ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 132 มัมมี่หวังหู
หลังจากที่หลี่ตงพูดจบ สายตาของเขาก็หันไปมองทางเย่เชียนอย่างรวดเร็วและเขาก็ตะโกนว่า “ลูกพี่สอง!”
พวกเด็กนักเลงที่รวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ห้องนั้นดูโง่เขลามาก ซ้ำร้าย ยังพึมพำเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนได้ยินด้วย “เขาดูไม่สมควรที่จะเป็นพี่ใหญ่ของพี่หวังเลย”
ในขณะเดียวกันนั้นเด็กนักเลงคนก่อนหน้านี้ก็เอาแต่จ้องมองเย่เชียนอย่างว่างเปล่าและทำตัวไม่ถูก
เย่เชียนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่โมโหและรำคาญเพียงเท่านั้น อันที่จริงแล้วบางครั้งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกลียดพวกเด็กอันธพาลพวกนี้มาก พวกที่วัน ๆ เอาแต่จ้องจะคอยรังแกคนที่อ่อนแอกว่าตน แต่เมื่อเจอบทเรียนจากใครสักคนที่เหนือกว่า พวกเขาก็ได้แต่ละอายใจตัวเอง
เย่เชียนคิดว่าถ้าพวกเขามีเวลายืนโต้เถียงกันไปมาขนาดนี้ แล้วทำไมพวกเขาไม่ออกไปล้างแค้นคนคนนั้นไปเสียเลยล่ะ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่กล้าทำนั่นไง มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและถกเถียงกันไปมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
หลังจากพยักหน้าให้หลี่ตงแล้ว เย่เชียนก็เดินไปข้าง ๆ เตียงของหวังหู่ ยิ่งเขาได้เห็นสภาพของหวังหู่ใกล้ ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ
“ไอ้เสือ… นายเป็นไงบ้าง ?” เย่เชียนถามด้วยความกังวล
หวังหู่พยายามจะอ้าปากพูดและยิ้มตอบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดว่า “พี่สอง… ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้ ?”
“มาหาหมอเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ” เย่เชียนตอบ
“พี่สอง… ผมไม่เป็นไรพี่ พี่ไม่ต้องกังวล ผมพักผ่อนแค่สองสามวันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” หวังหู่พูด
“พี่สอง ผมรู้ว่าพี่ปฏิบัติต่อผมเหมือนกับเป็นน้องชายคนนึง ผมรู้ว่าถ้าพี่รู้พี่จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านพ้นไปง่าย ๆ แน่นอน ผมก็เลยไม่คิดจะบอกพี่สักครั้ง ศัตรูของผมในครั้งนี้มันคือพวกแก๊งชิงจากชิงกรุ๊ป เราไม่สามารถไปทำให้พวกนั้นโกรธเคืองได้ พี่สองสัญญากับผมได้มั้ยว่าพี่จะปล่อยวางเรื่องนี้ไป”
“แล้วมันยังไง!” เย่เชียนตะโกนอย่างเดือดดาล “แก๊งชิงแล้วมันยังไงวะ ? อยู่ชิงกรุ๊ปแล้วมันจะทำไม ? ฉันไม่สนว่าพวกนั้นจะเป็นแก๊งชิงหรือแก๊งอะไร ถ้าพวกมันกล้ามาทำร้ายน้องชายของฉัน พวกมันก็ต้องชดใช้… ไอ้เสือ นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปหรอก พักผ่อนให้หายดีเถอะ… เดี๋ยวพี่สองคนนี้จะล้างแค้นให้นายเอง”
“พี่สอง… ไม่เป็นไรพี่ ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ พวกเราสู้แก๊งชิงไม่ได้หรอก” หวังหู่ปลอบเขาด้วยความกังวลก่อนจะพูดต่อ “พี่จะไม่ให้ผมกังวลได้ยังไง ถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับพี่สองแล้วผมจะทำยังไงล่ะ ? ผมว่าแค่ปล่อยให้เรื่องนี้มันจบลงตรงนี้ก็พอแล้ว ผมไม่เป็นไรหรอก แค่พักผ่อนสักสองสามวันก็หายแล้ว อย่าให้เรื่องมันบานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้เลยพี่”
“ไอ้เสือ… นี่นายยังคิดว่าฉันเป็นพี่ชายของนายอยู่มั้ย ?” เย่เชียนถาม
“แน่นอนสิพี่… พี่จะเป็นพี่ชายของผมตลอดไป” หวังหู่ตอบอย่างหนักแน่น
“ถ้าฉันยังเป็นพี่ชายของนาย นายก็ต้องเชื่อฟังฉัน จำเอาไว้ว่าเพื่อนพี่น้องของเย่เชียนคนนี้จะไม่ถูกใครรังแกโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้! ฉันไม่สนหรอกว่าพวกนั้นจะเป็นแก๊งชิงหรือแก๊งอะไร… ถึงพวกมันจะเป็นราชาแห่งสรวงสวรรค์ก็ตาม ตราบใดที่พวกมันกล้าท้าทายน้องชายของฉันแล้ว มันก็ต้องจ่ายคืนเท่านั้น” เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็หันไปหาหลี่ตงและถามว่า “มันชื่ออะไร ? ส่วนมากมันจะไปอยู่ที่ไหนบ้าง ?”
หลี่ตงเหลือบมองหวังหู่แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขาชื่อ ซือตู้ลิเหริน เป็นเจ้าของโรงหมอเหรินจื่อแห่งราชวงศ์ชิงบัง โดยปกติแล้วเขาจะทำงานที่ไนต์คลับทางตอนใต้… ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความตั้งใจและเป็นส่วนหนึ่งของแผนของเขา ตอนนี้พี่หวังของพวกเราบาดเจ็บสาหัสต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ ผมกลัวว่าบาร์มนต์เสน่ห์ของพวกเราจะไปตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาน่ะสิ ผมว่าเขาน่าจะอยู่ในบาร์มนต์เสน่ห์เมื่อไม่กี่วันมานี้แหละ”
เย่เชียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็ก้มลงตบไหล่หวังหู่เบา ๆ “ไม่ต้องกังวลไป… พี่สองคนนี้จะแก้แค้นให้นายเอง”
“พี่สอง ผม…” หวังหู่พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
เย่เชียนรู้ดีว่าเขากำลังจะพูดคำขอบคุณ แต่เขาไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้นในหมู่พี่น้อง เย่เชียนยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “ไอ้โง่เอ๊ย! นายไม่จำเป็นต้องพูดคำแบบนั้นหรอก”
“ลูกพี่สอง… ผมจะไปกับพี่” หลี่ตงมองเย่เชียนด้วยแววตาแน่วแน่
“ไม่จำเป็น… แค่ฉันคนเดียวก็พอแล้ว” เย่เชียนพูด
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาจ้องมองที่หน้าจออยู่ครู่หนึ่งก็กดรับสายแล้วเดินออกจากห้องไป
“สวัสดีค่ะ คุณเย่หรือเปล่าคะ ?”
“ใช่ครับ คุณคือ…?” เย่เชียนถาม
“ดิฉันจีเมิงฉิงเองค่ะ คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของลูกสาวฉัน… คุณสะดวกมาหรือเปล่าคะ ?” เสียงที่คาดหวังของจีเมิงฉิงดังเข้ามาตามสาย
เย่เชียนรู้สึกมึนงง เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 25 ซึ่งถ้าจีเมิงฉิงไม่โทรมาเตือนเขา เย่เชียนก็คงจะลืมไปแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “อ๋อ… ได้ ๆ แต่ผมอาจจะไปสายหน่อยนะ สักหกโมงเย็นได้มั้ยครับ ?”
“ได้แน่นอน ไม่มีปัญหาค่ะ นั่นสินะหกโมงเย็น… หกโมงเย็น” จีเมิงฉิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตื่นเต้นร้อนรนใจ “ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้านนะคะ”
“ครับ”
เย่เชียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านั้น ‘ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน’ มันดูคลุมเครือและยั่วยวนเกินไป ‘ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน’ มันคืออะไรกันแน่ ? เย่เชียนส่ายหัวไปมาเพื่อขจัดความคิดชั่วร้ายเหล่านี้ออกไปจากจิตใจของเขาในทันที
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ไป เย่เชียนเดินกลับเข้าไปในห้องของหวังหู่อีกครั้ง เขามองหวังหู่แล้วพูดว่า “ไอ้เสือ เมื่อนายหายดีแล้ว ฉันมีอะไรอยากจะคุยกับนายสักหน่อย”
หวังหู่พยักหน้าและ “ได้ครับพี่สอง… เดี๋ยวผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะรีบไปหา”
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถึงแม้ว่าร่างกายของนายจะแข็งแรงแค่ไหน มันก็ยังไม่สามารถขยับได้เหมือนเดิมหรอกนะ นายไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า จะต้องใช้เวลา 100 วันในการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บสาหัสเหรอ ? พักผ่อนให้สบายเถอะ นายไม่ต้องกังวลอะไร พี่สองอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา ถึงยังไงพวกเราก็ต้องอดทน”
“ลูกพี่สอง… ผม…” หลี่ตงอ้าปากจะพูด แต่คำพูดที่เขาอยากพูดยังไม่ทันได้ออกมาจากปาก เย่เชียนก็ยิ้มและตบไหล่ของหลี่ตงเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไรไอ้น้อง แต่นายไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้… นายนอนอยู่โรงพยาบาลคอยดูแลไอ้เสือให้ฉัน แล้วคอยฟังข่าวจากฉันก็พอ”
หลี่ตงมองเย่เชียนแล้วพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในความเป็นจริงเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตัวเขาเองนั้นเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ ในสายตาของแก๊งชิง ถึงแม้ว่าเขาจะไป เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่เขาเชื่อว่าถ้าเย่เชียนอยู่ใกล้ ๆ พวกเขา มันก็ไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาจะต้องกลัว
เย่เชียนไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาคุยกันจนถึงเที่ยงวันแล้ว…
หลินโรโร่วที่เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วเดินเข้ามาในห้อง เธอมองเย่เชียนอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็พูดว่า “ฉันไม่ได้ขอให้คุณรอฉันเหรอ ? ทำไมคุณถึงต้องวิ่งว่อนไปทั่วทุกที่ด้วย ?”
เย่เชียนหัวเราะ “ผมเพิ่งจะชนเข้ากับเขาก่อนหน้านี้เอง ผมก็เลยมาหาเขา เราไม่ได้เจอกันมาสักพักนึงแล้ว พอได้มาคุยกันเลยคุยกันจนลืมเวลาไปเลย”
หลี่ตงโค้งคำนับอย่างเคารพและสุภาพ “สวัสดีขอรับพี่สะใภ้…”
หวังหู่ก็ดิ้นรนอยากจะลุกขึ้นมาเช่นกัน แต่เพราะทั้งตัวของเขาถูกพันผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่นทำให้เขาขยับไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “สวัสดีพี่สะใภ้”
หลินโรโร่วชักเริ่มสนุกและมีความสุขกับการถูกเรียกแบบนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเธอก็ไม่เขินอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยให้กับทุกคนและกล่าวทักทาย
“สวัสดีทุกคน”