ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 332 ติดสินบน
ตอนที่ 332 ติดสินบน
เมื่อเห็นเย่เชียนมาหลินยี่ก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูและเรียกเย่เชียนว่า “พี่เขยครับ!” นักโทษคนอื่นๆ ในห้องขังก็ลุกขึ้นทีละคนๆ และมองดูเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ตรงประตูเหล็กและตะโกนว่า “เอะอะอะไรกันวะ..คนจะนอน!”
นักโทษเหล่านั้นก็ส่งเสียงดังมากจนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เอากระบอกเหล็กเคาะไปที่ประตูเหล็กอย่างแรงและตะโกนว่า “หุบปากไป! ..อย่าโวยวาย”
เย่เชียนก็หันหน้าไปมองเจ้าหน้าที่ตำรวจและพูดว่า “เปิดประตูหน่อย!” เนื่องจากหลินยี่ถูกนักโทษเหล่านั้นทุบตีเช่นนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตื่นตระหนกและกระวนกระวายอย่างมาก และเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะกล้าคิดอะไรได้อีกเขาจึงรีบหยิบกุญแจห้องขังและไขประตูเหล็กออก
เย่เชียนก็เดินเข้าไปดูอาการของหลินยี่และตบไหล่เขาเบาๆ แล้วถามว่า “เป็นไง..สบายดีมั้ย..บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
หลินยี่ก็ส่ายหัวและพูดว่า “มันก็แค่ผิวเผินเท่านั้นครับ..ผมไม่เป็นไร”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ มองไปที่เหล่านักโทษในห้องขังและพูดว่า “ไหนพูดมาซิว่าใครเป็นคนทำเขา?”
เหล่านักโทษก็มองไปที่เย่เชียนอย่างเย้ยหยันและชายหัวโล้นคนหนึ่งก็ลุกออกมาจากเตียงและเดินไปหาเย่เชียนอย่างช้าๆ และมองเย่เชียนขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและพูดว่า “แกเป็นใครวะ? ..เก่งนักรึไงวะ?”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและใบหน้าของเขาก็มืดมนลงในทันทีจากนั้นเย่เชียนก็ง้างท้าวถีบชายหัวโล้นโดยไม่มีการเตือนใดๆ จนชายหัวโล้นกระเด็นกลับไปทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตกใจเมื่อเห็นฉากเหล่านี้แต่เขาก็เลือกที่จะปิดปากของตัวเองไปอย่างเชื่อฟัง ซึ่งถ้าหากเย่เชียนถูกกระทำล่ะก็เขาก็จะเข้าไปห้ามและหยุดเอาไว้แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นเย่เชียนเองที่เป็นฝ่ายกระทำดังนั้นเขาก็จะปิดปากไปอย่างเชื่อฟังเพื่อไม่ให้เย่เชียนขุ่นเคือง
ชายหัวโล้นร่างใหญ่ที่สูง 1.8 เมตรและหนักอย่างน้อยๆ สองร้อยกิโลกรัมแต่ร่างทั้งร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับว่าวที่แตกหักไปกระแทกเตียงเหล็กและดูเหมือนว่าเขาจะกระดูกซี่โครงหักด้วย ซึ่งตอนนี้ชายหัวโล้นก็นอนโอดครวญอยู่บนพื้นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน “พวกแกนี่คงจะเบื่อหน่ายกับชีวิตกันแล้วสินะถึงได้มากระทืบน้องชายภรรยาของฉันแบบนี้เนี่ย!” เย่เชียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เห็นได้ชัดเลยว่าชายหัวโล้นร่างใหญ่คนนี้เป็นหัวโจกของนักโทษเหล่านี้และเมื่อเหล่าลูกน้องเห็นว่าเขาถูกทำร้ายเช่นนี้แล้วนักโทษคนอื่นๆ ก็ลุกออกมาจากเตียงและพุ่งเข้าหาเย่เชียนซึ่งเย่เชียนก็แสยะยิ้มและหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเพียงเสียงคร่ำครวญและโอดครวญและนักโทษทั้งหมดก็นอนดิ้นกันอยู่บนพื้น ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นฉากนี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัวและคิดอย่างลับๆ ว่า “เขาไม่ธรรมดาเลย”
เย่เชียนก็เดินไปข้างหน้าชายหัวโล้นอย่างช้าๆ และนั่งยองๆ จากนั้นก็แล้วตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่แกรู้มั้ยว่าเขาน่ะเป็นใคร?” เย่เชียนพูดพร้อมชี้ไปที่หลินยี่
“รู้สิ..พวกเรารู้ว่าลุงของเขาคือหลินไห่รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑล!” ชายหัวโล้นพูดด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“ถ้างั้นพวกแกกล้าทำเขาได้ยังไง? ..ใครสั่งแกมา?” เย่เชียนยังคงถามต่อ
“ก็..ก็นายน้อยเสี่ยวสั่งให้พวกเราทำแบบนี้ครับ..คือ..คือหัวหน้าครับพวกเราก็แค่ทำเพราะถูกสั่งมาน่ะครับ..ท่านหัวหน้าโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยครับ..พวกเราถูกบังคับมาจริงๆ” ชายหัวโล้นพูดด้วยความสั่นเทาและน้ำเสียงสั่น
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันหรอก..แกไปถามน้องชายของฉันสิว่าเขาจะปล่อยพวกแกไปมั้ย!” เย่เชียนพูด
เมื่อชายหัวโล้นได้ยินเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงรีบพยายามคลานไปที่ด้านข้างของหลินยี่และขอร้องว่า “นายน้อยหลินครับ..ผมขอโทษ..ผมขอโทษจริงๆ ..พวกเราผิดไปแล้วครับโปรดยกโทษให้เด็กน้อยอย่างพวกผมด้วยครับ..ในอนาคตถ้าหากมีสิ่งใดที่นายน้อยหลินต้องการล่ะต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟพวกเราก็จะไม่ลังเลเลยครับ!”
หลินยี่ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนที่กำลังจ้องมองตนอยู่อย่างคาดหวังแต่เย่เชียนก็ไม่ได้พูดหรือบอกใบ้อะไรใดๆ กับเขาเลย ซึ่งหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหลินยี่ก็ยื่นมือออกไปช่วยพยุงชายหัวโล้นขึ้นมาและพูดว่า “ถ้านายสำนึกผิดได้แล้วก็ไม่เป็นไร..และเมื่อไหร่ที่นายออกจากคุกมาแล้วพวกนายก็มาหาฉันก็แล้วกัน..มาเป็นพวกพ้องของฉันซะ..ฉันยินดีต้อนรับ!”
ชายหัวโล้นก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วเขาก็รีบขอบคุณหลินยี่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเขานั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่เขาเดินมาเหยียบขี้แบบนี้แล้วเขาจะโชคดีได้ถึงขนาดนี้ เพราะถ้าหากเขาได้ติดตามหลินยี่เมื่อไหร่ล่ะก็ชีวิตของเขาก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นหลินยี่คนนี้ก็มีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเย่เชียนอยู่ด้วยเพราะฉะนั้นนับจากนี้ไปเขาก็จะสามารถเดินบนท้องถนนในเมืองหางโจวได้อย่างสง่าผ่าเผย
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพึงพอใจกับวิธีการจัดการและการตัดสินใจของหลินยี่อย่างมาก นั่นก็เพราะว่าคนเหล่านี้นั้นไม่สามารถแก้ปัญหาและดัดนิสัยได้ด้วยการตบตีพวกเขาแต่ถ้าหากเราซื้อใจพวกเขาได้แล้วล่ะก็มันจะเป็นทางเลือกที่ดีอย่างมากและก็จะมีกำลังคนเพิ่มขึ้นเพื่อที่เขาจะได้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปข้างๆ ชายหัวโล้นและพูดว่า “วันพรุ่งนี้กับมะรืนนี้เสี่ยวเจี๋ยมันจะมาอยู่ที่นี่ด้วย..เพราะงั้นพวกนายก็จำเอาไว้ว่าพวกนายต้องต้อนรับมันให้ดีล่ะ..แต่อย่าให้ถึงตายล่ะเข้าใจมั้ย?”
“ได้เลยครับหัวหน้า!” ชายหัวโล้นพยักหน้าและพูด
เย่เชียนก็ตบไหล่ของชายหัวโล้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ดูแลน้องชายของฉันให้ดีล่ะ..และในอนาคตฉันรับรองได้เลยว่าพวกนายจะได้อยู่เหนือเหล่ามาเฟียในเมืองหางโจวแห่งนี้! ..ว่าแต่นายรู้มั้ยเนี่ยว่าฉันเป็นใคร?”
ชายหัวโล้นก็ส่ายหัวอย่างว่างเปล่าและถามด้วยความงุนงงว่า “เอ่อ..ท่านหัวหน้า?”
“ฉันชื่อเย่เชียน..ก็เป็นเรื่องปกติที่นายจะไม่รู้จักฉัน..แต่นายก็น่าจะรู้จักตู้ไห่ใช่มั้ย? ..นั่นแหละ..เขาคนนั้นเมื่อเห็นหน้าฉันเขายังต้องก้มหัวเคารพฉันเลย! ..เอาล่ะ..หลังจากที่พวกนายออกมาจากคุกกันแล้วฉันจะเตรียมงานเอาไว้ให้พวกนายอย่างดีเลยก็แล้วกัน..”
ตู้ไห่คือใครน่ะเหรอ? ซึ่งชายหัวโล้นก็รู้จักเขาเป็นอย่างดีเพราะหลังจากที่ราชาแห่งขุนเขาเฝิงเฝิงตายไปตู้ไฮ่คนนี้ก็มาแทนทีบัลลังก์ยักษ์ใหญ่แห่งเมืองหางโจวแทน ซึ่งขนาดบุคคลระดับนี้ยังต้องก้มหัวต่อหน้าเย่เชียนเช่นนี้แล้วซึ่งแสดงให้เห็นว่าเย่เชียนคนนี้นั้นน่ากลัวและยิ่งใหญ่เพียงใด ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นแล้วชายหัวโล้นก็คิดว่าการที่เขาถูกเย่เชียนทำร้ายเมื่อครู่นี้นั้นมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งในชีวิตของเขา
หลังจากนั้นเย่เชียนก็หันหน้าไปและชำเลืองมองหลินยี่และพูดว่า “หลินยี่..นายอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ..เดี๋ยวฉันจะไปจัดการเรื่องข้างนอกก่อน..อย่าคิดมากมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” จากนั้นเย่เชียนก็โน้มตัวไปข้างๆ หูของหลินยี่และกระซิบเบาๆ ว่า “จำเอาไว้นะว่าถ้าพวกเขามาถามนายว่านายอยู่ที่ไหนตอนเกิดเหตุ..นายก็แค่ตอบไปว่านายอยู่กับฉัน..เพราะมันจะไม่มีใครกล้ามาถามฉันเข้าใจมั้ย?”
หลินยี่ก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วง
“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ” เย่เชียนตบบ่าหลินยี่เบาๆ และหันเดินออกจากห้องขังไป หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าเวรล็อกประตูเหล็กแล้วเย่เชียนก็เอาแขนโอบไหล่เขาแล้วพูดว่า “พี่ชาย..มีเรื่องที่ผมอยากจะรบกวนคุณสักหน่อยน่ะ..คือเสี่ยวเจี๋ยจะถูกคุมขังในวันพรุ่งนี้และวันมะรืน..เพราะงั้นผมก็เลยอยากให้คุณเมินสิ่งต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นน่ะ..คุณช่วยปิดหูปิดตาหน่อยได้มั้ย..และคุณก็ไม่เห็นอะไรที่พวกนักโทษทำเลย..ได้มั้ยครับ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าเวรก็ถึงกับตกตะลึงอยู่พักหนึ่งและจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ ซึ่งเมื่อฟังน้ำเสียงของเขาแล้วราวกับว่าเสี่ยวเจี๋ยกำลังจะถูกจับจริงๆ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อย่างเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนคนนี้พลางคิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มบนบัลลังก์จอมพลจริงๆ น่ะหรือ? หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่เชียนก็ได้หยิบเงินหยวนออกมาจากกระเป๋าและยัดมันลงในกระเป๋าเสื้อของเขาไปซึ่งมันเป็นเงินกองหนาอย่างมากและอย่างน้อยๆ ก็สองสามพันหยวนเลยทีเดียว
“นี่สำหรับค่าเครื่องดื่มให้พี่ๆ น้องๆ!” เย่เชียนก็ตบบ่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าเวรเบาๆ และพูด
เรื่องนี้จบลงแล้วไม่มีเหตุผลใดที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จะปฏิเสธตัวตนของเย่เฉียนไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำให้ขุ่นเคืองได้นอกจากนี้ผลประโยชน์ไม่ได้รับการยอมรับโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เมื่อเวลามาถึงก็เพียงพอที่จะมองไม่เห็นอย่างไรก็ตามอย่าเข้าไปแทรกแซงด้วยตัวเอง
หลังจากออกจากสถานีตำรวจแล้วเย่เชียนก็กลับไปที่โรงแรมและโทรหาหลินไห่โดยบอกว่าเขาได้จัดการเรื่องทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วดังนั้นหลินไห่จึงรู้สึกโล่งใจอย่างมากและถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็หลินยี่ก็สามารถออกจากสถานีตำรวจได้ในวันพรุ่งนี้เลย ซึ่งหลังจากอาบน้ำล้างตัวแล้วเย่เชียนก็หลับไปอย่างง่ายดาย
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นเจ้าของภัตตาคารและพนักงานทุกคนของโรงแรมก็เห็นพ้องกันว่าเสี่ยวเจี๋ยนั้นเป็นคนลงมือฆ่าหลี่ลู่หลานซึ่งข้อมูลจากเหตุการณ์ก็มีรายละเอียดตั้งแต่ต้นที่หน้าประตูจนถึงวินาทีที่เสี่ยวเจี๋ยทำร้ายหลี่ลู่หลานเพียงแต่ไม่ทราบแรงจูงใจในการฆ่าเพียงเท่านั้นและถึงแม้ว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ต้องจับกุมเสี่ยวเจี๋ยและส่งเจ้าหน้าที่ไปหาผู้ช่วยของหลี่ลู่หลานแต่ก็พบว่าพัคฮยอนจูนั้นเดินทางเธอออกจากเมืองหางโจวไปแล้ว อย่างไรก็ตามเธอก็ได้ฝากจดหมายถึงตำรวจซึ่งอธิบายรายละเอียดว่าเสี่ยวเจี๋ยกับหลี่ลู่หลานนั้นพบกันได้อย่างไรรวมไปถึงเหตุผลและแรงจูงใจการฆาตกรรมในวันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทางด้านของหลินยี่นั้นเมื่อตำรวจสอบปากคำเขาอีกครั้งและเขาก็บอกว่าเขานั้นอยู่กับเย่เชียน ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลจากการสอบปากคำมาเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนก็ส่งคนไปที่โรงแรมทันทีเพื่อเชิญเย่เชียนมาให้มายืนยันพยานหลักฐานแต่ทว่าใครจะรู้ได้ว่าตอนนี้เย่เชียนกำลังทานอาหารอยู่กับนายกเทศมนตรีเมืองหางโจวและเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลเช่นนี้ ซึ่งคนใหญ่คนโตทั้งสองก็ตะคอกใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและหลังจากนั้นพวกเขาก็รีบจากไปทันที อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็แสร้งทำเป็นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยให้ข้อมูลว่าหลินยี่นั้นอยู่กับเขามาตลอดทั้งวัน ซึ่งนี่ก็เป็นเสียงและคำพูดที่ดูน่าฟังและตำรวจฝ่ายสืบสวนก็เชื่อไปอย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นคนของสำนักงานรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็มาที่สถานีตำรวจและพวกเขาก็ไม่สนใจเกี่ยวกับคดีการฆาตกรรมแต่อย่างใดเพราะพวกเขามานำร่างของหลี่ลู่หลานไป ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นไม่กล้าที่จะคัดค้านใดๆ เลยแม้แต่น้อยเพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปรุกรานได้เลย
เย่เชียนนั้นก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากเพราะที่ในที่สุดเขาก็สามารถหลอกปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนผู้อำนวยการของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติได้แล้วโดยการแต่งเรื่องสายลับจากหน่วยสืบราชการลับปลอมๆ มาทำร้ายสมองของเขา
ซึ่งคดีดังกล่าวก็ได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็วและผลลัพธ์ก็คือเสี่ยวเจี๋ยเป็นฆาตกรนั่นเอง ซึ่งเอกสารของคดีนั้นก็ถูกโอนย้ายไปยังหน่วยงานยุติธรรมเพื่อรอพิจารณาคดีในขณะที่เสี่ยวเจี๋ยนั้นจะต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกและผู้ชายคนนี้จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในห้องขังของสถานีตำรวจ เพราะท้ายที่สุดแล้วชายหัวโล้นร่างใหญ่ที่เขาได้จ่ายเงินจ้างกลับหักหลังเขาและทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างมากจนเขาสูญเสียอาการไปอย่างน่าหดหู่
หลินยี่ก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากสถานีตำรวจอย่างเป็นทางการแล้วและเมื่อเขากลับมาถึงบ้านหลินไห่และซูเหม่ยและเย่เชียนรวมไปถึงแม่ของเขาก็กำลังรอเขาอยู่ที่บ้านกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และเมื่อเห็นหลินยี่มาแล้วแม่ของเขาก็รีบวิ่งไปหาและถามอย่างเป็นห่วงว่า “ลูก..ลูกเป็นยังไงบ้าง?”
หลินยี่ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นอะไรครับแม่..ผมสบายดี”
“เรื่องนี้คือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่สอนให้เอ็งรู้ว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูกและอย่าพลาดพลั้งกับมันอีกในอนาคต..และต่อไปนี้ก็ทำในสิ่งที่สมควรทำซะ..และก็ไปขอบคุณพี่เขยของเอ็งซะ..เขาลำบากทำทุกอย่างก็เพื่อเอ็ง!” หลินไห่พูดอย่างจริงจังและดุดัน
หลินยี่เดินเข้าไปหาเย่เชียนด้วยความจริงใจและพูดว่า “ขอบคุณครับพี่เขย!”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เราทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน..เรื่องเล็กน้อยหน่า..แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ฉันก็หวังว่านายจะเติบโตขึ้นและทำในสิ่งที่สมควรทำสักทีนะ..ถ้านายตั้งใจล่ะก็ในอนาคตนายจะต้องประสบความสำเร็จและนายก็จะเรียนรู้ได้เองว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร..และก็เชื่อฟังคุณลุงกับคุณป้าด้วยล่ะ..และถ้าหากนายมีปัญหาอะไรอีกนายก็แค่มาบอกฉัน..เดี๋ยวฉันจะไปแก้ปัญหาให้เอง”
หลินยี่พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและตื้นตันอย่างมาก
.
.
.
.
.
.
.