ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 261 ผู้หญิงใจโลเล
ที่เย่เชียนได้รับปากและสัญญากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเอาไว้ในครั้งนั้นซึ่งเย่เชียนก็ยังคงรู้สึกว่าควรจะช่วยหวงฟู่ชิงเตี๋ยนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถึงแม้ว่าครั้งที่แล้วจะเป็นเพราะความผิดพลาดของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติเองก็ตาม แต่เมื่อได้พบกับหมาป่าผีไป๋ฮวยในครั้งนี้แล้วเย่เชียนก็รู้สึกว่าอยากจะสานต่องานที่รับปากเอาไว้ให้ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนก็ยังไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับไป๋ฮวยในฐานะศัตรูเท่าไหร่นัก กลับกันเย่เชียนนั้นก็ยังคงต้องการที่จะหยุดเขาด้วยตัวเองเพราะถ้าหากว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยต้องสู้กับประเทศทั้งประเทศแล้วล่ะก็มันก็เป็นทางตันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเย่เชียนก็ไม่ต้องการเห็นผลลัพธ์ของสุดท้ายที่น่าสังเวชของไป๋ฮวยเลย
“ทำไมนายถึงต้องไปช่วยพวกโง่พวกนั้นจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติด้วยล่ะ” ไป๋ฮวยหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ราชาหมาป่าเย่เชียนผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นถึงผู้นำของเขี้ยวหมาป่ากลายเป็นขี้ข้าของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไปแล้วงั้นเหรอ?”
“พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น” เย่เชียนพูดต่อ “พระบรมสารีริกธาตุไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับพี่เลย..และเป็นแค่วัตถุทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศาสนาแค่นั้น..พี่ทำไปเพื่ออะไร..เป้าหมายของพี่ก็บรรลุแล้วไม่ใช่เหรอ..หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติก็ดำเนินเรื่องนี้กับ CIA ตามที่คุณต้องการไปแล้วหนิ..และทำไมพี่ถึงยังเก็บเอาไว้อยู่ล่ะ?”
“นายเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกให้พวกสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติผลักความรับผิดชอบไปให้ประเทศญี่ปุ่นน่ะ..นายเองก็ไม่เลวเลย” ไป๋ฮวยพูดต่อ “เอาเถอะ..ยังไงตอนนี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร” หลังจากไป๋ฮวยพูดจบเขาก็โยนห่อพัสดุบางอย่างออกไป
เย่เชียนก็คว้ามันเอาไว้และเปิดมันเพื่อดูปรากฏว่ามันเป็นวัตถุที่ดูเหมือนไข่มุกราตรีอยู่ข้างในและมันก็เปล่งแสงสีทองออกมาและทำให้เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าไป๋ฮวยจะยอมมอบมันง่ายๆ ถึงขนาดนี้ หรือบางทีอาจจะยังมีร่องรอยของความเมตตาและความภักดีอยู่ในใจของเขาก็เป็นได้
“ฉันขอฝากพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติชั่วคราวก็แล้วกัน..และฉันจะไปรับมันเองเมื่อฉันต้องการในสักวันหนึ่ง..นายควรบอกให้พวกเขาเก็บรักษาเอาไว้ดีๆ ล่ะไม่อย่างงั้นคราวหน้าฉันจะไม่ให้คืนง่ายๆ แบบนี้หรอกนะ” หลังจากไป๋ฮวยพูดจบเขาก็กระโดดข้ามกำแพงไปและหายไปในมุมมืดท่ามกลางความมืดมิด
การกระทำของหมาป่าผีไป๋ฮวยทำให้เย่เชียนงุนงงและไม่เข้าใจเลยว่าไป๋ฮวยนั้นต้องการทำอะไรกันแน่? เหตุใดเขาถึงส่งคืนพระบรมสารีริกธาตุอย่างง่ายดายเช่นนี้และยังบอกเอาไว้อีกว่าเขาจะไปขโมยมันอีกครั้งเมื่อมันมีประโยชน์กับเขาในอนาคต เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในพระบรมสารีริกธาตุนี้? หรือว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยก็แค่ปั่นหัวพวกเขาเล่นเพียงเท่านั้น? หรือจะใช้มันเพื่อกระตุ้นให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศ?
เมื่อเห็นหมาป่าผีไป๋ฮวยจากไปเช่นนี้เย่เชียนก็ตกอยู่ในความงุนงงอย่างมาก
หวงฟู่เส้าเจี๋ยไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้อีกต่อไปจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “อาจารย์เขาเป็นใครเหรอ?”
เย่เชียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อยแต่ก็ดูขมขื่นอย่างมากจากนั้นก็พูดว่า “เขามีชื่อว่าหมาป่าผีไป๋ฮวย..เขาเป็นนักรบอันดับหนึ่งในกองกำลังทหารรับจ้างของเขี้ยวหมาป่าและยังเป็นเหมือนพี่ชายของฉันอีก..เรามีอาจารย์คนเดียวกันน่ะ..และทักษะการต่อสู้กับความสามารถของเขานั้นก็เรียกได้ว่าเก่งที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้”
หวงฟู่เส้าเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและก็ไม่แปลกใจเลยที่การแสดงออกของเย่เชียนและชิงเฟิงนั้นดูแปลกไปอย่างมากเมื่อเขาคนนั้นปรากฏตัว ซึ่งปรากฏว่าพวกเขานั้นรู้จักกันมาก่อนแล้ว “อาจารย์คือ…” หวงฟู่เส้าเจี๋ยถามด้วยความงุนงง
“ใช่! ..ฉันก็เป็นเขี้ยวหมาป่าเหมือนกัน” เย่เชียนพูด
“ให้ตายเถอะอาจารย์! ..ผมพูดตรงๆ เลยว่าผมน่ะชื่นชมเหล่าทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ามาโดยตลอด..ผมเคยได้ยินพวกลุงกับพ่อพูดถึงทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ามาตั้งนานแล้ว..มันอยู่ในหัวของผมเต็มไปหมด..และอาจารย์ก็เป็นคนของเขี้ยวหมาป่าอีก..โว้ว..ฉายาในเขี้ยวหมาป่าของอาจารย์คืออะไรหรอ..คนเมื่อกี้หมาป่าผี..แล้วอาจารย์ล่ะ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดและถามด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
“บอสเป็นผู้นำสูงสุดของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าของเรา..และเขาก็มีฉายาว่า..ราชาหมาป่า!” ชิงเฟิงพูด
“ราชาหมาป่า! ..โว้ว..เป็นฉายาที่สุดยอดไปเลย..กองทัพของผมน่ะชื่อรหัสและฉายานั้นมันแย่มาก..ไม่ว่าจะเป็นอินทรีย์..เหยี่ยว..นกแร้ง..นกฮูกมันไม่เท่เลย..ชิงเฟิงแล้วนายล่ะ? ..มีชื่อหรือฉายาว่าอะไรหรอ?” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดและถาม
“หมาป่าพายุ” ชิงเฟิงตอบ
“หมาป่าพายุ! ..หมาป่าพายุ!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพึมพำอยู่สองครั้งและพูดว่า “ฉายานี้ก็เท่..แต่ไม่เท่เท่าราชาหมาป่าเลย”
“ไอ้เวรนี่! ..ราชาหมาป่ามีได้แค่คนเดียว..นายคิดว่าใครๆ ก็สามารถใช้ชื่อราชาหมาป่าได้อย่างงั้นเหรอ?” ชิงเฟิงจ้องเขม็งไปที่หวงฟู่เส้าเจี๋ยและพูด
หลังจากมองดูชิงเฟิงกับหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วเย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “เราไปกันเถอะ!” หลังจากพูดจบพวกเขาก็กระโดดข้ามกำแพงบ้านไป และท้ายที่สุดแล้วเฝิงเฝิงก็สิ้นชีพลงอยู่ภายในบ้านสุดหรูที่มีก้องวงจรปิดและระบบป้องกันภัยต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้อยากที่จะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนในภายหลังเขาจึงต้องรีบออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด
…..
ข่าวการเสียชีวิตของเฝิงเฝิงก็แพร่กระจายไปอย่างถาโถมและในภายในเวลาเพียงวันเดียวเมืองหางโจวทั้งเมืองก็วุ่นวาย และผู้ใต้บังคับบัญชาของเฝิงเฝิงทั้งหมดก็ไม่ได้คิดที่จะแก้แค้นให้กับเจ้านายเลย กลับกันพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เริ่มที่จะต่อสู้กันเองภายในเพื่อชิงตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมและทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างก็ตระหนักดีว่าอีกไม่นานอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ของเฝิงเฝิงจะต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายฝั่งและหลายฝ่ายอย่างแน่นอน
เฝิงซื่อเหลียงก็พยายามที่จะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์โดยรวมแต่ด้วยพลังและความสามารถอันน้อยนิดของเขานั้นเขาจะสามารถปราบปรามเหล่าเสือและจิ้งจองเฒ่าพวกนั้นได้อย่างไร และถึงแม้ว่าบางคนยังคงยืนกรานที่จะสนับสนุนเฝิงซื่อเหลียงอยู่ก็ตาม แต่ทว่าทุกคนก็รู้ดีว่าทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อที่จะคอยชักใยเขาอยู่เบื้องหลังเพียงเท่านั้น
แน่นอนว่าข่าวเหล่านี้นั้นไม่สามารถอยู่นอกสายตาของหลี่จื้อเทียนได้และเมื่อเขาเห็นข่าวนี้หลี่จื้อเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจและถอนหายใจไปกับการเคลื่อนไหวต่างๆ ของเย่เชียน เพราะหลังจากเรื่องราวที่ร้านกาแฟของเมื่อวานได้จบลงเย่เชียนก็ไปสังหารเฝิงเฝิงในตอนกลางคืนซึ่งเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมและเด็ดขาดอย่างมาก เพราะสิ่งนี้ยังสามารถบ่งบอกถึงความสามารถของเย่เชียนได้เป็นอย่างดีและหลี่จื้อเทียนก็รู้สึกยินดีและพอใจอย่างมากและตระหนักว่าการตัดสินใจในการร่วมมือกันของพวกเขาในครั้งนี้เขาไม่ได้คิดผิดเลย
หลินไห่ก็เห็นข่าวเหล่านี้เช่นกันในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งหลินไห่เองก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเครือข่ายและบุคลากรระดับสูงในรัฐบาลของเขา อย่างไรก็ตามหลินไห่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเย่เชียนทันทีเพราะหลังจากที่เย่เชียนมาเยือนเมืองหางโจวเฝิงเฝิงก็ถูกฆ่าตายในคืนนั้นทันที อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ต่างๆ ในเมืองหางโจว เพราะเมื่อเฝิงเฝิงได้เสียชีวิตลงก็ทำให้ถนนทุกสายและทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองหางโจวก็ตกอยู่ในความวุ่นวายกันไปหมด และในเวลานี้พวกรัฐบาลก็ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเข้มงวดเพราะมิเช่นนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เลวร้ายก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลก็กำลังจะถูกโยกย้ายไปเป็นคณะกรรมการรัฐบาลกลางและเมื่อเป็นเช่นนั้นหลินไห่ก็กำลังคว้านหาผู้รับช่วงต่อตำแหน่งที่ว่างอยู่ของเขานั่นเอง
เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหางโจวอีกต่อไปเพราะเขารีบบินกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที เพราะเขาไม่ได้สนใจเลยว่าเมืองหางโจวนั้นจะยุ่งวุ่นวายมากสักแค่ไหน เพราะถึงยังไงแล้วก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องทำในเมืองเซี่ยงไฮ้และเขาก็มีเวลาอีกไม่มากนัก
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้วชิงเฟิงก็พาหวงฟู่เส้าเจี๋ยไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัด ในขณะที่เย่เชียนขับรถกลับไปที่บ้านของฉินหยู
ปรากฏว่าฉินหยูก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านและจ้าวหยาเองก็ยังไม่ได้กลับมา เพราะหลังจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจู้ซานและซูเจี้ยนจุนได้รับการแก้ไขหมดแล้วจ้าวหยาก็ไม่ได้มาปรากฏตัวให้เย่เชียนเห็นในเมืองหนานจิงอีก เพราะฉะนั้นเย่เชียนจึงคิดว่าจ้าวหยาคงกลับมาที่เมืองเซี่ยงไฮ้แล้ว แต่ทว่าตอนนี้เขาไม่เห็นเธอเลยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับเธออย่างมาก นั่นก็เพราะว่าสาเหตุที่เย่เชียนสามารถเอาชนะจู้ซานและซูเจี้ยนจุนได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เป็นเพราะความโลภของพวกเขาเองซึ่งจ้าวหยาก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้อย่างมากเช่นกัน เพราะงั้นเย่เชียนจึงรู้สึกว่าเขานั้นเป็นหนี้จ้าวหยาอย่างมากมายและยากที่จะจ่ายคืนให้กับเธอได้
เย่เชียนก็นั่งรอจนถึงช่วงบ่ายซึ่งฉินหยูและจ้าวหยาก็ยังไม่กลับมาสักที และเย่เชียนก็โทรศัพท์ไปหาพวกเธอแต่กลับเป็นเสียงของพนักงานบริการลูกค้า “ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้!” และเมื่อเย่เชียนได้ยินเสียงดังกล่าวเขาก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองอย่างมาก จากประสบการณ์หลายสิบปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานั้นเย่เชียนรู้ดีว่าพวกผู้หญิงนั้นมักจะมีความดื้อรั้นและความเอาแต่ใจอยู่ในตัวของพวกเธอ
แจ็คได้ทำเรื่องขอย้ายอู๋หวนเฟิงจากโรงพยาบาลในเมืองหนานจิงมายังโรงพยาบาลของเมืองเซี่ยงไฮ้โดยตรง เพราะสุดท้ายแล้วที่แห่งนี้ก็ยังเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวของเขี้ยวหมาป่าอยู่ดีเพราะจะทำให้พวกเขาดูแลอู๋หวนเฟิงได้ง่ายกว่าและเย่เชียนก็ยังต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลงในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกด้วย และหลังจากหาอะไรง่ายๆ ทานในมื้อเที่ยงแล้วเย่เชียนก็โทรไปหาแจ็คและขอให้เขารวบรวมเอกสารข้อมูลต่างๆ ของสถานการณ์ในเมืองเซี่ยงไฮ้ล่าสุดและส่งผ่านทางคอมพิวเตอร์ในตอนกลางคืนของวันนี้
อย่างไรก็ตามความเงียบงันนั้นมันน่าเบื่อมากเกินไปและจู่ๆ เย่เชียนก็คิดถึงเบงเบ็งตัวน้อยแสนน่ารักขึ้นมาและเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างๆ ขึ้นมาเพราะเด็กคนนี้น่ารักอย่างมากและเย่เชียนก็ชอบเธออย่างมากด้วย ดังนั้นเย่เชียนจึงขับรถออกไปตามท้องถนนเพื่อซื้อของขวัญและขนมที่เหล่าเด็กๆ ชอบและขับรถตรงไปที่บ้านของจีเมิงฉิงทันที
คนที่มาเปิดประตูก็คือเบงเบ็งและเมื่อเธอเห็นเย่เชียนเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุขและตะโกนว่า “พี่ชาย! ..ทำไมพี่ชายมาที่นี่หรอ”
เมื่อเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เรียกเขาก็ทำให้เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุข ว่ากันว่าความไร้เดียงสาและความน่ารักของเด็กๆ นั้นเป็นดั่งยาอายุวัฒนะที่ดีที่สุดในการขจัดความกังวลและความเครียดนั้นมันไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอะไรเลย เพราะเมื่อเย่เชียนได้เผชิญหน้ากับเบงเบ็งแล้วเขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก เพราะเขาไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรมากมายและไม่ต้องระมัดระวังอะไรและไม่ต้องใช้สมองในการวางแผนกลยุทธ์ใดๆ ทั้งสิ้น “แล้วแม่ของหนูอยู่ไหนหรอ” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“คือแม่… “เบงเบ็งพูดและหยุดหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ดูเศร้าอย่างมาก
เย่เชียนก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หนูเป็นอะไรไป..แม่ของหนูถูกรังแกหรอ..หนูบอกพี่ชายได้นะ..เดี๋ยวพี่ชายจะไปจัดการคนเลวให้”
“ไม่ใช่ค่ะ..แม่บอกให้หนูเรียกลุงคนนั้นว่าพ่อ..แต่เบงเบ็งไม่ชอบเขาและเบงเบ็งก็ไม่อยากเรียกเขาว่าพ่อน่ะ” เบงเบ็งพูดด้วยท่าทางที่ดูเสียใจอย่างมาก
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเล็กน้อยและแม้ถึงว่าเขาจะไม่ได้รักจีเมิงฉิงและไม่เคยคิดที่จะมีความสัมพันธ์กับเธอเลยก็ตาม แต่การกระทำของจีเมิงฉิงเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเล่นตลกกับตัวเองและตัวเขาเล็กน้อย เพราะเธอที่บอกว่าเธอนั้นชื่นชมในตัวเขาอย่างมากและพูดกับเขาอย่างจริงใจ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ไปคบกับผู้ชายคนอื่น แต่เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเธอเลย เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอเลยและเขาก็เพียงแค่ช่วยเธอเพราะเธอเป็นชาวจีนเหมือนกับเขาและเธอก็ค่อนข้างน่าสงสารเพียงแค่นั้น ซึ่งเธอเองก็สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้เพราะอิสรภาพของเธอก็เป็นของเธอและสิทธิ์ต่างๆ ก็เป็นของเธอเอง
เย่เชียนลูบหัวของเบงเบ็งอย่างอ่อนโยนและพูดขึ้นมาว่า “เด็กโง่เอ๋ย..แม่ของหนูน่ะเลี้ยงหนูด้วยตัวคนเดียวลำบากมากเลยนะ..หนูต้องเข้าใจแม่เขาหน่อยนะ”
เบงเบ็งจ้องมองเย่เชียนด้วยความสับสนงุนงงและพูดว่า “แต่ว่าพี่ชายคะ..เบงเบ็งอยากให้พี่ชายเป็นพ่อของเบงเบ็งอ่า!”
เย่เชียนถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “พี่ชายมีแฟนแล้วน่ะ..พี่ชายเป็นพ่อของหนูไม่ได้หรอก..จำเอาไว้นะว่าหนูต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟังแม่นะ..และไม่ต้องห่วงนะถ้าพี่ชายมีเวลาว่างพี่ชายจะมาหาหนูเอง”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไปแต่ทว่าเบงเบ็งก็ดึงเสื้อของเย่เชียนเอาไว้อย่างไม่เต็มใจและเดินตามหลังเย่เชียนมา ซึ่งในทันใดนั้นจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกและจีเมิงฉิงกับชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามา.
.
.
.
.
.
.
.