ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่229 สาวน้อยมาช่วย
ตอนที่229 สาวน้อยมาช่วย
“นั่นล่ะ ฉันนับว่าเป็นความกล้าหาญ”
ไท่โหล่วตอบกลับยิ้มๆพร้อมกับพูดต่อว่า “เพราะคนอื่นๆไม่มีใครกล้าทำเหมือนที่นายทำ”
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ล่ะ ว่าแต่นายเถอะ กล้าพูดกับเขาอย่างที่ฉันพูดไหมล่ะ?” ฉีเล่ยหันกลับไปถามไท่โหล่วยิ้มๆ
“กล้าสิ!”
ไท่โหล่วตอบกลับทันที “แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าฉันมีความจงรักภักดีกับเขาขนาดไหนด้วย ทุกวันนี้ เขาเองก็รู้ว่า ไม่ว่าจะสั่งให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำตามคำสั่งของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะฉะนั้น รางวัลที่ฉันได้กลับมา ก็เลยกลายเป็นว่าฉันสามารถพูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูด”
“แล้วถ้าเขาสั่งให้นายทำให้ฉันหายไปจากปักกิ่ง นายก็จะทำงั้นเหรอ?”
“ใช่!”
“นี่ ฉันอยากจะขอเตือนนายไว้ก่อนนะ ไม่ว่าจะถูกบีบคั้นหรืออะไรก็อย่าทำเลยจะดีกว่า ฉันขอบอกนายตามตรงนะ ฉันเป็นคนตรงไปตรงมา แล้วก็ชอบคนที่อะไรเปิดเผย ไม่ชอบพวกที่เล่ห์เหลี่ยมจัด หรือวางแผนการซับซ้อนน่าเวียนหัว แต่ถ้าจะเล่นงานกันซึ่งๆหน้าล่ะก็ ฉันจะยินดีมากกว่า”
หลังจากที่ฉีเล่ยพูดจบ ไท่โหล่วก็ถึงกับหรี่ตาจ้องมองเขาแน่นิ่งครู่หนึ่ง จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ไท่โหล่วก็ถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฮ่าๆๆ คนอื่นๆต่างก็มองเห็นนายเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคน แต่คงไม่มีใครคิดสินะว่า ความจริงแล้วนายเองก็ฆ่าคนได้ตาไม่กระพริบเหมือนกัน?”
ฉีเล่ยหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบกลับไปว่า “เรื่องนั้นฉันไม่ปฏิเสธ แต่อยากจะรู้ว่านายมองฉันออกทะลุปรุโปร่งแบบนี้ได้ยังไง?”
ไท่โหล่วตอบกลับทันที “ผีเห็นผีน่ะ เข้าใจรึเปล่า?”
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจ ในที่สุดก็หันไปมองไท่โหล่วพร้อมกับบอกไปว่า “สำหรับฉัน นายเป็นคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่งเลยล่ะ!”
“นายเองก็เหมือนกัน!”
ไท่โหล่วร้องตอบฉีเล่ยพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าเขาหนักหน่วง
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูคฤหาสน์ส่วนตัวที่ไม่ได้ดูโดดเด่น หรือสะดุดสายตาผู้คนนัก ฉีเล่ยก็เห็นรถทหารจอดเรียงรายอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด ส่วนเหอจื่อกำลังเดินอยู่นอกรั้ว และกำลังชะโงกหัวส่องเข้าไปดูด้านในเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินออกมาด้านนอก สีหน้าของเหอจื่อก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ และตื่นเต้นดีใจขึ้นมาพร้อมกันทันที แล้วรีบวิ่งตรงเข้ามาหาฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์ฉี ออกมาแล้วเหรอคะ?”
เหอจื่อร้องตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย หลังจากที่สอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วร่างกายของฉีเล่ย และพบว่า เขายังเป็นปกติดีไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆแม้แต่น้อย จึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนเหอจื่อจะกังวลมากจนเกินไป และเมื่อครู่เธอต้องยับยั้งใจอย่างมากเพื่อไม่ให้ตนเองพุ่งเข้าไปทำร้ายชายแปลกหน้าคนนั้น
“นี่เธอมาที่นี่ทำไม?”
ฉีเล่ยร้องถามเหอจื่อด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เหอจื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองคนเดินออกมาด้วยกันหลังจากที่ฉีเล่ยสอนเสร็จ และยิ่งนึกได้ว่าไท่โหล่วเป็นลูกน้องของฉินฟาง ก็ยิ่งทำให้เธอกังวลใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฉีเล่ย เธอจึงรีบแอบสะกดรอยตามมา
“คือ… หนู.. หนูเห็นอาจารย์ฉีออกมาพร้อมกับเขา ก็เลยอยากจะตามมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาจารย์บ้างรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”
เหอจื่อได้แต่ต้องบอกไปตามตรง เธอคงไม่สามารถโกหกว่าบังเอิญผ่านมาทางนี้ได้แน่
“ดูท่าเพื่อนของนายคงจะร้อนใจมากสินะ? สงสัยฉันคงไม่ต้องไปส่งนายกลับแล้วล่ะ” ไท่โหล่วกระซิบบอกฉีเล่ยยิ้มๆ
“ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของนายมากจริงๆ”
ฉีเล่ยหันไปบอกกับไท่โหล่ว ก่อนจะหันไปบอกฉีเล่ยว่า “พวกเรากลับกันดีกว่า”
“ค่ะอาจารย์”
เหอจื่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่เมื่อเธอหันไปมองไท่โหล่ว อีกฝ่ายกลับขยิบตาให้เธอ เธอเพียงแค่พยักหน้าตอบกลับเล็กน้อยตามมารยาท จากนั้น จึงได้เดินเกาะแขนฉีเล่ยไปขึ้นรถทหารที่จอดอยู่ทันที
ซูจงกระโดดลงมาจากที่นั่งด้านคนขับพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ
“มันไม่ง่ายเลยนะครับที่ผมจะได้มีวันหยุดพักผ่อน แต่กลับถูกคุณหนูตัวน้อยคนนี้ลากตัวออกมา แต่ถ้าไม่ออก ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ก็จะใช้ทุกวิถีทางบังคับผม ทำให้ผมต้องออกมาจนได้ล่ะ แล้วนี่ใจกล้าขนาดไหนเหรอครับเนี่ย ถึงได้กล้าบุกเดี่ยวมาที่นี่ได้ล่ะครับอาจารย์ฉี?”
“หืมม ที่นี่โด่งดังมากเลยเหรอ?” ฉีเล่ยย้อนถามกลับไปทันที
“มากสิครับ! ที่นี่เป็นคลับส่วนตัวของคุณชายฉินฟาง ชื่อว่าคฤหาสน์สกายเวฟครับ คนที่จะเข้าไปเที่ยวในคลับแห่งนี้ต้องมีฐานะไม่ธรรมดาเลยล่ะครับ” ซูจงอธิบายให้ฉีเล่ยฟังทันที
“แล้วทำไมไม่เห็นมีป้ายชื่อติดไว้เลยล่ะ?”
ฉีเล่ยหันมองไปมารอบๆทั้งหน้าประตูและด้านข้าง แต่ก็ไม่พบเห็นป้ายชื่อคลับเหมือนคลับอื่นๆเลย จึงได้แต่ร้องถามออกไปด้วยความอยากรู้
“ป้ายชื่อมีประโยชน์ตรงไหนกันครับ? คนที่รู้อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีป้ายชื่อก็รู้อยู่ดี ส่วนคนที่ไม่รู้ ก็หมายความว่าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปใช้บริการยังไงล่ะค้าบอาจารย์ฉี ความจริงก่อนหน้านี้ ก็มีป้ายชื่อติดอยู่เหมือนกันนะครับ แต่คุณชายฉินฟางเห็นว่าการติดป้ายชื่อทำให้ภาพลักษณ์ของคลับสกายเวฟเสียหาย เขาก็เลยสั่งให้คนปลดออกซะ”
จากนั้น ซูจงก็บอกกับฉีเล่ยต่อด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภูมิอกภูมิใจ “รู้ไหมว่า คนที่มาใช้บริการที่นี่ ส่วนใหญ่มาเพราะอยากได้หน้าทั้งนั้นล่ะ”
ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า เวลาที่ซูจงพูดถึงฉินฟางนั้น เขาดูเหมือนจะทั้งเคารพแล้วก็เกรงกลัวไปพร้อมๆกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ คุณชายฉินคนนี้น่าจะเป็นคนที่มีอำนาจอิทธิพลในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่น้อยทีเดียว
ถ้าแม้แต่คนระดับซูจงยังออกจะเกรงใจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าคงแทบไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ
มันคุ้มค่าแล้วเหรอที่เขาจะยอมผิดใจกับคนที่มีอำนาจอิทธิพลมากขนาดนี้เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว?
‘เฮ้อ.. ผู้หญิงสวยๆมักมาพร้อมปัญหาที่น่าปวดหัวจริงๆ!’
ฉีเล่ยได้แต่แอบถอนหายใจออกมา และแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ แน่นอนว่าเขาต้องไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาอีกแล้ว เพราะเหอจื่อกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาหวานฉ่ำอยู่
“อาจารย์ฉีคะ ทำไมจู่ๆจารย์ถึงได้มาที่นี่?” เหอจื่อร้องถามด้วยสีหน้าแววตาสงสัย
“พอดีผมมาคุยธุระส่วนตัวนิดหน่อย ไม่มีอะไรมาก”
ฉีเล่ยไม่ต้องการลากเหอจื่อให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของตนเองอีก เพราะที่ผ่านมาเธอก็ช่วยเขามามากพอแล้ว
“หรือว่า.. ฉินฟางเรียกอาจารย์ฉีมาพบที่นี่เหรอคะ?”
เหอจื่อเอ่ยถามขึ้นทันที เธอกำลังกลัวว่าฉีเล่ยจะบังเอิญไปมีเรื่องกับฉินฟางเข้าโดยไม่ตั้งใจ แล้วฉินฟางก็กำลังมองหาโอกาสที่จะแก้แค้นเขาคืน
ในแวดวงสังคมชั้นสูง มีใครบ้างที่กล้าดูถูกความสามารถ และกล้าประเมินความน่ากลัวของฉินฟางต่ำเกินไป
“ใช่! นี่เธอก็รู้จักฉินฟางเหมือนกันเหรอ?”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อน ดูเหมือนว่าเหอจื่อจะพยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวให้ได้อีกแล้วสินะ
“รู้สิคะอาจารย์ฉี! แล้วนี่เขาเรียกจารย์มาพบทำไมกัน? หรือว่าอาจารย์กับฉินฟางมีปัญหาขัดแย้งกัน? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ หนูจะเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้เองค่ะ”
เหอจื่อรู้สึกว่า ถ้าทั้งคู่มีปัญหากันขึ้นมาจริงๆ เธอคงจะไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้แน่ เธอจึงอยากจะรู้ว่าทั้งสองฝ่ายมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันแน่ เผื่อว่าเธอจะคิดหาหนทางไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคนเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรกันได้แทน
ในความคิดของเหอจื่อนั้น ฉีเล่ยนอกจากจะหัวเดียวกระเทียมลีบแล้ว ยังเป็นคนอ่อนแออย่างมากด้วย เขาต้องการคนที่จะไปปกป้อง และเธอก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเขาได้อย่างเด็ดขาด
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมจัดการเรื่องนี้เองได้!”
ฉีเล่ยหันไปตบบ่าเหอจื่อเพื่อให้เธอคลายความกังวลใจ แต่กลับเพบว่า อีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแววตาที่ไม่ต่างจากหญิงสาวซึ่งกำลังมองคนรักของตัวเองด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด
“แต่ถ้ามีอะไรที่น่าเป็นห่วง อาจารย์ต้องบอกให้หนูรู้ทันทีนะคะ!”
เหอจื่อร้องบอกพร้อมกับพยักหน้าให้ฉีเล่ย ในเมื่อฉีเล่ยไม่ต้องการที่จะเล่าให้เธอฟัง เธอก็ไม่ต้องการที่จะคะยั้นคะยออะไรเขาเช่นกัน
“ตกลง!” ฉีเล่ยให้คำมั่นสัญญา
“ถ้างั้นเราจะไปไหนกันต่อดีคะจารย์ฉี?” เหอจื่อร้องถาม
ฉีเล่ยทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิด แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ไปหาอะไรกินกันดีกว่า หลังจากนั้นฉันจะพาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
เดิมที ฉีเล่ยตั้งใจที่จะไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนแพทย์แผนจีนหัวเซี่ยที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้ เขาตั้งใจจะไปดูว่าองค์กรนี้จะดำเนินการไปในทิศทางใดบ้าง และถ้าเป็นไปได้ เขายินดีที่จะให้ความร่วมมือ และให้ความสนับสนุนอีกด้วย
ใบหน้าของเหอจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และรีบหันไปถามซูจงทันที “ซูจง นายหิวรึเปล่า?”
“นิดนหน่อย!”
ซูจิงตอบกลับยิ้มๆ และได้แต่แอบคิดว่าในที่สุดคุณหนูตัวแสบก็นึกขึ้นได้สักทีว่า ยังมีเขาอยู่ด้วยทั้งคน ความจริงวันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของเขาแท้ๆ แต่กลับถูกเหอจื่อลากตัวออกมาใช้งานจนได้
กระทั่งข้าวเช้ายังไม่ได้กิน และตอนนี้เขาก็หิวโซเลยทีเดียว!
“งั้นก็ดีเลย! ถ้านายหิวก็รีบกลับไปบ้านหาอะไรกินก็แล้วกัน ฉันจะไปกับอาจารย์ฉี!” เหอจื่อตอบกลับอย่างไม่ใยดี
“…”
……..
ภายในร้านอาหารอิตาเลี่ยน ฉีเล่ยและเหอจื่อนั่งหันหน้าเข้าหากัน
เหอจื่อวางหมวกเบสบอลไว้ข้างตัว พร้อมกับยกมือขึ้นแกะโบว์ที่ผูกหางม้าอยู่นั้นออก ปล่อยให้ผมดำมันวาวยาวสลวยนั้นสยายอยู่เต็มแผ่นหลัง ใบหน้าแดงก่ำนั้นบ่งบอกถึงวัยเยาว์สดใส ใครที่ได้พบเห็นก็มีแต่ความสบายอกสบายใจ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอ่อนเยาว์ไปด้วย
เหอจื่อตัดเนื้อเต๊กตรงหน้าเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวหงับๆ และพูดกับฉีเล่ยไปด้วยว่า
“จารย์ฉีคะ วันหลังถ้าฉินฟางมาหาจารย์อีก จารย์ต้องรีบโทรบอกให้หนูรู้ทันทีนะคะ!”
ฉีเล่ยที่นั่งดื่มน้ำอยู่ฟังแล้วก็อดที่จะถามกลับไปไม่ได้ “ทำไม? ฉินฟางอะไรนั่นน่ากลัวมาเลยงั้นเหรอ?”
“น่ากลัวสิคะจารย์!!!”
เหอจื่อร้องตอบกลับไปเสียงดังพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที