ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่273 หนีไปแล้ว
ตอนที่273 หนีไปแล้ว
คำพูดของหลี่ถงซีออกจะมีความเป็นไปได้สูง!
แม้ว่าซิ่วเอ๋อกับอี้ชาจะเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยของชนเผ่าเหมี่ยว การกระทำของพวกเขาทั้งคู่ครั้งนี้ คนเผ่าเหมี่ยวเจียงทั้งหมดอาจไม่ได้รู้เห็นด้วยก็เป็นได้
แต่ขนาดเพียงเพียงแค่สองคน ยังสามารถสร้างความโกลาหลวุ่นวายได้ใหญ่โตได้มากมายขนาดนี้ และทำให้ฉีเล่ยเกือบจะต้องเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง หากวันข้างหน้า ชนเผ่าเหมียวทั้งหมดตัดสินใจที่จะร่วมมือกันแก้แค้นแพทย์แผนจีนล่ะ เหตุการณ์จะไม่ยิ่งโกลาหลหนักหน่วงยิ่งกว่านี้หรอกเหรอ?
ถึงตอนนั้น แพทย์แผนจีนที่อยู่ในบริเวณที่ราบภาคกลาง จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างมหาศาลงั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยตั้งใจว่า การก่อตั้งสภาแพทย์แผนจีนของเขานั้น เพียงแค่ต้องการรวบรวมแพทย์แผนจีนทั่วประเทศให้มาอยู่รวมกัน ช่วยกันคิดค้นพัฒนายาจีน และวงการแพทย์แผนจีน เพื่อให้แพทย์แผนจีนได้มีโอกาสรับค่าตอบแทนที่สูงกว่าทุกวันนี้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่า เขาจะทำเพียงแค่นั้นไม่ได้แล้ว เพราะนอกจากเรื่องพัฒนาวงการแพทย์แผนจีน และความเป็นอยู่ของบรรดาแพทย์แผนจีนให้ดีขึ้นแล้ว ยังต้องมีเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขาพ่วงเข้ามาด้วย
“ถงซี จนถึงตอนนี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่า คนที่วางแผนให้คุณมาที่นี่แท้จริงเป็นใครกันแน่?”
“ฉันไม่เลยรู้จริงๆ!”
หลี่ถงซีเอ่ยตอบฉีเล่ยพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “เพราะตั้งแต่พบเจอกันครั้งนั้น ฉันเองก็ไม่เคยได้พบกับเขาอีกเลย!”
แต่หลังจากที่ได้เห็นสายตาเรียบเฉยของหลี่ถงซีขณะตอบ ฉีเล่ยก็รู้ได้ทันทีว่า หญิงสาวไม่น่าจะกำลังพูดความจริงกับเขาอยู่ เพราะด้วยนิสัยของหลี่ถงซีแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้กระทั่งหัวนอนปลายเท้า บอกให้มาเจียงหลิงแล้วเธอจะยินยอมมาง่ายๆแบบนี้ อีกทั้งยังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับใครด้วย
และแน่นอนว่า ฉีเล่ยไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด!
แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อคำพูดของหลี่ถงซี แต่ฉีเล่ยก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อใจเธอ ในเมื่อหญิงสาวไม่ต้องการที่จะพูดอะไรในตอนนี้ เขาจึงไม่คิดที่จะคะยั้นคะยอหรือบีบบังคับให้เธอต้องพูด เธออาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถพูดออกมาได้ก็เป็นได้
ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดต่อว่า “เอาล่ะ พวกเราแอบกลับเข้าไปดูที่บ้านอีกครั้งดีกว่าว่า ตอนนี้ซิ่วเอ๋อกับอี้ชามาถึงรึยัง?”
เวลานี้ หนอนกู่ทั้งหมดก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว แม้ว่าอาจจะยังหลงเหลืออยู่บ้างสักตัวสองตัว แต่นั่นก็เป็นจำนวนเพียงแค่เล็กน้อย ไม่สามารถสร้างความหายนะให้เกิดกับเมืองเจียงหลิงทั้งเมืองได้แน่
และครั้งนี้ ฉีเล่ยเองก็ต้องการที่จะจับตัวซิ่วเอ๋อและอี้ชาด้วยมือของเขาเองให้ได้
แต่เมื่อฉีเล่ยกับหลี่ถงซีกลับไปถึงที่บ้านหลังนั้น เขากลับค้นพบว่า เวลานี้บ้านทั้งหลังที่เคยมีผู้คนมากมายคอยเฝ้าอยู่อย่างหนาแน่นนั้น กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่เห็นทั้งซิ่วเอ๋อ อี้ชา และคนนับร้อยก่อนหน้านี้
“นี่คนพวกนั้นหายไปไหนกันหมด?”
ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยสีหน้าผิดหวังเสียดาย
หลี่ถงซีตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พวกเขาคงจะหนีไปหมดแล้วล่ะ ครั้งนี้ทั้งคู่วางแผนกันมานาน แต่ในเมื่อทำไม่สำเร็จ พวกเขาคงต้องรีบหนีกลับไปเผ่าเหมี่ยวแน่ ดูท่าพวกเราคงจะจับตัวสองคนนั่นไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
ฉีเล่ยรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย หากเขารีบกลับมาให้เร็วกว่านี้อีกนิด ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถจับซิ่วเอ๋อกับอี้ชาได้ ถึงตอนนั้นก็อาจจะได้รู้ว่าใครแน่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้
หลังจากค้นหาจนทั่วทั้งบ้านแล้ว นอกจากร่างไร้วิญญาณของซือไถ ที่ถูกลากไปเก็บไว้ที่มุมแห่งหนึ่งภายในสวนด้านหลังแล้ว ทั้งคู่ก็ไม่พบเห็นร่องรอยอะไรอีกเลย
เนื่องจากซือไถตายเพราะถูกฝังหนอนกู่เข้าร่าง ร่างกายของเขาเวลานี้ทั่วทั้งร่าง จึงไม่เหลือพื้นผิวส่วนไหนที่สมบูรณ์เลย เรียกได้ว่าทั่วทั้งร่างล้วนถูกหนอนกู่กัดกินจนหมด
หลี่ถงซีได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอหันไปมองหน้าฉีเล่ยแทน พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“แล้วนี่นายจะจัดการกับศพของเขายังไง?”
ถึงอย่างไรเสีย ซือไถก็เป็นคนที่เขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้ก่อนหน้านี้ และใช่ว่าชายชราจะไม่เชื่อฟังคำพูดของเขา แต่เป็นเพราะถูกซิ่วเอ๋อกับอี้ชาไปบังคับเอาตัวมาที่นี่ต่างหาก เขาจึงต้องจากโลกนี้ไปในสภาพที่น่าสมเพชเวทนาแบบนี้ ฉีเล่ยจึงไม่ต้องการให้เขาต้องตายไปโดยไม่ได้ผ่านการทำพิธีตามธรรมเนียม
ฉีเล่ยจ้องมองศพของซือไถพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ในขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบหญิงสาวไปว่า “อย่างน้อยก็คงต้องนำศพของเขาไปทำพิธีตามธรรมเนียม แล้วถึงค่อยเผาทิ้ง!”
นั่นเพราะสภาพศพของซือไถในเวลานี้ บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติ แต่เป็นการตายที่ผิดปกติชนิดที่แปลกประหลาด และน่าสยดสยองอีกด้วย ฉีเล่ยจึงไม่สามารถนำไปจัดการอย่างเปิดเผยได้ เขาจึงได้ตัดสินใจโทรไปหาหลินชูวโม่ เพื่อขอให้เธอหาคนในเจียงหลิงที่ไว้ใจได้ ช่วยทำพิธีกรรมและจัดการเผาศพของซือไถให้
และทันทีที่ได้ยินเสียงของฉีเล่ยดังขึ้นจากปลายสาย หลินชูวโม่ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ.. นี่นายยังมีชีวิตอยู่ใช่มั๊ย? นายไม่เป็นอะไรจริงๆใช่รึเปล่า? เอาล่ะๆ เรื่องศพนั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!”
ทันทีที่ได้ยินคำทักทายจากหลินชูวโม่ ฉีเล่ยถึงกับทำหน้าไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี จึงได้แต่ย้อนถามหญิงสาวกลับไปว่า
“ทำไม? นี่คุณคงคิดว่าผมตายไปแล้วสินะ? พูดออกมาได้! ถ้าผมตายไปแล้วจริงๆ จะโทรมาขอให้คุณช่วยเรื่องทำพิธีศพนี่ได้ยังไง?”
หลินชูวโม่ฟังแล้วถึงกับหัวเราะร่วน ก่อนจะบอกกับฉีเล่ยว่า ให้เขารีบๆจัดการธุระทางนั้นให้เสร็จะ จะได้รีบกลับปักกิ่งโดยเร็ว จากนั้นเธอก็ได้วางสายไป
ฉีเล่ยและหลี่ถงซีช่วยกันแบบร่างไร้วิญญาณของซือไถกลับไปที่รถ ส่วนคนขับรถก็เอาแต่นั่งเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฉีเล่ย แต่กลับกลายเป็นว่า ไม่เพียงชายหนุ่มจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่ยังพาคนสองคนกลับมาด้วย
คนหนึ่งยังมีลมหายใจ ส่วนอีกคนเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ!
แต่ถึงอย่างนั้น คนขับรถอย่างเขาก็รู้หน้าที่ของตัวเองดี และรู้วาควรต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงเอ่ยถามฉีเล่ยว่า
“ประธานฉีจะให้ผมขับไปที่ไหนดีครับ?”
“ไปจัดการเผาศพ เจ้านายของคุณน่าจะส่งรายละเอียดให้แล้วว่าต้องไปที่ไหน?”
หากยังไม่ได้นำศพของซือไถไปทำพิธีกรรมให้ถูกต้องตามธรรมเนียมแล้วล่ะก็ ฉีเล่ยก็คงต้องรู้สึกไม่สบายใจ และคงรู้สึกเหมือนหนักอกหนักใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
เมื่อไปถึงสถานที่สำหรับทำพิธีกรรม ฉีเล่ยก็พบว่า มีคนกลุ่มหนึ่งมารออยู่พร้อมแล้ว
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ฉีเล่ยและหลี่ถงซีก็ได้ไปที่สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีที่มีชื่อเสียงของเมืองเจียงหลิง ทั้งคู่ยืนมองทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำ และธรรมชาติรอบๆ
ฉีเล่ยถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เราไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้ด้วยกันนานแล้วสินะ?”
สีหน้าของหลี่ถงซีในเวลานี้ ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงจากเดิมมาก แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงของเธอที่ตอบกลับฉีเล่ย ก็ยังคงฟังดูเย็นชาเหมือนเดิม
“อืมม ได้มากินลมชมวิวแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน!”
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ที่ทั้งสองคนรู้สึกผ่อนคลาย และได้พักผ่อนเพียงพอ แม้ว่าเรื่องของชนเผ่าเหมี่ยวเจียงในครั้งนี้จะจบลงแล้ว แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะวนกลับมาอีกเมื่อไหร่?
“นี่ถงซี คุณรู้มั๊ยว่าตอนที่อยู่บนยอดเขาหงหยาซาน หมอเทวดาคนนี้เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแล้วรู้มั๊ย?”
ทั้งหนูหยางม่วงและผู้บำเพ็ญพรตหยินหยาง ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อฉีเล่ยถึงชีวิตทั้งคู่
แต่หลี่ถงซีกลับไม่ตอบ เธอหันไปจับมือของฉีเล่ยบีบไว้แน่นแทน
…….
ทั้งซิ่วเอ๋อ อี้ชา และคนอื่นๆ ต่างก็หนีหายไปหมดแล้ว ไม่ว่าฉีเล่ยจะพยายามไปตามหาตามสถานที่ที่น่าสงสัยต่างๆ แต่ท้ายที่สุดก็คว้าน้ำเหลว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องบินกลับไปปักกิ่งก่อน และเมื่อใดที่เจียงหลิงต้องการเขา เขาก็จะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!
แต่หลี่ถงซีกลับไม่ยอมตามฉีเล่ยกลับไป เธอบอกเพียงแค่ว่า เธอยังไม่เสร็จธุระ!
ฉีเล่ยรู้จักอุปนิสัยของหลี่ถงซีดีว่า หากเธอตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้
ก่อนกลับ ฉีเล่ยก็ได้ทิ้งสมุนไพร และยาไว้ให้กับหลี่ถงซีมากมายสำหรับไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนตัวเขาก็บินกลับปักกิ่งตามลำพัง
ในระหว่างที่อยู่เจียงหลิงนั้น สองสามวันนี้หลี่ถงซีก็ยุ่งอยู่กับธุระของตนเอง และบังเอิญว่าหลังจากที่กลับปักกิ่งไป ฉีเล่ยเองก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเช่นกัน ทั้งคู่จึงยังไม่ได้ติดต่อกันเลย
และเมื่อมาถึงปักกิ่ง ฉีเล่ยก็ได้รับจดหมายที่ถงเซียวเซียวส่งมาให้กับเขา
‘ฉีเล่ย ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง? แต่ฉันเชื่อว่านายจะต้องปลอดภัยดี? ได้รับจดหมายฉบับนี้แล้วอย่าลืมโทรหาฉันด้วยล่ะ ไว้ฉันกลับมาปักกิ่งอีกเมื่อไหร่ จะชวนออกมาเที่ยวด้วยกัน!’
ระหว่างที่อ่านจดหมายฉบับนั้น น้ำเสียงขี้เล่นของหญิงสาวก็ดังขึ้นในห้วงความคิดของฉีเล่ย เขาได้แต่ยิ้ม และเสียบจดหมายฉบับนั้นไว้ที่ชั้นหนังสือ