตียง จึงถามฉิงเค่อว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ส่งมาคนมาหรือเปล่า? ได้พูดอะไรหรือไม่?”
“แม่นมอวี๋ที่อยู่ข้างกายฮูหยินมาเจ้าค่ะ เห็นท่านยังหลับอยู่ จึงไม่ได้ปลุกท่าน บอกแค่ว่าท่านตื่นเมื่อไรก็ให้พวกเราไปบอกห้องครัว จะได้ยกอาหารมา” นางพูดไปก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยอีกว่า “ใต้เท้าหลี่มาเจ้าค่ะ นั่งรอท่านอยู่ที่ลานข้างหน้ามาเกือบสองชั่วยามแล้ว…”
“ใต้เท้าหลี่?” เจียงเซี่ยนนอนจนเวียนศีรษะเล็กน้อย จึงเอ่ยอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ใต้เท้าหลี่คนไหน?”
นางไม่ได้ทิ้งความเคยชินในการใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง แล้วก็ไม่อยากทิ้งเช่นกัน ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาง ดังนั้นจึงไม่เคยคิดว่าการที่มีขุนนางแซ่ ‘หลี่’ คนหนึ่งมาพบนางเป็นเรื่องที่แปลกตรงไหน…ชาติก่อนไม่รู้ว่าทุกวันนางต้องต้อนรับ ‘ใต้เท้า’ ตั้งกี่คน
สีหน้าของฉิงเค่อฉายแววไม่สบายใจเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลี่ที่เป็นรองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครและหน่วยหน้า?”
แล้วนั่นมันใครอีก?
รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาพระนครและหน่วยหน้า ก็แค่ขุนนางระดับห้า!
เจียงเซี่ยนพึมพำอยู่ในใจ
ฉิงเค่อเห็นนางสีหน้างุนงง จึงจำต้องเอ่ยอีกว่า “ใต้เท้าหลี่ หลี่เชียนเจ้าค่ะ!”
——————-