ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 147 หนุ่มน้อยแขนเดียว
ทุกคนจ้องมองด้วยความประหลาดใจและเห็นว่ามีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ที่ข้อมือของซือตู้ลิเหริน ส่วนเย่เชียนนั้นกำลังฉีกยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาหันหน้าไปทางประตูทางเข้าของบาร์และเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยมทว่าสง่างาม แต่หากสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่าตรงตำแหน่งแขนซ้ายของเขานั้นกลับเป็นเพียงแขนเสื้อที่ว่างเปล่าและพลิ้วไหวไปตามสายลม
เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เย่เชียน เขาพยักหน้าเล็กน้อยและทักทายอย่างอ่อนโยนว่า “บอส!”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเอื้อมมือไปโอบกอดเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ลมอะไรพัดนายมาถึงที่นี่ได้ ?”
“เจ๊ใหญ่มาที่นี่… ผมก็เลยตามเธอมา” เด็กหนุ่มตอบ
“หลันหลันอยู่ที่นี่เหรอ !?” เย่เชียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที คิ้วของเขาขมวดกันอย่างหนัก
เด็กหนุ่มหันไปเห็นม่อหลง เขาจึงเอื้อมมือไปกอดม่อหลงและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่”
“นั่นสิ… นานมากเลย” ม่อหลงก็กอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดอย่างเอ็นดู
ในกลุ่มเขี้ยวหมาป่านั้น เด็กหนุ่มคนนี้เป็นน้องชายที่เย่เชียนรักและรู้สึกผิดมาโดยตลอด เย่เชียนโทษตัวเองเกี่ยวกับเขามาเนิ่นนาน เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า อู๋หวนเฟิง และฉายาของเขาก็คือ หมาป่าเหินเวหา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการขว้างมีด อาจกล่าวได้ว่ามีดในมือของเขานั้นดูเหมือนกับว่ามันจะมีชีวิตเป็นของมันเอง แต่ทว่าเขากลับต้องสูญเสียแขนไปเพราะเย่เชียน
เย่เชียนจำได้อย่างฝังใจว่า ในค่ำคืนนั้นอู๋หวนเฟิงกลับมาจากข้างนอกด้วยสภาพร่างกายอาบไปด้วยเลือด แขนข้างซ้ายของเขานั้นถูกตัดออกไปโดยสมบูรณ์ตั้งแต่หัวไหล่ แต่เมื่อเขาเห็นเย่เชียน เขากลับมีเพียงรอยยิ้มที่มีความสุขเผยออกมาทั่วใบหน้าในขณะที่เอื้อมมือที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้นไปหยิบมีดหมาป่าสีเลือดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วส่งมันให้กับเย่เชียน “บอส! ผมเอามีดหมาป่าสีเลือดมาให้บอส…”
ทุกครั้งที่เย่เชียนลูบไล้ไปยังใบมีดของมีดหมาป่าสีเลือดนั้น มันก็ทำให้เขาถึงกับต้องหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายอยู่บ่อยครั้ง เพราะอู๋หวนเฟิงถึงกับยอมเสียแขนซ้ายของเขาเพื่อให้ได้มันมา สำหรับชายชาติทหารที่อาจจะต้องเผชิญกับอันตรายได้ทุกเมื่อนั้นการสูญเสียแขนข้างหนึ่งไป มันก็เหมือนกับการสูญเสียชีวิตของตัวเองไปแล้วยังไงยังงั้น แต่อู๋หวนเฟิงกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า ‘ถึงแม้ว่าผมจะมีเพียงแขนแค่ข้างเดียว… แต่ผมก็จะไม่แพ้ใคร’
อู๋หวนเฟิงได้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายเช่นนั้นแล้ว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีแขนซ้ายอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่ทักษะการขว้างมีดของเขาก็ยังคงสมบูรณ์แบบและแข็งแกร่งอย่างจริงแท้ แม้แต่การต่อสู้ในระยะประชิด เขาก็ไม่เป็นรองใครในกลุ่มเขี้ยวหมาป่าเลย
มีดหมาป่าสีเลือดนั้นไม่ได้ทำมาจากทองแดง เหล็กกล้าหรือวัสดุทั่วไป จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถตรวจหาได้ว่ามันทำมาจากอะไรกันแน่ แม้แต่เครื่องตรวจจับโลหะต่าง ๆ ทุกชนิดบนโลกใบนี้ก็ยังไม่สามารถตรวจจับมันได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเย่เชียนถึงสามารถพกมีดหมาป่าสีเลือดผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยไปได้ทุกที่ ขนาดว่าตอนที่เขาพกมันติดตัวนั่งเครื่องบินข้ามประเทศไปด้วย ก็ยังไม่เคยถูกจับได้สักครั้ง
เดิมทีมีดหมาป่าสีเลือดอยู่ในการครอบครองของพิพิธภัณฑ์ของราชวงศ์อังกฤษในสหราชอาณาจักร ซึ่งเย่เชียนบังเอิญได้ไปเห็นมันเข้า เพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกชอบและถูกชะตากับมันมาก เพราะเมื่อมองดูมีดเล่มนี้แล้วมันเหมือนกับมองดูเลือดสด ๆ ที่ไหลไปมาในตัวของมันเอง อีกทั้งมันมาพร้อมกับร่องรอยของความเย็นยะเยือกจาง ๆ แฝงอยู่อย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้แสดงอาการกับมันมากนักในตอนนั้น แต่อู๋หวนเฟิงที่เดินตามเย่เชียนไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ด้วยกันกลับรู้สึกได้ในทันทีว่าเย่เชียนรู้สึกถูกชะตากับมีดหมาป่าสีเลือดเล่มนี้มาก ทำให้ในค่ำคืนนั้นเองที่อู๋หวนเฟิงตัดสินใจแอบลอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์และขโมยมีดหมาป่าสีเลือดที่มีอายุถึงพันปีมา ทว่าเขากลับได้เผชิญหน้ากับกลุ่มสนับสนุนกองกำลังพิเศษเอสเอฟเอสจีของกองกำลังอังกฤษที่กำลังปฏิบัติการอยู่ใกล้ ๆ กับพิพิธภัณฑ์แห่งนั้นเข้าพอดี
ในสหราชอาณาจักร หน่วยเอสเอฟเอสจีเป็นกองกำลังพิเศษที่ประกอบไปด้วยกลุ่มทหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยจากกองทัพบกหรือกองทัพเรือต่างก็ผสมกันอยู่ในหน่วยรบพิเศษนี้กันทั้งนั้น และถ้าจะให้พูดถึงฝีมือต่าง ๆ ของพวกเขา เช่น นักแม่นปืนหรือการปฏิบัติการทุก ๆ รูปแบบในกองทัพก็ไม่ควรดูถูกหรือมองข้ามเลย
ถึงแม้ว่าในที่สุดอู๋หวนเฟิงจะสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของเอสเอฟเอสจีได้ แต่เขาก็ต้องสูญเสียแขนซ้ายของเขาไปอยู่ดี ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเย่เชียนเลือกที่จะไม่มอบภารกิจที่ต้องเสี่ยงอันตรายให้กับเขาอีกเลย และอู๋หวนเฟิงก็ถูกสั่งให้ไปเป็นผู้คุ้มกันของผู้ที่รับผิดชอบและควบคุมดูแลจัดการเครือบริษัทน่านฟ้ากรุ๊ปที่มีนามว่า ซ่งหลัน แทน
“นายมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แล้วทำไมไม่รู้จักส่งข่าวมาให้ทางเรารู้บ้างเลย ฉันจะได้ไปรับ!” เย่เชียนถามอย่างจู้จี้จุกจิก
“ก็เจ๊ใหญ่เค้าอยากเซอร์ไพรส์บอสน่ะสิ” อู๋หวนเฟิงตอบ “แต่เราจะอยู่ที่นี่กันไม่นานหรอก… แจ็คบอกว่า บอสกับพี่ม่อหลงอยู่ที่นี่ ผมก็เลยมาหาเฉย ๆ ”
เย่เชียนพยักหน้าอย่างหมดหนทางและถอนหายใจด้วยความหดหู่ “เฮ้อ…! แล้วหลันหลันดั้นด้นมาถึงนี่ทำไมเหรอ ? มันลำบากนะ”
อู๋หวนเฟิงและม่อหลงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พวกเขารู้สึกสนุกมากกับการมีโอกาสได้เห็นท่าทางอ่อนแอและไร้หนทางของเย่เชียนต่อหน้าเจ๊ใหญ่ซ่งหลัน “เจ๊หลันบอกว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอกตอนนี้น่ะ… แต่ที่เซี่ยงไฮ้นี่จำเป็นจะต้องมีการปรับการควบคุมและดูแล เจ๊หลันแกก็เลยมอบหมายงานบางส่วนให้กับสำนักงานใหญ่แล้วก็มาที่นี่ด้วยตัวเองเสียเลยไง” อู๋หวนเฟิงตอบง่าย ๆ
เย่เชียนไม่รู้ว่าตัวเองจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี เขาไม่แน่ใจเลยว่าซ่งหลันกำลังหมายถึงอะไรเรื่องการขยายตัวธุรกิจในเซี่ยงไฮ้และมันจำเป็นจะต้องมีการควบคุมดูแลงั้นเหรอ ? อาจเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทรมานเขามานานมากแล้ว เธอจึงต้องการที่จะจัดการเขาสักหน่อยให้หายคันไม้คันมืออย่างนั้นใช่ไหม ?
“ไว้เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันต่อเรื่องนี้นะ” เย่เชียนตบไหล่อู๋หวนเฟิงเบา ๆ
อู๋หวนเฟิงพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ เขาเดินไปที่ด้านข้างของซือตู้ลิเหรินพร้อมกับเหลือบตามองซือตู้ลิเหรินอย่างเฉยเมยทันใดนั้นเขาก็เหยียบลงไปที่ร่างของซือตู้ลิเหรินอย่างแรก ขณะที่มือขวาจับด้ามมีดแล้วดึงออกมา วินาทีนั้นเองที่ซือตู้ลิเหรินแหกปากกรีดร้องโหยหวนราวกับหมูที่กำลังจะถูกเชือดและมีเลือดพุ่งออกมาอย่างกับน้ำพุ
เย่เชียนเดินไปนั่งยอง ๆ ลงตรงข้างซือตู้ลิเหรินและตบหน้าของเขาเบา ๆ พร้อมพูดว่า “อย่าให้ฉันเจอแกอีกนะ! ไม่งั้นฉันจะไม่ปล่อยแกไปง่าย ๆ เหมือนอย่างครั้งนี้แน่!”
ซือตู้ลิเหรินไม่มีแม้แต่แรงที่จะตอบกลับ เขาทำได้เพียงแค่ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะข่มเอาไว้ได้ เย่เชียนชายตามองซือตู้ลิเหรินอย่างไม่แยแสและค่อย ๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อแกมาทำร้ายน้องชายฉัน! เพราะงั้นวันนี้แกต้องมีบางอย่างมาชำระล้าง! แกคิดว่าไง ?”
“อะไรล่ะ ? แก… เอ้ย! คุณต้องการอะไร ?” ซือตู้ลิเหรินฝืนกลั้นต่อความเจ็บปวดและตอบกลับ
“มือขวาของแกเป็นไง!” เย่เชียนพูดอย่างเยือกเย็น
“ไม่… ไม่นะ… อย่า!!!” ซือตู้ลิเหรินพูดด้วยความหวาดกลัว “ฉัน… ฉันจะให้เงินคุณ… เท่าไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการเลย!”
เย่เชียนหัวเราะอย่างเย้ยหยันและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ในขณะเดียวกันนั้นอู๋หวนเฟิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเขวี้ยงมีดของเขาออกไปสุดแรง ด้วยพลังอังมากมายมหาศาลทำให้มีดพุ่งทะลุผ่านข้อมือของซือตู้ลิเหรินและตรึงแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา จากนั้นอู๋หวนเฟิงก็จับด้ามมีดแล้วค่อย ๆ ลากมันผ่านเนื้อเยื่อข้อมือของซือตู้ลิเหรินออกจากแขนของเขา มันทำให้ซือตู้ลิเหรินกรีดร้องโหยหวนและเป็นลมหมดสติไป
หลังจากเสร็จสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว อู๋หวนเฟิงก็เช็ดเลือดที่ติดมากับมีดออกด้วยเสื้อผ้าของซือตู้ลิเหริน เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นและเก็บมีดของเขาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
“ไอ้น้อง… นายนี่จะเก่งเกินไปแล้ว! ว่าแต่มีดที่นายขว้างออกไปก่อนหน้านี้มันใช่มีดสั้นหลี่บินจากเจียงหูหรือเปล่าน่ะ ?” หวันชุนหัวเดินมาถาม
อู๋หวนเฟิงเพียงแค่เหลือบมองเขาแต่ไม่ได้ตอบกลับ
“โอ้โห! ไอ้หนู… นี่นายเคยถ่ายหนังศิลปะการต่อสู้ของจีนโบราณมาหรือเปล่าเนี่ย !?” หวันชุนหัวยังคงพูดต่อไป
เย่เชียนจึงหันไปมองหน้าหวันชุนหัวแล้วพูดว่า “เขาเป็นน้องชายอีกคนของกลุ่มเขี้ยวหมาป่า ชื่ออู๋หวนเฟิง… หรือฉายาหมาป่าเหินเวหา! อู๋หวนเฟิง… คนนี้คือเพื่อนของฉันที่เซี่ยงไฮ้นี่ ชื่อหวันชุนหัว”
อู๋หวนเฟิงมองไปที่หวันชุนหัวและทำเสียงบางอย่างอยู่ในลำคอ
“ผมยังมีบางอย่างที่ต้องทำอยู่… พี่หวันให้พี่ไถ่จู้พาไปโรงพยาบาลก็แล้วกันนะ” เย่เชียนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นสภาพของหวันชุนหัวที่สะบักสะบอมจากการต่อสู้เมื่อครู่ชัด ๆ