ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 432 ผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน
ตอนที่ 432 ผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน
ถ้าหากเย่เชียนต้องหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับนักเลงเช่นนี้ล่ะก็ฉายาของเขาในฐานะราชาหมาป่าก็ไม่สมควรได้รับอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเขาเผชิญกับการทรมานอย่างโหดร้ายของ CIA แห่งสหรัฐอเมริกาแล้วเย่เชียนก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเผชิญหน้ากับทหารรับจ้างยอดฝีมือหลายสิบคนเย่เชียนไม่เคยหวั่นเกรงเช่นกัน ดังนั้นเย่เชียนจะไปกลัวพวกนังเลงกระจอกๆ เหล่านี้ได้อย่างไร มันดูไม่สมเหตุสมผลกันเลย
เย่เชียนนั้นดูสงบมากแต่โจวหยวนนั้นทำไม่ได้อย่างเย่เชียนเพราะตรงหน้าของเขานั้นมีศัตรูอย่างน้อยๆ ก็ยี่สิบคนและพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดต่างก็มีอาวุธ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนโจวหยวนเจอสถานการณ์เช่นนี้ล่ะก็เขาอาจเลือกที่จะหลบหนีไปแต่ทว่าตอนนี้เขากลับเลือกที่จะยืนหยัด สำหรับแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นที่เธอบอกไม่ให้บอดี้การ์ดสองคนของเธอเข้าไปแทรกแซงเช่นนั้นแต่ความเป็นจริงแล้วเธอได้วางแผนไว้แล้วว่าถ้าหากเย่เชียนไม่สามารถรับมือได้ล่ะก็เธอจะก็จะเข้าไปแทรกแซงเพราะถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่เชียนจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นพันธมิตรก็ตามแต่ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะจำกัดคนเหล่านี้เพราะท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนของพยัคฆ์แดนเหนือซึ่งจะเป็นผลดีสำหรับเธอในที่สุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่หญิงม่ายดำจือเหวินสนใจมากที่สุดคือสิ่งที่เย่เชียนกำลังจะทำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพราะเมื่อดูจากท่าทางของเย่เชียนในตอนนี้แล้วดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คิดที่จะหนีแต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้อย่างง่ายดาย
แม่ม่ายดำจือเหวินนั้นพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มามากมายและเมื่อเธอเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายที่รายล้อมเธอนั้นเองก็สามารถสงบได้เช่นกัน
“จำไว้ว่าอย่าแสดงความเมตตาและอย่าใจอ่อนและอย่าลังเล! ..ไม่งั้นมันจะเป็นเอ็งที่ต้องทนทุกข์ทรมาน” เย่เชียนบอกกับโจวหยวน เพราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครก็ตามที่แข็งแกร่งก็จะสามารถอยู่รอดได้ ซึ่งเขาต้องไร้ความกังวลและไร้ความเมตตาและความลังเลในใจของเขา ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นเขาเองที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
โจวหยวนก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นและตอบกลับ
อันที่จริงแล้วเย่เชียนนั้นก็สามารถจัดการกับคนเหล่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้ว แต่ถ้าหากโจวหยวนไม่ได้ต่อสู้จริงและผ่านประสบการณ์จริงล่ะก็เขาก็จะไม่มีวันเติบโตขึ้น ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการปล่อยให้โจวหยวนเผชิญหน้ากับใครสักคนเพื่อที่จะกระตุ้นความเลือดเดือดอย่างแท้จริงและกระตุ้นออร่าของเขาโดยเร็วที่สุด เช่นเดียวกันกับที่เย่เชียนเคยพูดกับหลินฟานหลานของหลินจินไท่ “การเผชิญหน้าคือวิถีแห่งลูกผู้ชาย!”
หลวนห่าวที่มีลูกน้องจำนวนหลายคนอยู่ข้างหลังดังนั้นเขาจึงกล้าหาญและหยิ่งผยองมากขึ้น เดิมทีนั้นเขาเป็นคนบ้าบิ่นที่มีสมองน้อยและหยิ่งยโส ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเขาแล้วล่ะก็เขาอาจจะต้องตายข้างถนนไปนานแล้ว ซึ่งเขานั้นไม่ได้สืบทอดความร้ายกาจและความเจ้าเล่ห์ของพ่อเลยซึ่งเขาเป็นเหมือนขยะไร้ประโยชน์คนหนึ่ง
“กล้าดีนี่! ..ฉันไม่ปล่อยพวกแกไปหรอก!” หลวนห่าวตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเขาจะสามารถมาปิดล้อมเย่เชียนได้เช่นนี้เพราะตามความคิดของเขานั้นเขาคิดว่าเย่เชียนคงจะรีบหนีไปเสียแล้ว แต่ทว่าเย่เชียนกลับพาปัญหามาให้คนเหล่านี้ที่สถานที่แห่งนี้ และสำหรับคนอย่างเย่เชียนแล้วหลวนห่าวก็แค่ส่งคนไปสืบหาข้อมูลของเย่เชียนเพราะถึงยังไงในสายตาของหลวนห่าวนั้นเย่เชียนก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเย่เชียนจะไม่ได้หนีไปซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนเกินไปเพราะถึงยังไงเขาก็มาเพื่อแก้แค้นและไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาอีกต่อไป
มุมปากของเย่เชียนก็ฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏขึ้นทันทีที่คำพูดของหลวนห่าวจบลงเย่เชียนก็พุ่งเตะหลวนห่าวทันทีไปเพราะการเจรจากับคนที่ไร้สาระเช่นนี้นั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่การสยบเขาด้วยกำลังและเท่านั้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งด้วยการเตะครั้งนี้เย่เชียนก็ไม่ได้ยั้งมือเหมือนก่อนหน้านี้จนมีเสียง “กรึก!” และผลลัพธ์ก็คือกระดูกซี่โครงของหลวนห่าวก็หักและทั้งร่างของเขาก็กระเด็นออกไปและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
เนื่องจากเย่เชียนเริ่มลงมือแล้วดังนั้นโจวหยวนก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไปเขาจึงรีบพุ่งไปข้างหน้าและใช้หมัดหนึ่งกระแทกไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งและคว้ามีดของชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ ถึงแม้ว่าโจวหยวนจะไม่ได้เรียนกับเย่เชียนมาเป็นเวลานานก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็เคยฝึกทักษะการต่อสู้กับเย่เชียนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นทักษะของเขาจึงค่อนข้างยอดเยี่ยมอย่างไรก็ตามร่างกายของชาวเมืองนั้นไม่สูงและกำยำเหมือนกับชาวเหนือดังนั้นจึงทำให้โจวหยวนเสียเปรียบอย่างมาก แต่ทว่า โจวหยวนก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใดเขาจำได้แค่คำพูดของเย่เชียนว่าเขาจะต้องกล้าไม่เช่นนั้นเขาอาจจะเป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์ทรมานเอง เมื่อคิดเช่นนั้นดวงตาของโจวหยวนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและทั้งเขาก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายทันที
เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะเขาคาดหวังกับปฏิกิริยาเช่นนี้และต้องการรูปลักษณ์ที่คล้ายสัตว์ร้ายเช่นนี้เพราะมันต้องการกลืนกินสายตาของคู่ต่อสู้อย่างดุดัน ซึ่งเหล่านักเลงตรงหน้านั้นก็ไม่ได้โง่เพราะเมื่อพวกเขาเห็นว่าทักษะของเย่เชียนนั้นแข็งแกร่งขึ้นมากและใครก็ตามที่เข้าไปใกล้เย่เชียนก็แทบจะเป็นลมในทันที ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันไปเผชิญหน้ากับโจวหยวนแทน
นี่เป็นเรื่องที่ขมขื่นสำหรับโจวหยวนจริงๆ เพราะมันยากอยู่แล้วที่จะจัดการกับสองหรือสามคนแต่ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหมดพุ่งเข้าใส่โจวหยวนเช่นนี้เขาจะรับมือได้อย่างไร หลังจากนั้นไม่นานนักบนร่างกายของโจวหยวนก็เต็มไปด้วยรอยแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาตามเสื้อผ้าของเขาและในไม่ช้าเสื้อผ้าของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงสด
เมื่อเห็นเช่นั้นเย่เชียนก็รีบวิ่งไปพร้อมกับปล่อยหมัดใส่นักเลงเหล่านั้นและพวกเขาก็กระเด็นออกไปกันทีละคนราวกับว่าวที่ถูกลมพัด
ภายในร้านอาหารนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินและบอดี้การ์ดสองคนของเธอก็ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงเพราะพวกเขาที่เห็นท่าทางที่ยังดูผ่อนคลายของเย่เชียนได้อย่างชัดเจน ซึ่งการจัดการกับนักเลงจำนวนยี่สิบคนเช่นนี้ดูเหมือนว่ามันจะง่ายสำหรับเย่เชียนอย่างมาก ‘นี่คือความสามารถของทหารรับจ้างเหรอ?” แม่ม่ายดำจือเหวินคิดอย่างลับๆ
สำหรับแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นเธอก็ได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้โดยหยางเทียนมามากมายแต่เมื่อเห็นเย่เชียนที่อยู่ตรงหน้าเธอแล้วเธอก็ดูเหมือนเด็กขึ้นมาทันทีและไม่มีทางเทียบได้กับเย่เชียนคนนี้เลยและแม้แต่หยางเทียนเองที่มีเพียงความดุดันในใจของเขาแต่เขาก็ไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ที่ดีแบบเย่เชียนเลย
เพียงไม่กี่นาทีพวกนักเลงยี่สิบคนต่างก็นอนกองกันอยู่บนพื้น ส่วนโจวหยวนนั้นเขามีบาดแผลถูกแทงหลายแห่งบนร่างกายและมีเลือดไหลออกมา แต่เขาก็ยังคงสามารถยืนอยู่ที่นั่นได้อย่างแน่วแน่และความเลือดเดือดภายในดวงตาของเขานั้นก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็เหลือบมองเขาเบาๆ และพูดว่า “เอาล่ะๆ ..ใจเย็นๆ!”
เมื่อโจวหยวนมองไปที่เย่เชียนแล้วเขาก็ค่อยๆ ใจเย็นลง และเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ถ้าเอ็งรู้สึกประหม่าเอ็งก็จะกลัว..เอ็งต้องเรียนรู้ที่จะใจเย็นแม้ต้องเผชิญกับกองทหารนับพันนาย..เอ็งก็ต้องรักษาสติให้ดีที่สุดและอย่าปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมจิตใจของเอ็ง..จงเป็นตัวของตัวเอง”
โจวหยวนก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและโยนมีดในมือทิ้งไป
เย่เชียนก็เดินไปข้างหน้าหลวนห่าวอย่างช้าๆ และนั่งยองๆ ลงและตบหน้าหลวนห่าวแล้วพูดว่า “ฉันชื่อเย่เชียน! ..ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน! ..จำเอาไว้ว่าอย่าให้ฉันเจอแกอีกในอนาคต..ไม่งั้นแกเสร็จฉันแน่!”
หลวนห่าวในเวลานี้ก็เหมือนกับเด็กที่หยิ่งผยองและนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยเย่เชียนไปเพราะถ้าเขาไม่ได้หน้าและศักดิ์ศรีของเขากลับมาแล้วล่ะก็เขาจะยังคงมีหน้ามีตาในสังคมของดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ในอนาคตได้อย่างไร? และไม่เพียงแค่ตัวเขาเพียงเท่านั้นเพราะพ่อของเขาก็จะเสียหน้าและอับอายอีกด้วย
เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้ถามว่าเขาเป็นใครและเย่เชียนไม่ได้อยากรู้ว่าเขาเป็นใครซึ่งสำหรับเย่เชียนนี่ก็เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเย่เชียนจึงไม่ได้จริงจังกับมันมากนักเพราะเป้าหมายของเย่เชียนก็คือพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั่นเองเพราะเขาได้ลงมือฆ่าถังเหวยซวนและครอบครองมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปอย่างเจ้าเล่ห์และท้าทายตัวเองอย่างเปิดเผย
หลวนห่าวก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเขาไม่กล้าที่จะพูดจนร่างกายของเขาสั่นเท่าอย่างมากแต่ดวงตาของเขาก็ยังคงหยิ่งผยองอย่างมากอยู่ ซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและหนาวสั่นอย่างมากและในทันใดนั้นรอยยิ้มของเย่เชียนก็จางลงและเขาก็ชกหมัดลงไปที่หัวของหลวนห่าวเหมือนแตงโมและน้ำสีแดงข้างในก็ค่อยๆ ไหลซึมออกมาทันที
“กล้ามองฉันแบบนี้งั้นเหรอ!” เย่เชียนพูดจบเขาก็เช็ดคราบเลือดบนเสื้อผ้าของหลวนห่าวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างรุนแรงโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วหันเดินกลับไปที่รถ
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมากจนความหวาดกลัวเกิดขึ้นภายในใจของเธอทันทีเพราะเธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้ที่เย่เชียนเพิ่งจะกระทืบเท้าลงบนพื้นนั้นกระเบื้องหินอ่อนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที หรือว่านั่นเขาจะเตือนเธอหรือเปล่า? แม่ม่ายดำจือเหวินคิดอย่างลับๆ
“พวกคุณคิดว่าไง?” แม่ม่ายดำจือเหวินถามบอดี้การ์ดสองคนที่อยู่ข้างๆ เธอ ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ติดตามหยางเทียนในช่วงแรกๆ และพวกเขาก็เป็นลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดของหยางเทียน ซึ่งคนหนึ่งมาจากทีมศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศศิลปะการต่อสู้ระดับมณฑล ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นทหารผ่านศึกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในวงการโลกใต้ดิน
ทั้งสองก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ระดับปรมาจารย์จริงๆ!” ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถประเมินอันดับฝีมือของเหล่าอันธพาลและนักเลงได้แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถประเมินความสามารถของเย่เชียนได้เลยและยิ่งไปกว่านั้นการทำลายกระเบื้องหินอ่อนด้วยเท้าเดียวนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับพวกเขาอย่างมาก
เมื่อมองไปที่รถของเย่เชียนที่กำลังจะจากไปนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด เพราะเธอรู้ว่าการกระทืบเท้าของเย่เชียนนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นการเตือนเธอแต่เธอๆ ก็ไม่เข้าใจความหมายของเย่เชียนเลย แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้นั้นเห็นได้ชัดว่าเย่เชียนนั้นพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเย่เชียนกำลังช่วยเธอแต่ก็เธอต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็จ่ายค่าอาหารและเรียกบอดี้การ์ดทั้งสองแล้วเดินออกไป และเมื่อเธอเดินไปถึงประตูเธอก็หันหน้าไปมองไปที่หลวนห่าวและถอนหายใจเบาๆ เพราะเธอคิดว่าถ้าหากหลวนห่าวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลถึงยังไงเขาก็ยังไม่หายเจ็บเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เพราะเธอเห็นหมัดของเย่เชียนอย่างชัดเจนเมื่อครู่นี้ว่ามันไม่ใช้หมัดเบาๆ เลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วเย่เชียนก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ เพราะการกระทืบเท้าเมื่อครู่นี้นั้นเป็นการพิสูจน์ให้แม่ม่ายดำจือเหวินเห็นว่าเขาเป็นมังกรและไม่ใช่มังกรที่งูอย่างเธอจะมาเทียบได้และต้องการให้แม่ม่ายดำจือเหวินละทิ้งความคิดของตัวเองที่อยากจะปกป้องสิ่งที่หยางเทียนสร้าวเอาไว้และล้มเลิกความคิดที่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่
เย่เชียนก็เหลือบมองไปที่โจวหยวนที่อยู่ข้างๆ เขาแล้วก็พูดว่า “ฉันจะไปส่งเอ็งที่โรงพยาบาล!”
“พี่สองผมไม่เป็นอะไรครับ..แค่ซื้อผ้าพันแผลกับยาแก้ปวดให้ผมก็พอแล้วครับ!” โจวหยวนพูด ซึ่งเขากลัวว่าการไปโรงพยาบาลนั้นจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะไป
“ไอ้โง่..แล้วถ้ามันอักเสบแล้วจะทำยังไงกันล่ะ..ไม่งั้นเอ็งจะเสียใจในภายหลัง” เย่เชียนพูด “หยุดพูดได้แล้ว..ฉันจะพาเอ็งไปโรงพยาบาล..ไม่ต้องกังวลไป!”
.
.
.
.
.
.
.