ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 109 ถามถึงปัญหา
คืนนั้นเย่เชียนไม่ได้กลับไปที่บ้านของฉินหยู แต่เขาไปอยู่ที่บ้านของหลินโรโร่วแทน เพราะหลินโรโร่วนั้นเอาใจใส่ต่อความต้องการของเขาเหมือนกับภรรยาที่อ่อนโยนและใจดี
ส่วนม่อหลง เขาไม่ได้มากับพวกเขาด้วย เพราะในระหว่างทาง เขาขอลงจากรถซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนแต่เขาก็ได้เพียงร่ำลาโดยไม่ได้ถามอะไรอื่นไปเนื่องจากนอกเหนือไปจากช่วงเวลาที่พวกเขาปฏิบัติภารกิจในนามของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า เวลาที่เหลือก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนทั้งหมด
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เชียนไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนเช่นทุกวัน แต่หลินโรโร่วเธอยังคงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน
หลังจากที่เธอเตรียมอาหารเช้าให้เย่เชียนเสร็จแล้ว เธอก็กลับไปที่ห้องนอนอีกทีและเห็นเย่เชียนยังคงหลับสนิท เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างซุกซนและมีความสุข
“คนขี้เกียจ… ลุกมากินข้าวเช้าได้แล้วนะ” หลินโรโร่วบีบจมูกเย่เชียนเบา ๆ และบิดมันไปมาขณะพูด
อันที่จริงเย่เชียนตื่นตั้งนานแล้ว แต่เมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นหอม ๆ ที่ติดอยู่บนเตียงของหลินโรโร่ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายมาก พอเขาได้ยินเสียงหลินโรโร่วเดินกลับเข้ามาในห้อง เขาเลยแกล้งทำเป็นหลับต่อ และเมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินโรโร่วดังขึ้นข้างหู เย่เชียนก็ลืมตาขึ้นและดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาพร้อมพูดว่า “ภรรยาของผม… คุณจะฆ่าสามีของคุณเหรอ ?”
หลินโรโร่วอ้าปากค้าง หลังจากตกลงไปในอ้อมแขนของเย่เชียน เธอบุ้ยปากและพูดว่า “ใครเป็นภรรยาของคุณไม่ทราบ… คุณนี่ช่างหน้าไม่อายจริง ๆ เลยนะ”
“ไม่ใช่เหรอ ? คุณไม่ใช่ภรรยาของผมเหรอ…? ผมต้องขอโทษด้วย ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะออกไปหาภรรยาของผมเองก็ได้”
“คุณกล้ามั้ยล่ะ ?” หลินโรโร่วจ้องเย่เชียนเขม็งและพูดด้วยท่าทางไม่พอใจ
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมจะกล้าได้ยังไงกันล่ะ ก็คุณน่ะคือสวรรค์และโลกของผมไปแล้วนี่นา… ทุกส่วนในตัวของผมมันเป็นของคุณนะ โรโร่ว ภรรยาตัวน้อยที่น่ารักที่สุดของผม”
“ปากหวานดีจริง ๆ นะคนทะเล้น” หลินโรโร่วทำหน้ามุ่ยและพูดต่ออีกว่า “มา… รีบตื่นมากินอาหารเช้าเร็ว ๆ เข้า ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเย็นชืดซะหมด”
“ไม่เอา… ผมอยากนอนต่ออีกและคุณก็ต้องอยู่กับผมด้วย… ผมจะนอนกอดคุณอยู่อย่างนี้แหละ” เย่เชียนพูดหยอกเย้าเธอ และในขณะเดียวกันเขาก็เอาใบหน้าของเขาซุกเข้าไปที่หน้าอกของหลินโรโร่ว
“หยุดนะ… ไม่เอา!” หลินโรโร่วพูดอย่างเขิน ๆ “ฉันต้องไปทำงานแล้ว… เดี๋ยวจะสาย”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ และโต้เถียงกับเธอต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ปล่อยเธอไปและพูดว่า “คุณต้องจูบผมก่อนนะ… เพราะถ้าคุณไม่จูบ… คุณก็ไปไม่ได้ ผมไม่ปล่อยคุณไปหรอก”
จุ๊บ!
หลินโรโร่วจูบแก้มของเย่เชียนเบา ๆ อย่างช่วยไม่ได้ เธอจุ๊บและผละออกไปแบบเร็วมากเพราะเธอเขินมาก
“นี่เย่เชียน ถ้าคุณยังไม่อยากลุกออกจากเตียง คุณก็นอนต่อไปก่อนก็ได้… ฉันจะทิ้งอาหารเช้าเอาไว้ที่โต๊ะ ถ้าคุณหิวคุณก็เอามันไปอุ่นนะ ฉันต้องไปก่อนละ”
เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขขณะเฝ้าดูหลินโรโร่วออกไป จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียงต่อ เย่เชียนมีความสุขและไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ เมื่ออยู่กับเธอ แม้แต่การได้กลิ่นหอม ๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกสงบลง เย่เชียนรู้สึกว่าเขาต้องพึ่งพาผู้หญิงคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
กลิ่นหอมจาง ๆ ของหลินโรโร่วที่ติดอยู่บนหมอนทำให้เย่เชียนกลับเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าเขากลับไม่ได้นอนหลับอย่างที่ใจอยากเพราะโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เย่เชียนหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์โดยไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทรมา เขาพูดไปอย่างโกรธเคือง
“ฮัลโหล…? ใคร ? มีอะไรก็ว่ามา ? ถ้าไม่พูดผมจะวางแล้วนะ”
คนปลายสายตกใจผงะเงียบไปชั่วขณะ แต่เมื่อเย่เชียนได้ยินเสียงจากปลายสายเท่านั้นแหละ เขาก็ผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันทีและหัวเราะแห้ง ๆ จากนั้นก็พูดว่า “แหะ ๆ ๆ ดะ… ได้ครับคุณป้า… เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว เย่เชียนก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาออก จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง ‘ไอ้บ้าเอ๊ย! เรานี่สร้างปัญหาอีกแล้ว’ เย่เชียนไม่รู้ว่าคุณป้าผู้เป็นแม่ของหลินโรโร่วได้เบอร์โทรศัพท์ของเขาไปได้อย่างไร แต่เขาเดาเอาว่าคุณป้าอาจจะถามมาจากหลินโรโร่วก็เป็นได้
เย่เชียนถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่พลางคิดว่า ‘ยัยโง่! ทำไมเธอถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังก่อนกันนะ’ เพราะเธอไม่ได้บอกเขาแท้ ๆ เขาถึงหลุดพูดคำหยาบเหล่านั้นออกไปเมื่อสักครู่นี้และมันก็ได้ทำลายภาพลักษณ์ของเขาทิ้งไปทั้งหมด
เย่เชียนไม่รีรอ เขารีบลุกออกจากเตียงและใส่เสื้อผ้า ขณะที่เขาเดินไปที่ห้องน้ำและเดินผ่านกระจก เขาก็มองดูเงาสะท้อนของตัวเองที่อยู่ตรงหน้าและเห็นว่าสภาพของตนในตอนนี้นั้นดูค่อนข้างจะน่าอนาถ
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเขากับคุณป้าซึ่งเป็นคุณแม่ของหลินโรโร่ว เขาจึงไม่กล้าที่จะไปสายและสร้างความประทับใจที่ไม่ดีเอาไว้ ดังนั้นหลังจากที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบวิ่งหน้าตั้งออกไปทันที
โชคร้าย! ดูเหมือนกับว่าเทพเจ้ากำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่ เพราะเขากำลังรีบแท้ ๆ แต่กลับไม่มีรถแท็กซี่บนท้องถนนเลย แม้แต่รถประจำทางก็ไม่มีผ่านมาสักคัน ส่วนรถที่ขับผ่านไปมาก็มีผู้โดยสารนั่งอยู่แล้ว มันจึงทำให้เย่เชียนรู้สึกหดหู่ใจมาก หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคิดว่าตัวเองคงจะไปสายอย่างแน่นอน
ในขณะที่เย่เชียนเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย จู่ ๆ ก็มีรถส่วนตัวของใครคนหนึ่งขับมามาจอดอยู่ตรงหน้าของเขา
ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างในลดกระจกลงและยื่นหน้าออกมาดูนอกหน้าต่าง เธอพูดขึ้นว่า “อ้าว คุณผู้มีพระคุณนี่นา… ช่างบังเอิญจริง ๆ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบคุณที่นี่ คุณดูค่อนข้างกังวลนะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ มาด้วยกันมั้ย ?”
เธอคนนี้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เธอคือหม้ายสาวที่เย่เชียนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ จีเมิงฉิงนั่นเอง
“ขอบคุณมากครับ… ผมมีเรื่องด่วนต้องจัดการ ถ้างั้นผม… เอ่อ… ขอรบกวนให้คุณไปส่งผมที่ศาลาเซียงเฟยหน่อยได้ไหมครับ ?”
“ได้สิคะ มาเลย ๆ ขึ้นมาเลยค่ะ”
เย่เชียนไม่รีรอ เขาเปิดประตูและเข้าไปในรถพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมากครับ แต่ว่าอย่าเรียกผมว่าผู้มีพระคุณเลยนะครับ มันฟังดูน่าอึดอัดมาก… คุณแค่เรียกผมว่าเย่เชียนละกันนะ”
จีเมิงฉิงออกรถและมุ่งหน้าไปยังศาลาเซียงเฟย จากนั้นเธอก็พูดว่า “ครั้งก่อน… ที่ฉันบอกว่าฉันอยากจะเลี้ยงอาหารคุณเย่… แต่ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลย มันเลยทำให้ฉันต้องผลัดวันไปเรื่อย… ฉันต้องขอโทษด้วย”
เย่เชียนหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไรเลยครับ… เรายังมีเวลาอีกตั้งเยอะตั้งแยะ ว่าแต่ธุรกิจร้านอาหารของคุณเป็นยังไงบ้างครับ ?”
“มันไม่เลวเลย… ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีตามมาตรฐานเลยล่ะ” จีเมิงฉิงตอบอย่างมีความสุขและพูดต่ออีกว่า “ถ้ามันไม่ใช่เพราะคุณเย่ล่ะก็… ชีวิตของฉันคงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้หรอกค่ะ”
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นเลยครับ… ชีวิตของคุณเป็นแบบนี้ก็เพราะความบากบั่นและมุมานะของคุณเองนั่นแหละ… มันไม่ใช่เพราะผมหรอก” เย่เชียนยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะพูด
จีเมิงฉิงไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเย่เชียนได้อย่างชัดเจน เพราะหากเธอคิดกับเขาแค่เพียงว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเธอเอาไว้เพียงเท่านั้น แล้วทำไมเธอถึงต้องฝันถึงเขาและนึกถึงเขาทุกคืนตั้งแต่นั้นมาด้วย ?
แต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเธอเองมีความรู้สึกกับเย่เชียนแบบเกินกว่าคนรู้จักกัน เพราะหลังจากที่เธอแต่งงานมีลูกแล้ว ความรักสำหรับเธอนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระและเธอก็ไม่เชื่อในการมีอยู่ของคำว่ารักแท้
“คุณดูกังวลมากนะ… คุณมีธุระด่วนอะไรที่นั่นเหรอ ?”
“ใช่ครับ… ผมเป็นกังวลนิดหน่อย พอดีผมต้องไปเจอใครสักคนที่นั่นและการไปสายมันก็ไม่น่าปลื้มเท่าไหร่” เย่เชียนตอบอย่างเรียบง่าย
จีเมิงฉิงพยักหน้าและไม่ถามต่อ เมื่อเทียบกับฉินหยู หลินโรโร่ว และสาว ๆ คนอื่น ๆ แล้ว เธอคนนี้ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับบุคลิกของผู้ชายมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เธอรู้ว่ามีหลายสิ่งที่สามารถถามได้และมีอีกหลายสิ่งที่ไม่ควรถาม สิ่งไหนที่ควรพูดและสิ่งไหนที่ไม่ควรพูด
หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง จีเมิงฉิงก็ถามว่า “คุณเย่คะ… นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของเบ็งเบ็งแล้ว ฉันอยากเชิญคุณไปที่บ้านของฉันเพื่อทานอาหารเย็นจะได้มั้ยคะ ?”
เย่เชียนตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ดูคาดหวังอย่างมากของจีเมิงฉิง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบไปว่า “ได้ครับ… เมื่อไหร่เหรอ ?”
“วันที่ยี่สิบห้านี้ค่ะ” จีเมิงฉิงพูด หลังจากนั้นเธอก็บอกที่อยู่ของเธอให้กับเย่เชียน
เย่เชียนพยักหน้าและพูดว่า “ได้ครับ… แล้วเจอกันนะครับ”