ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 367 เส้นทางของตัวเอง
ตอนที่ 367 เส้นทางของตัวเอง
สายลมยามค่ำคืนช่างเย็นยะเยือกราวกับมีดน้ำแข็งจนเย่เชียนถอดเสื้อคลุมของเขาและคลุมร่างของซูเหว๋ยเอาไว้แล้วพูดเบาๆ ว่า “เรากลับกันเถอะ!”
ซูเหว๋ยก็หันหน้าไปมองเย่เชียนและพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ” จากนั้นก็เดินกลับไปที่รถ
หลังจากนั้นซูเหว๋ยก็ขับรถไปส่งเย่เชียนและบอกให้เขาตื่นแต่เช้าในวันพรุ่งนี้และพาเธอไปที่บริษัทแต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเย่เชียนเหมือนทาสหรือพนักงานของบริษัทเลยแต่เธอรู้สึกเพียงว่าเธอจะปลอดภัยเป็นพิเศษเมื่อเธออยู่เคียงข้างเย่เชียน
สองวันต่อมาเย่เชียนก็รู้สึกมากขึ้นว่าเขาควรจะช่วยซูเหว๋ยไม่ให้เครือญาติของเธอพรากบริษัทไปจากเธอและวิธีที่ดีที่สุดก็คือการสร้างสันติภาพก่อนโดยแผนความร่วมมือของเดอะมัวร์กรุ๊ปและหลังจากนั้นก็รวบรวมหุ้นทั้งหมดที่กระจัดกระจายอยู่ในมือของเครือญาติเหล่านั้นและส่งมอบให้กับซูเหว๋ย ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ซึ่งเมื่อเย่เชียนอยู่ในห้องเช่านั้นเขาก็ไม่รีบนอนเพราะสิ่งนี้เป็นนิสัยที่ติดตัวของเขามาหลายปีแล้วและเขาก็ต้องการพักผ่อนเพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการรับมือกับการทำงานทั้งวันเพียงเท่านั้น มีคนเคยบอกว่ายิ่งคนนอนน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งฉลาดขึ้น
หลังจากคุยกับเจ๊ฮงในบาร์แล้วเย่เชียนก็กลับไปที่ห้องของเขาและบางทีสิ่งที่ซูเหว๋ยพูดในคืนนั้นก็ทำให้เย่เชียนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหลับได้และหลังจากครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ สักพักหนึ่งร่างที่คลุมเครือสองร่างก็แวบเข้ามาในความคิดของเขาซึ่งเป็นผู้ชายและผู้หญิงที่เย่เชียนต้องการเห็นใบหน้าของพวกเขาแต่เมื่อนึกทีไรภาพในใจของเขาก็หายไปในทันที แต่เมื่อหลับตาอีกครั้งภาพก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เย่เชียนรู้สึกเบาๆ ว่าร่างที่คลุมเครือนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเขาและอาจจะเป็นพ่อกับแม่ของเขาหรือไม่? แต่เย่เชียนก็ไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากการคิดมากเกินไปหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่และหลังจากตื่นขึ้นมาเย่เชียนก็รีบไปวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำเย็นและมองตัวเองในกระจกราวกับว่าเขาได้เห็นใครบางคนยิ้มให้เขาและยิ้มด้วยความรักที่แท้จริง
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างแรงและระงับความคิดที่วุ่นวายในใจก่อนจะกลับไปที่เตียงเพื่อนอนลงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามร่างสองร่างนั้นก็ยังคงแวบเข้ามาในความคิดของเขาและแวบผ่านไปผ่านมา!
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ล้มตัวลงนอนและหลับไปจนกระทั่งท้องฟ้าสว่างและเขาก็สะดุ้งขึ้นมาแต่เขาก็หลับลงไปอีกครั้งแต่ไม่นานนักหลังจากที่เขาหลับไปเขาก็ได้รับสายโทรศัพท์จากซูเหว๋ยโดยบอกว่าเธอนั้นรอเขาอยู่ชั้นล่างและขอให้เขาลงมาโดยเร็ว เย่เชียนก็ดูนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าและเย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะว่าปกติซูเหว๋ยจะเข้าทำงานตอนเก้าโมงเช้าไม่ใช่หรือ?
เย่เชียนก็ลุกขึ้นและอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเขาก็ลงมาและเมื่อเธอเห็นดวงตาที่ค่อนข้างบวมของเย่เชียนแล้วซูเหว๋ยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและถามว่า “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรอ?”
“หึ!” เย่เชียนตอบเพราะเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากจนเกินไป
ซูเหว๋ยก็ไม่ได้พยายามที่จะถามเขาต่อว่าทำไมเขาถึงนอนไม่หลับและหลังจากหยุดไปชั่วขณะเธอก็พูดว่า “ถ้านายเหนื่อยวันนี้นายก็ไม่ต้องไปบริษัทกับฉันก็ได้..เพราะยังไงซอฟต์แวร์ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว..ฉันคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกับการเซ็นสัญญากับเดอะมัวร์กรุ๊ปหรอก”
“ไม่เป็นไรๆ ผมจะไปกับคุณ” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเปิดประตูรถและเข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งถึงแม้ว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการพัฒนาแล้วก็ตามแต่ใครจะรู้ล่ะว่าผู้ถือหุ้นของบริษัททะเลสี่ทิศจะสมคบคิดแผนร้ายอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า ดังนั้นจึงทำให้เย่เชียนกังวลเล็กน้อยถ้าหากเขาไม่ได้ไปด้วย
ซูเหว๋ยก็จ้องมองไปที่เย่เชียนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเธอเพียงขึ้นรถและสตาร์ทรถและขับไปยังบริษัท
เมื่อพวกเขามาถึงบริษัทมันก็ยังไม่ถึงเวลาเข้างานและพนักงานของบริษัทก็ยังไม่ได้มาทำงาน ซูเหว๋ยก็เลยบอกให้เย่เย่เชียนพักผ่อนบนโซฟาและเริ่มเตรียมเอกสารสำหรับการพูดคุยกับเดอะมัวร์กรุ๊ปในภายหลัง แต่หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็สังเกตเห็นความผิดปกติแต่ทว่าซูเหว๋ยก็เดินออกไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็รีบวิ่งตามเธอมาและพูดว่า “คนของเดอะมัวร์กรุ๊ปมากันแล้ว!”
ซูเหว่ยก็ถึงกับผงะไปและรีบมองออกไปจากนอกหน้าต่างและเธอก็เห็นเฉาฮงหลีเดินมาพร้อมกับคนอีกสองสามคนจนเธออดไม่ได้ที่จะโกรธอย่างมากเมื่อรู้ว่านี่จะต้องเป็นกลอุบายของเฉาฮงหลีอย่างแน่นอน “ไปตามทุกคนมาที่นี่เร็ว..เราอยากพลาดกันเซ็นสัญญาหรือไง!” ซูเหว๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดแต่โชคดีที่ซอฟต์แวร์ได้รับการดำเนินการและเตรียมข้อมูลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“คุณเตรียมตัวไปก่อนนะ..เดี๋ยวผมจะไปต้อนรับพวกเขาเอง” หลังจากที่เย่เชียนพูดเขาก็เดินออกไปและหยุดที่ประตูลิฟต์
ไม่นานนักประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกและเฉาฮงหลีกับเฉายู่เหลียงก็เดินออกมาจากลิฟต์และหยุดจากนั้นก็พูดด้วยความเคารพว่า “คุณประธานจ้าวเชิญครับ!”
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์และตามมาด้วยกลุ่มคนและในขณะที่เขาเห็นหญิงสาวคนนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเรื่องเก่าๆ ก็แวบเข้ามาในความคิดของเขา ซึ่งเย่เชียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้พบจ้าวหยาที่นี่ ซึ่งเขาไม่ได้เจอเธอมาครึ่งปีแล้วและปรากฏว่าจ้าวหยาเป็นประธานของเดอะมัวร์กรุ๊ปประจำเอเชียไปแล้ว
“ไปบอกประธานซูว่าพวกเราจะไปรอเธอที่ห้องประชุม” เฉาฮงหลีพูดกับเย่เชียนและหลังจากนั้นเฉาฮงหลีก็ยิ้มอย่างประจบประแจงให้จ้าวหยาเหมือนคนรับใช้และพูดว่า “คุณจ้าวเชิญเลยครับ!”
จ้าวหยาก็พยักหน้าให้เฉาฮงหลีและเธอก็กำลังจะเดินไปแต่เมื่อเธอเห็นเย่เชียนเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องจำใจปกปิดมันเอาไว้ในทันทีและพยักหน้าให้เฉาฮงหลีอีกครั้งและเดินไปที่ห้องประชุม
พวกเขาทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานกว่าครึ่งปีแล้วและจ้าวหยาเธอก็เปลี่ยนจากหญิงสาวที่ซุกซนเหมือนเด็กน้อยเป็นผู้หญิงที่สง่างามและเพียบพร้อมอย่างมากและยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเย่เชียนจะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกจากร่างกายของจ้าวหยา และเมื่อเย่เชียนสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของเธอเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและคิดอย่างลับๆ ว่า ‘นี่เธอจำจดหมายที่ทิ้งเอาไว้ให้ได้อยู่ไหม..นี่เธอยังคงรักษาความรักที่จริงใจอยู่เหมือนเดิมไหม?’
เย่เชียนก็ส่ายหัวและระงับความคิดที่วุ่นวายในใจและเดินไปที่ห้องทำงานส่วนตัวของซูเหว๋ยซึ่งเธอก็เตรียมตัวพร้อมแล้วและเธอก็พูดกับเย่เชียนว่า “ไปกันเถอะ!” จากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องประชุมและเย่เชียนก็ตามหลังเธอไป
ในห้องประชุมนั้นเฉาฮงหลีก็รีบแนะนำอย่างรวดเร็วว่า “เสี่ยวเหว๋ยนี่คือคุณจ้าวประธานของเดอะมัวร์กรุ๊ปภาคเอเชีย..คุณจ้าวครับนี่คือประธานซูของบริษัททะเลสี่ทิศของเราครับ”
“สวัสดีค่ะคุณจ้าว!” ซูเหว๋ยยื่นมือออกไปอย่างสุภาพ
“อืม!” จ้าวหยาเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “บอกฉันเกี่ยวกับผลการวิจัยและพัฒนาของพวกคุณหน่อยสิ!”
ซูเหว๋ยก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเธอก็รู้สึกได้อย่างดีว่าจ้าวหยานั้นไม่ค่อยชอบเธอมากนักจนเธออดไม่ได้ที่จะแปลกใจอย่างมากและเธอก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และหลังจากมึนงงอยู่พักหนึ่งซูเหว๋ยก็ดึงมือของเธอกลับด้วยความลำบากใจจากนั้นก็ขอให้เย่เชียนแจกจ่ายข้อมูลและเริ่มอธิบายกับโปรเจ็กเตอร์ฉายภาพ
เย่เชียนก็ไม่เข้าใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจ้าวหยาและจ้าวหยาเองเธอก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเย่เชียนที่ไต้หวันโดยบังเอิญเช่นนี้และยิ่งไปกว่านั้นเขากลับมีผู้หญิงสวยๆ อีกคนหนึ่งอยู่ข้างๆ เขาซึ่งทำให้เธอรู้สึกว่านี่คงจะเป็นผู้หญิงอีกคนที่เย่เชียนรักและเธอก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันรู้สึกอิจฉาและไม่มีความสุขเช่นนี้
ถึงแม้ว่าเย่เชียนนั้นจะมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับผู้หญิงคนอื่นแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นแค่พี่น้องกันและจ้าวหยาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนรอบตัวเขานั้นเป็นผู้หญิงแบบไหนแต่ทว่าตอนนี้ซูเหว๋ยเป็นผู้หญิงที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนมันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากจนมองว่าเป็นศัตรูหัวใจ
ซูเหว๋ยก็อธิบายโปรเจคอย่างละเอียดในข้างต้นและเธอก็มักจะมองไปที่จ้าวหยาเป็นครั้งคราวแต่ก็พบว่าจ้าวหยานั้นเหม่อลอยราวกับว่าเธอไม่สนใจเรื่องนี้เลยจนซูเหว๋ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เนื่องจากจ้าวหยานั้นก็ไม่ได้มองไปที่เย่เชียนแต่อย่างใดซูเหว๋ยก็เลยไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เจ้าหยาเหม่อลอยหรือขุ่นเคืองตรงไหนและทำให้เธอเป็นศัตรูกับตัวเองเช่นนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเธอสงสัยว่าเฉาฮงหลีได้ทำอะไรลับหลังเธอหรือไม่เพราะตั้งแต่ที่จ้าวหยาเข้ามาเขาเธอก็มีการแสดงออกเหมือนไม่อยากที่จะเซ็นสัญญากับบริษัททะเลสี่ทิศอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ซูเหว๋ยก็สูญเสียความมั่นใจไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และคำอธิบายต่างๆ ของเธอก็ดูประม่ามากเช่นกัน
แต่ถึงแม้ว่าจ้าวหยาจะเหม่อลอยก็ตามแต่คนอื่นๆ ที่มากับเธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าซูเหว๋ยนั้นประหม่ามากจนของพวกเขาก็ขมวดคิ้วโดยไม่สมัครใจและสีหน้าของเฉาฮงหลีและเฉายู่เหลียงก็มีร่องรอยของความพึงพอใจเพราะพวกเขาหวังให้การเจรจาและเซ็นสัญญาครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งนี้จะสามารถทำให้พวกเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะโจมตีซูเหว๋ยจากนั้นก็ปลดเธอออกจากตำแหน่งประธานและจากนั้นก็กลืนกินหุ้นของญาติคนอื่นๆ ในทันทีเพราะในขณะนั้นเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทแล้ว
เย่เชียนก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกทางสีหน้าของทุกคนในปัจจุบันจนเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในทันทีและหลังจากนั้นเย่เชียนก็แอบขยิบตาให้เธอและซูเหว๋ยเองก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เธอทำในตอนนี้และฟื้นคืนวิญญาณของเธอได้อย่างรวดเร็วและไม่ว่าความร่วมมือจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องทำในสิ่งที่ทำได้เท่านั้น
แน่นอนว่าจ้าวหยานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเย่เชียนกำลังช่วยเหลือซูเหว๋ยอยู่และเมื่อเห็นเช่นนั้นความหึงหวงในใจของเธอก็เพิ่มมากขึ้นและเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดในใจและเธอก็เสียใจอย่างมาก
นอกจากนี้เฉาฮงหลีก็เฝ้าสังเกตการณ์แสดงออกของจ้าวหยาอยู่และก็เห็นว่าเธอนั้นไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลาและไม่แม้แต่จะถามคำถามใดๆ ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเฉาฮงหลีก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจ้าวหยาจะต้องปฏิเสธที่จะร่วมมือกับบริษัททะเลสี่ทิศอย่างแน่นอน
ผ่านไปสักพักหนึ่งในที่สุดซูเหว๋ยก็อธิบายสิ่งต่างๆ จนเสร็จด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัดมากและเธอก็มองไปที่เหล่าบุคลากรของเดอะมัวร์กรุ๊ปอย่างประหม่าราวกับว่าเธอรอคอยประโยคนั้นๆ อยู่
.
.
.
.
.
.
.