ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 275 เลขาธิการพรรคการเมืองเทศบาลเมือง
ตอนที่ 275 เลขาธิการพรรคการเมืองเทศบาลเมือง
ผู้คนหลายคนในย่านเมืองเก่าเหล่านั้นล้วนเป็นคนเก่าคนแก่และหลายคนก็รู้จักและคุ้นเคยกับเย่เชียนและพ่อของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งตงเซียงกรุ๊ปนั้นก็ได้ส่งพวกมาเฟียใต้ดินไปข่มขู่ชาวบ้านเหล่านั้นจนบางคนก็ได้รับบาดเจ็บอีกด้วยเพราะเหล่าคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้มานานนั้นก็ดื้อรั้นและไม่อยากที่จะย้ายถิ่นฐานกันไป
ผู้คนหลายคนในย่านเมืองเก่าเหล่านั้นล้วนเป็นคนเก่าคนแก่และหลายคนก็รู้จักและคุ้นเคยกับเย่เชียนและพ่อของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งตงเซียงกรุ๊ปนั้นก็ได้ส่งพวกมาเฟียใต้ดินไปข่มขู่ชาวบ้านเหล่านั้นจนบางคนก็ได้รับบาดเจ็บอีกด้วยเพราะเหล่าคนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้มานานนั้นก็ดื้อรั้นและไม่อยากที่จะย้ายถิ่นฐานกันไป
ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีใครที่อยากจะไปต่อต้านบริษัทใหญ่ๆ อย่างตงเซียงกรุ๊ปหรอกแต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไปพวกเขาจะต้องไปอยู่ที่ไหนกัน นั่นก็เพราะว่าราคาที่ดินและบ้านในปัจจุบันนั้นก็ค่อนข้างที่จะแพงอย่างมากซึ่งค่ารื้อถอนและค่าชดเชยที่พวกเขาจะได้รับนั้นกลับต่ำอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ในอนาคตต่อๆ ไป?
ถึงแม้ว่าตงเซียงกรุ๊ปจะสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ของเขตเทศบาลและรัฐบาลมาให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่คนเหล่านั้นซึ่งว่ากันว่าเป็นการรับมือและช่วยเหลือเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้แต่ทว่ามันกลับเป็นเหมือนภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในนั้นเสียมากกว่า
พ่อของเย่เชียนก็มีบ้านอยู่ที่นั่นเช่นกันและตราบใดที่เย่เชียนไม่เห็นด้วยล่ะก็นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีใครที่สามารถรื้อถอนที่นั่นได้ทั้งสิ้น เช้าวันต่อมาเย่เชียนได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขาโดยบอกว่าคนจากรัฐบาลและบริษัทก่อสร้างในโครงการบูรณะเมืองมาที่เมืองเก่าอีกครั้งและทำร้ายชาวบ้านในละแวกนั้นๆ ซึ่งเมื่อเย่เชียนได้ฟังเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วพลางคิดว่าหน่วยงานของรัฐบาลเหล่านี้ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เพราะกลับปล่อยให้พวกตงเซียงกรุ๊ปใช้อันธพาลใต้ดินเหล่านั้นไปทำร้ายผู้คน ซึ่งพวกตงเซียงกรุ๊ปก็ควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและชาวบ้านเหล่านั้นแต่เหตุใดพวกนั้นจึงต้องทำเช่นนี้
เย่เชียนไม่เชื่อว่าสิ่งที่พวกตงเซียงกรุ๊ปทำไปนั้นก็เพื่อการบูรณะเมืองหรือการพัฒนาเมืองเลยเพราะตงเซียงกรุ๊ปเพียงจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
หลังจากวางสายของพ่อแล้วเย่เชียนก็เรียกชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยแล้วรีบไปที่เขตเมืองเก่า
ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึงที่นั่นและพบผู้ชายสองสามคนในชุดสูทพร้อมกระเป๋าหนังที่ถือเอาไว้และถ้วยน้ำชาในมือซึ่งพวกเขากำลังเทศนากับชาวเมืองเก่าอยู่และด้านหลังพวกเขาก็มีคนหนุ่มสาวอยู่หลายคนในชุดวิศวกรสร้างเมือง ชาวบ้านของเมืองเก่านั้นไม่มีทาทีที่ต่อด้านใดๆ พวกเขาเพียงฟังกันอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาจะกล้าต่อต้านคนพวกนี้ได้อย่างไร พวกเขาจึงฟังกันอย่างเงียบๆ และก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่เย่เชียนลงจากรถแล้วเขาก็เดินตรงไปยังฝูงชนและพบว่ามีชายชราคนหนึ่งที่มีบาดแผลไม่ลึกมากเพียงแค่มีรอยถลอกซึ่งคิดว่าน่าจะเกิดจากการล้มลงกับพื้น และเย่เชียนก็เดินเข้าไปถามว่า “ลุงเป็นอะไรมั้ย”
ชายชราคนนี้และพ่อของเย่เชียนนั้นเป็นเพื่อนกันซึ่งพวกเขามักจะเล่นหมากรุกด้วยกันเสมอและแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นก็รู้จักเขาดีและชายชราเองก็รู้จักลูกชายคนที่สองของเพื่อนเขาดีเช่นกัน จากนั้นชายชราก็พูดว่า “ฉันไม่เป็นไรๆ ..ฉันแค่ถูกหมาบางตัววิ่งชนเฉยๆ”
“ไอ้แก่..เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ!” ผู้บริหารของโครงการตะคอกชายชราอย่างไม่สบอารมณ์ และเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหยุดหรือห้ามปรามเขาเลยซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาต้องการใช้พลังของสมาชิกผู้บริหารเมืองเหล่านี้เพื่อยับยั้งและสยบชาวบ้านเหล่านี้
เย่เชียนหันกลับมามองผู้บริหารโครงการสร้างเมืองและเหล่าเจ้าหน้าที่ของเขตเทศบาลอย่างเย็นชาและถามว่า “เมื่อกี้ใครทำเขา”
“แกเป็นใคร? ..รัฐบาลกำลังทำงานกันอยู่แล้วมันใช่เวลาที่จะเข้ามาแทรกแซงหรือเปล่า?” เลขาธิการพรรคการเมืองเขตเทศบาลเจียงปินหยางเหลือบมองไปที่เย่เฉียนและกล่าว
“ไอ้พวกเสแสร้งแกล้งทำ..หน้าไหว้หลังหลอก” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูดอย่างเกรี้ยวกราดเพราะเขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นคนของรัฐเหล่านี้ทำตัวโออ่าวางท่าและยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าที่คอยข่มเหงคนไม่มีทางสู้
“แกกล้าด่าฉันงั้นเหรอ?” เจียงปินหยางตกตะลึงเล็กน้อยเพราะไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาเช่นนี้มาก่อนเพราะเขาเป็นถึงเลขาธิการของพรรคเทศบาลเมือง
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ! ..พวกแกทำแบบนี้กับชาวบ้านได้ยังไง!” หวงฟู่เส้าเจี๋ยพูด
เย่เชียนหันหน้าไปมองชายชราแล้วถามว่า “เมื่อกี้ใครทำลุง?”
ชายชราชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ของโครงการบูรณะเมืองคนหนึ่งและเย่เชียนก็หันไปอย่างช้าๆ และก้าวไปข้างหน้าจากนั้นก็ถามว่า “คุณทำหรือเปล่า..ใช้มือข้างไหน?”
ดวงตาที่เย็นยะเยือกของเย่เชียนได้จ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่ของโครงการและทำให้ร่างกายของชายคนนั้นสั่นสะท้านและมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในใจหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “แล้วแกเป็นใคร..ทำไมเราถึงต้องรายงานสิ่งต่างๆ ให้แกด้วย?” น้ำเสียงดูหยิ่งยโสอย่างมากแต่เห็นได้ชัดเลยว่าปากของเขาสั่นเพราะขาดความมั่นใจเล็กน้อย
เย่เชียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้างั้นผมจะแจ้งให้พวกคุณทราบในวันนี้ซะ” หลังจากพูดแบบนั้นเย่เชียนก็เตะออกไปอย่างแรงและทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ของโครงการก็กระเด็นและล้มลงไปกับพื้น ส่วนผู้บริหารโครงการที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะเย่เชียนคนนี้เป็นคนแรกเลยที่กล้าท้าทายพวกเขา
ชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยนั้นที่ปรารถนาให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวายมาเสมอก็ตื่นเต้นในทันทีและฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและเมื่อเจ้าหน้าที่จากเทศบาลเมืองและผู้บริหารของโครงการบูรณะเมืองเห็นฉากนี้พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเพราะเจ้าหน้าที่รัฐเช่นพวกเขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างโจ่งแจ้งและเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดหมายเลข 110 เพื่อแจ้งไปยังสถานีตำรวจให้ส่งตำรวจมาจัดการ
เย่เชียนก็เดินตรงไปที่เจ้าหน้าที่โครงการคนนั้นแล้วกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมาและพูดว่า “ในเมื่อคุณไม่บอกว่าเป็นมือข้างไหน..เพราะงั้นผมจะถือว่าเป็นมือทั้งสองข้างก็แล้วกัน!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็คว้าแขนทั้งสองข้างของเจ้าหน้าที่โครงการคนนั้นและบิดแขนของเขาข้างหนึ่งอย่างแรงและทันใดนั้นก็มีเสียง “กรึก! ..” กระดูกของแขนทั้งสองข้างก็หักในทันทีและเจ้าหน้าที่โครงการก็กรีดร้องและเป็นลมไป
เหล่าชาวเมืองที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเพราะนี่เป็นภาพที่น่าตกใจที่สุดที่พวกเขาได้เห็นในรอบหลายปีที่ผ่านมาเพราะไม่เคยมีใครเลยที่กล้าลงไม้ลงมือกับคนของรัฐบาลต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองเช่นนี้มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็มีความยินดีอยู่ในใจของพวกเขาและพวกเขาต่างก็ให้กำลังใจเย่เชียนอยู่อย่างลับๆ
เย่เชียนก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้เพราะเขาคว้ามืออีกข้างของเจ้าหน้าที่โครงการบริหารเมืองและบิดมันอย่างแรงและทำให้เจ้าหน้าที่เฉิงกวนที่เป็นลมอยู่สะดุ้งขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดและกรีดร้องอย่างโหยหวนจากนั้นก็เป็นลมไปอีกครั้งอย่างน่าสมเพช ในเวลาเดียวกันเหล่าเจ้าหน้าที่ของโครงบริหารเมืองที่เหลือก็ถูกชิงเฟิงและหวงฟู่เส้าเจี๋ยจัดการและหลังจากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ของโครงการทั้งหมดก็นอนโอดครวญอยู่บนพื้น
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปหาเจียงปินหยางเลขาธิการของพรรคเทศบาลเมืองอย่างช้าๆ และมองดูเขาขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและถามว่า “คุณเป็นหัวหน้าของพวกเขาใช่มั้ย?”
เจียงปินหยางอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาและรีบตอบว่า “ฉันเป็นเลขาธิการของพรรคเทศบาลเมือง..เจียงปินหยาง..แก..แกจะทำอะไร..แกกล้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐแบบนี้แล้วแกรู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า” เห็นได้ชัดเลยว่าเขาขาดความมั่นใจอย่างมากในคำพูด
เย่เชียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผมรู้..และผมก็กำลังลงโทษคนที่ผิดคำสาบาน..เพราะในเมื่อคุณเป็นถึงเลขาธิการของพรรคการเมืองคุณก็ควรปกป้องประชาชนของคุณสิ..ไม่ใช่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์เหล่านี้..คุณนั่นแหละที่ผิด!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ตบหน้าเจียงปินหยางอย่างแรง
หน้าของเจียงปินหยางบริเวณที่ถูกตบก็บวมแดงและฟันของเขาก็หลุดออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตบของเย่เชียนนั้นรุนแรงเพียงใด ซึ่งเจียงปินหยางเองก็ไม่เคยถูกตบหน้าเช่นนี้มาก่อนและทันใดนั้นเขาก็โกรธเกรี้ยวและพูดว่า “ไม่! ..แกนั่นแหละที่ผิด..ถ้าฉันไม่ส่งแกเข้าคุกและส่งเด็กอย่างแกไปลงนรกล่ะก็ฉันจะเลิกใช้แซ่สกุลนี้!”
ทันใดนั้นหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็รีบวิ่งไปตบหน้าของเจียงปินหยางอีกครั้งและชักปืนพกออกมาจากเอวของเขาและจ่อมันไปที่หัวของเจียงปินหยางและพูดด้วยความเดือดดาลว่า “ไอ้เวรเอ๊ย! ..พูดกับอาจารย์ของฉันดีๆสิวะ! ..แกคิดว่าฉันกล้ายิงแกทิ้งตอนนี้มั้ย?”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปชั่วขณะเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหวงฟู่เส้าเจี๋ยจะพกปืนมาด้วย แต่ด้วยตัวตนของเขานั้นเย่เชียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ส่วนเหล่าชาวเมืองและชาวบ้านนั้นต่างก็ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงเพราะปรากฏว่ามีคนที่กล้าจ่อปืนใส่หัวของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคการเมืองของเทศบาลและพวกเขาต่างก็คิดกันว่าโลกนี้มันกำลังบ้าคลั่งไปแล้ว
เจียงปินหยางตกตะลึงอย่างมากและพูดอะไรไม่ออกด้วยความสยดสยองและความหวาดกลัวส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็หวาดกลัวเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรใดๆ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ถ้าหากใครพูดเรื่องไร้สาระล่ะก็มันก็มีแต่จะทำให้คนบ้าอย่างหวงฟู่เส้าเจี๋ยบันดาลโทสะขึ้นมาจริงๆ อาจเหนี่ยวไกยิงออกมาก็เป็นได้
“คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ..แต่ถ้าเขายิงคุณขึ้นมาคุณก็ต้องตายไปอย่างไร้ประโยชน์เหมือนกัน” เย่เฉียนพูดช้าๆ และหลังจากพูดเขาก็ตบไหล่หวงฟู่เส้าเจี๋ยเบาๆ และเอามือแตะไปที่ปืนของหวงฟู่เส้าเจี๋ยอย่างช้าๆ เพื่อให้เขาเก็บปืนเข้าไปก่อน ซึ่งหวงฟู่เส้าเจี๋ยก็จ้องเขม็งไปที่เจียงหินหยางจากนั้นเก็บปืนของเขาเอาไว้ที่เอวเช่นเดิม
“ผมขอบอกคุณเลยนะว่าผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเป็นใครและไม่ว่าคุณจะทำอะไร..แค่ถ้าคุณจะรื้อถอนพื้นที่เหล่านี้โดยไม่ได้รับการยินยอมจากผมล่ะก็..มันก็ไม่มีใครรื้อถอนที่แห่งนี้ได้!” เย่เชียนพูดต่อ “และไม่ต้องใช้อำนาจของรัฐบาลไหนเพื่อทำให้ผมกลัวหรอกนะ..คุณน่ะอย่าคิดที่จะใช้รัฐบาลเพื่อสนองผลประโยชน์ส่วนตนของตัวเองเลย..และถ้าคุณต้องการที่จะรื้อถอนจริงๆ ล่ะก็..ข้ามศพผมไปก่อน!”
“นี่คุณรู้มั้ยว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่! ..คุณกำลังต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจประเทศและกฎหมายใดๆ” เจ้าหน้าที่โครงการบูรณะเมืองที่อยู่ด้านข้างพูด
“คุณเป็นใคร?” เย่เชียนหันหน้าไปมองเขาแล้วถาม
“ฉันเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานที่รับผิดชอบโครงการบูรณะเมือง..ถังชิวเจี๋ย” เจ้าหน้าที่โครงการคนหนึ่งพูด
“หืม..ตำแหน่งทางการของคุณก็เล็กกว่าตำแหน่งเลขาธิการพรรคการเมืองไม่ใช่เหรอ..ขนาดเขายังไม่พูดเลยแล้วคุณจะพูดทำไม?” เย่เชียนจ้องมองเขาและพูดอย่างเย็นชา
ถังชิวเจี๋ยก็ตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “แก…” แต่เมื่อคำพูดต่อไปกำลังจะออกจากปากของเขาแล้วเขาก็ต้องกลืนมันลงไปในตอนนี้เพราะเขาเห็นความบ้าคลั่งของทั้งสามคนด้วยตาของตัวเองมาแล้วและมันก็จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่พูดเลยเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะมีจุดจบที่ไม่สวยงามอย่างแน่นอนเมื่อเผชิญหน้ากับคนบ้าเหล่านี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงไซเรนของรถตำรวจดังขึ้นมาและรถตำรวจหลายสิบคันก็กรูกันเข้ามาเพราะเหล่าตำรวจต่างก็หวาดกลัวเมื่อผู้ที่เป็นถึงเลขาธิการพรรคเทศบาลเมืองโทรมาเมื่อครู่นี้และบอกว่ามีคนมาทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างโจ่งแจ้งและพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดและรีรออะไรใดๆ และพวกเขาจึงรีบระดมพลกันมาที่เกิดเหตุอย่างเร่งรีบ ซึ่งหูเยว่ผู้กำกับการสถานีตำรวจก็ส่งสายตรวจและหน่วยสืบสวนคดีอาญาและตำรวจทั้งหมดมา
เมื่อเห็นเหล่าตำรวจมาเจียงปินหยางและถังชิวเจี๋ยก็รู้สึกโล่งใจอย่างมากและพวกเขาก็กลับมาหยิ่งผยองและโออ่าเหมือนเดิมในทันที
“ท่านเลขาเจียง!” หูเยว่เห็นเย่เฉียนจากระยะไกลและก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะเขาได้เห็นความสามารถและอิทธิพลของเย่เชียนมาด้วยตาของเขาเองแล้วเพราะครั้งที่เย่เชียนถูกขังอยู่ในสถานีตำรวจของเขานั่นเอง หูเยว่นั้นก็รู้สึกไม่ดีอย่างมากและสงสัยว่าทำไมพวกรัฐบาลกลุ่มนี้ถึงได้มารุกรานเด็กคนนี้อีกครั้งกัน? เมื่อเขาไปถึงด้านของเจียงปินหยางก็หูเยว่ก็เรียกทักทาย
เจียงปินหยางก็ตะคอกกลับว่า “ประสิทธิภาพในการทำงานของกรมตำรวจของคุณนั้นแย่มาก..พวกคุณมากันช้ามาก!”
.
.
.
.
.
.
.