ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่140 พบตระกูลเป่ย
ตอนที่140 พบตระกูลเป่ย
ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“ฮ่าฮ่า หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเป็นคนกระหายที่จะเสาะหาบุคคลมากความสามารถอย่างแท้จริง เชิญนั่งครับ”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั่งลงบนโซฟาพร้อมหันไปหยิบแก้วชาจากแม่บ้านที่นำมาให้ เหลือบมองไปทางฉีเล่ยอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นบ้างว่า
“เสี่ยวฉี ที่เธอต้องถูกไล่ออกจากสาขามาก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ อย่างแรกที่ควรเธอต้องรู้คือ สถานการณ์ของตัวเธอเองในตอนนี้ เธอไม่มีทั้งใบวุฒิการศึกษา ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน จึงหนีไม่พ้นแรงกดดันจากคณะอาจารย์คนอื่นๆที่มีต่อตัวเธอ”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างคร้านจะใส่ใจ
“ผมเข้าใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ดีครับ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่มีใบรับรองวุฒิการศึกษาอะไรเลย แต่จะให้ผมกลับไปเรียนต่อตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าปีครึ่ง ซึ่งนั่นคงจะสายเกินไปแล้ว”
“แต่สำหรับตัวเธอนี่ถือเป็นกรณีพิเศษ ฉันได้ปรึกษากับผู้บริหารท่านอื่นๆกันนอกรอบแล้ว และพวกเราทุกคนต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ความสามารถในการสอนของเธอดีมากจริงๆ มิหนำซ้ำยังเป็นที่รักของบรรดาเด็กนักศึกษาอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทางเราจึงตัดสินใจว่า เนื่องจากทักษะและองค์ความรู้ทางการแพทย์แผนจีนของเธออยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจะออกใบรับรองในฐานะอาจารย์ให้เป็นกรณีพิเศษ เธอคิดเห็นยังไงบ้างล่ะ?”
ฉีเล่ยยกแก้วชาขึ้นมาจิบอย่างใจเย็นและกล่าวตอบไปว่า
“ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วครับ แต่เกรงว่าทางหัวหน้าคณะอาจารย์คนอื่นๆ จะต้องมาลำบากเป็นธุระให้มากกว่า”
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เธอเองก็เป็นอาจารย์น้ำดีที่มีความสามารถด้านแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติกับคนเก่งๆอย่างเธออยู่แล้ว”
ฉีเล่ยแสร้งทำเป็นเกรงใจปั้นหน้าประหม่าเล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณทันที
“ขอบคุณหัวหน้าคณะซีมากเลยนะครับที่เป็นห่วงเป็นใยกันถึงขนาดนี้ แต่จะว่ายังไงดี…เรื่องที่ผมถูกไล่ออกจ่ากมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ทำให้ผมอายจนไม่กล้าแบกหน้ากลับเข้าไปที่นั่นอีกแล้ว…
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของซีลู่เฉิงเริ่มกระตุกขึ้นอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ฉีเล่ยย่อมถือไพ่เหนือกว่าอยู่แล้ว เขาจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้งอะไร นอกจากต้องกัดฟันตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“นี่…หมายความว่ายังไงงั้นเหรอ? ลองอธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ?”
“คืออย่างนี้นะครับ…”
หลังจากอธิบายอย่างละเอียดแล้ว ฉีเล่ยก็กล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มอีกว่า
“ขอบคุณหัวหน้าคณะอาจารย์ซีมากเลยครับ”
หลั
หลังจากที่ซีลู่เฉิงที่ได้ฟังคำอธิบายของฉีเล่ยอย่างละเอียดแล้ว เขาก็รีบขอตัวลุกจากออกไปทันที เพราะเขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด และตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเจ้าเด็กปีศาจคนนี้จริงๆแล้วสิ
“เข้าใจแล้ว เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะ”
ขณะที่ฉีเล่ยเดินออกไปส่งหัวหน้าคณะอาจารย์ซีกลับไปนั้น เหอจื่อก็โทรเข้ามาหาพอดี เธอหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“อาจารย์ฉีคุยกับตาเฒ่าซีเรียบร้อยรึยัง?”
ฉีเล่ยตอบกลับไปยิ้มๆ
“เรียบร้อยแล้ว”
ช่วงนี้เขากับเหอจื่อติดต่อกันอยู่เสมอ และเธอกับนักศึกษาคนอื่นๆเองก็มักจะรายงานสถานการณ์ภายในมหาวิทยาลัยให้เขาได้รู้อยู่เรื่อยๆเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่างว่ามีเกิดอะไรขึ้นภายในนั้นบ้าง
“เหอะ เหอะ หนูมั่นใจมากว่า เขาจะต้องยอมแพ้ในที่สุด เพราะถ้าหากแผนการนี้ยังล้มเหลวอีก หนูก็ได้บอกกับทุกคนไว้แล้วว่าจะประท้วงด้วยการโดดเรียนทุกวิชาหลังจากนี้ เอาให้สาขาแพทย์แผนจีนถูกยุบไปเลย ไม่ต้องมีแล้วนักศึกษาแพทย์จีนรุ่น6!”
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ…”
ฉีเล่ยถึงกับเหงื่อตก ในใจหนึ่งเขาก็รู้สึกคิดถูกเช่นกันที่ตอบตกลงไป ไม่อย่างนั้นปัญหาภายในนั้นคงต้องยิ่งทวีความเลวร้ายลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่ายเลย
“หนูทราบค่ะว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่นักศึกษาเองก็ควรมีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งดีๆให้กับตัวเองไม่ใช่เหรอค่ะ? แล้วในเมื่อตอนนี้เรื่องทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว หนูเองก็โล่งใจ โอเคค่ะ งั้นหนูไม่รบกวนอาจารย์แล้ว เดี๋ยววางสายจากอาจารย์ หนูก็จะรีบไปแจ้งข่าวดีนี้ให้ทุกคนฟัง! เจอกันพรุ่งนี้นะคะอาจารย์ฉี!”
“อืม เจอกันพรุ่งนี้”
ฉีเล่ยยิ้มตอบ
…..
วันต่อมา ในชั้นเรียนของเหล่านักศึกษาแพทย์แผนจีนรุ่นที่6 ซีลู่เฉิงยืนอยู่บนเวทีหน้าห้อง ป่าวประกาศด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า
“หลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยของเราได้พิจารณาข้อเสนอแนะของทุกคนโดยละเอียดแล้ว ทางเราได้ตัดสินใจที่จะเคารพความคิดเห็นของนักศึกษาเป็นหลัก และเนื่องด้วยอาจารย์ฉีเป็นบุคคลกรที่มีคุณภาพดีเลิศของทางมหาวิทยาลัย แม้ก่อนหน้านี้จะถูกบังคับให้เลิกจ้างเพราะกฎระเบียบบางข้อ แต่ด้วยความพยายามของพวกเราทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ในที่สุดพวกเราก็ช่วยให้เขาเอาชนะความอยุติธรรมครั้งนี้ได้ ตอนนี้อาจารย์ฉีของทุกคนได้กลับมาแล้ว หวังว่าทุกคนจะตั้งอกตั้งใจเรียนและจบการศึกษากลายมาเป็นแพทย์แผนจีนที่มีคุณภาพนะ!”
ซีลู่เฉิงซึ่งเป็นแกนนำต้อนรับการกลับมาของฉีเล่ย เขาปรบมือและป่าวประกาศต่ออีกว่า
“ทุกคน ปรบมือต้อนรับอาจารย์ฉี!”
ว้าวว~!!
นักศึกษาทุกคนในห้องต่างลุกขึ้นปรบมือกันเสียงเกรียวกราว ดูเหมือนว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมออย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
ฉีเลยก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีหน้าห้องพร้อมกับโค้งคำนับให้กทุกคน ทั้งยังกล่าวอีกว่า
“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”
เขาตระหนักดีว่า บรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ต้องพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเพียงใด เพื่อให้เขาได้กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกครั้ง
ทั้งต้องเผชิญหน้ากับการตำหนิติเตียนของอาจารย์หลายๆท่าน ทั้งต้องทนรับแรงกดดันจากคำพูดข่มขู่ของทางมหาวิทยาลัย แต่หากเจตจำนงอันแรงกล้าของพวกเขาแผ่วลงไปแม้เพียงเล็กน้อย ภาพฉากแห่งความสุขในวันนี้ก็คงไม่มีทางเป็นจริงได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านี้เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ทุกคนยังพยายามอย่างหนักและยืดหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง จนในที่สุดก็ได้อาจารย์อันเป็นที่รักกลับเข้ามาสอนอีกครั้ง
“อาจารย์ฉี อาจารย์กลับมาสักที! มายืนให้ผมด่าเลยเดี๋ยวนี้!”
“อาจารย์ฉี อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ มาโค้งคำนับให้แบบนี้ พวกหนูจะร้องไห้แล้วนะ!”
“จารย์! คราวหน้าเดี๋ยวผมส่งวาปอันใหม่ไปให้ ครั้งนี้ไม่มีไวรัสแน่นอน…”
แต่เพราะกลัวว่าซีลู่เฉิงจะได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้า ฉีเล่ยจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนาทันที
“เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงเวลาเรียนแล้ว เริ่มการบรรยายกันเถอะ จำได้ไหมว่า การบ้านสุดท้ายที่ผมได้ให้ไปคืออะไร? ได้อ่านทบทวนกันรึเปล่า?”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันใดพร้อมตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“แน่นอนค่ะ!”
เหอจื่อลุกขึ้นยืน เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะประกาศด้วยเสียงที่ดังฟังชัดขึ้นว่า
“ทุกคน! เตรียมท่อง‘บทสมุนไพร’พร้อมกัน!”
จากนั้นทุกคนก็ประสานเสียงท่องบทสมุนไพรจนดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง
ฉีเล่ยจับจ้องไปยังบรรดาหนุ่มสาวผู้มีพลังอย่างล้นเหลือตรงหน้า ลึกๆภายในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ดีและกตัญญู ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง ฉีเล่ยเองก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวพวกเขาอย่างยิ่ง
หลังจากสอนคาบเช้าเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็ได้เดินไปที่หน้าตัวอาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แต่กลับกลายเป็นว่าหลี่ถงซีเป็นฝ่ายโทรหาเขาเสียก่อน
“ฉันต้องเข้าประชุมประจำสาขาตอนเที่ยง วันนี้คงกลับพร้อมนายไม่ได้”
แม้น้ำเสียงของหลี่ถงซีจะดูสงบนิ่ง แต่ฉีเล่ยสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจบางอย่างที่แฝงเร้นออกมาได้อย่างชัดเจน
อารมณ์น่าจะประมาณว่า เธอไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการประชุมประจำสาขาครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงของทางมหาวิทยาลัย
ฉีเล่ยได้ฟังแบบนั้นจึงตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”
เมื่อกดวางสายจากหลี่ถงซีไปแล้ว จู่ๆเขาก็หยิบกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ฉีเล่ยเพ่งสายตาจ้องมองเบอร์มือถือและที่อยู่ของเป่ยจ้าวหยวนอย่างละเอียด
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ยกมือขึ้นโบกเรียกแท็กซี่ ทันทีที่เข้าไปนั่งก็ร้องบอกกับคนขับไปว่า
“ไปที่ถนนหลินหยุน บ้านเลขที่118”
“ได้ครับผม”
คนขับตอบรับ และขับพาฉีเล่ยมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดแท็กซี่คันนั้นก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหมายเลขที่118 ถนนหลินหยุน
อันที่จริงสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้หายากอะไรเลย ท่ามกลางตึกสูงระฟ้ากลางเมืองปักกิ่งบริเวณถนนหลินหยุนนั้น มีบ้านทรงจีนโบราณดั้งเดิมอยู่เพียงแค่หลังเดียว
ตัวอาคารเป็นเรือนตำหนัก มีคานไม้ที่แกะสลักด้วยช่างมีฝีมือเป็นลวดลายวิจิตรโบราณ หน้าทางเข้าคฤหาสน์นั้นมีป้ายไม้ขนาดใหญ่แขวนอยู่ ซึ่งมีเพียงอักษรสามตัวประดับอยู่
‘ตระกูลเป่ย’
ฉีเล่ยแหงนหน้าขึ้นมองป้ายไม้สลักดังกล่าวพลางรำพึงรำพันกับตัวเองว่า
“ช่างเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่โตงดงามมากจริงๆ แต่จะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหนคงต้องมาพิสูจน์กัน”
สาวใช้ในชุดกี่เพ้าสังเกตเห็นชายคนหนึ่งมาด้อมๆมองๆอยู่หน้าคฤหาสน์ ก็พลันเข้าใจไปว่าน่าจะเป็นคนไข้ จึงรีบเดินเข้าไปกล่าวต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณผู้ชาย มีอะไรจะให้ช่วยไหมค่ะ?”
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า
“ผมมาหาเป่ยจ้าวหยวนครับ?”
สาวใช้ตอบกลับ แววตาเจือความแปลกใจเล็กน้อย
“เป่ยจ้าวหยวนเหรอคะ? ไม่ทราบคุณผู้ชายมีธุระอะไรกับนายน้อยเป่ยรึเปล่าคะ?”