ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 434 โหวกเหวกโวยวาย
ตอนที่ 434 โหวกเหวกโวยวาย
ครั้งที่แล้วที่พวกเขาเจอกันที่เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นพวกเขาลาจากกันเร็วเกินไปหน่อยเพราะหลังจากการต่อสู้อันลึกลับระหว่างหลินเฟิงและหมาป่าผีไป๋ฮวยและเย่เชียนจบลงนั้นพวกเขาทั้งสองก็จากไปทั้งคู่และไม่มีใครรู้เรื่องการต่อสู้ครั้งนั้นเลย ซึ่งมันเป็นความลับสำหรับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ได้กลายเป็นความทรงจำชั่วนิรันดร์ในหัวใจของทั้งสามคนไปเสียแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกลับมากเพราะมันไม่ใช่ทั้งเพื่อนหรือศัตรูและถึงแม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับหลินเฟิงก็ตามแต่เย่เชียนก็รู้สึกว่าพวกเขานั้นสามารถเป็นเพื่อนกันได้แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันในสนามรบ ซึ่งถึงพวกเขาจะเป็นศัตรูกันแต่พวกเขาก็เคารพซึ่งกันและกัน
ในศึกแห่งการต่อสู้วันนั้นหมาป่าผีไป๋ฮวยออกไปก่อน ส่วนหลินเฟิงนั้นไปพบกับเย่เชียนที่แผงขายอาหารและนั่งคุยกันสักพักหนึ่งซึ่งหลินเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากในตอนนั้นเพียงแค่ส่งนามบัตรให้เย่เชียนซึ่งมันเป็นเพียงนามบัตรธรรมดาๆ ที่มีเพียงแค่ชื่อและหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งหลินเฟิงก็พูดกับเย่เชียนว่า “ถ้าหากมีงานอะไรในอนาคตก็อย่าลืมนึกถึงผมล่ะ..ผมจะให้ส่วนลด 20%!”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเก็บนามบัตรใส่เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขา ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าหลินเฟิงหมายถึงอะไร ซึ่งหลินเฟิงนั้นตั้งใจที่จะช่วยเหลือเย่เชียนในทางอ้อมเพราะเขาหวังว่าเย่เชียนจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขานั่นเอง การอยู่ยงคงกระพันในโลกใบนี้มันก็ช่างเงียบเหงาและน่าเบื่อถ้าหากไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเราเอง
หลังจากที่รับสายโทรศัพท์และได้ยินคำพูดของหลินเฟิงแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าหลินเฟิงนั้นจะอยู่ในแถบดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน เมื่อเห็นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่คุณพูดมาครั้งที่แล้วนั้นมันมีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า”
“มันคือธุรกิจจริงๆ ..นายสนใจหรอ?” หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมมีงานใหญ่ให้คุณทำสนใจมั้ย?” เย่เชียนพูด
“ใช่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หรือเปล่า?” หลินเฟิงพูดเบาๆ เพราะเขาอยู่ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ทุกอย่างของที่นี่แล้วเขาก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับสิ่งพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ทำ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าองค์กรเซเว่นคิลจะไม่ใช่องค์กรนักฆ่าทั่วไปๆ ก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ใช่องค์กรนักฆ่าที่สละชีพเพื่อเงินได้ ซึ่งถึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะเป็นคนที่เลวร้ายมากแค่ไหนก็ตามแต่ถึงยังไงหลินเฟิงก็จะไม่ฆ่าเขาตามอำเภอใจเมื่อไม่มีใครว่าจ้างเขา ส่วนราคาว่าจ้างนั้นก็อีกเรื่อง
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “ผมซ่อนอะไรจากพี่หลินไม่ได้เลยสินะ”
“นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ยเนี่ย? ..คนอย่างเย่เชียนน่ะแค่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ตัวเล็กๆ ก็จัดการได้อย่างง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” หลินเฟิงพูด
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “มันเป็นเรื่องจริงครับ..คนพวกนี้ตามล่าผมไปทุกหนทุกแห่งผมกลัวมากจนผมต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องและไม่กล้าออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย..พี่หลินช่วยผมด้วยผมจะไม่ตายใช่มั้ย?”
“น้องเย่นี่ตลกเฮฮาได้ทั้งวันจริงๆ ..ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนฉันจะไปหานาย” หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดจริงๆ ว่าเย่เชียนจะกลัวจนซ่อนตัวอยู่ในห้องและไม่กล้าที่จะออกไปข้างนอกเพราะถ้าหากคนอย่างพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่สามารถทำให้เย่เชียนหวาดกลัวได้ล่ะก็ฉายานามราชาหมาป่าก็ไม่สมควรได้รับอย่างยิ่ง
องค์กรเซเว่นคิลกับเขี้ยวหมาป่านั้นเป็นองค์กรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและไม่เคยมีผลประโยชน์หรือความสัมพันธุ์ร่วมกันเลย ซึ่งไม่เหมือนกับหมาป่าผีไป๋ฮวยและเย่เชียนที่เคยสู้ชีวิตและผ่านความตายมาด้วยกัน แต่ทว่าหลินเฟิงกับเย่เชียนนั้นไม่ใช่เช่นนั้นและถึงแม้ว่าทั้งสองจะต่อสู้กันแต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนบางอย่างกันเท่านั้นและยิ่งไปกว่านั้นสำหรับหลินเฟิงแล้วเขาก็ชื่นชมเย่เชียนอยู่ในใจเพราะเขารู้ดีว่าเย่เชียนนั้นเคยเดินบนเส้นทางที่ยากลำบากเส้นทางนี้มาหนักหน่วงแค่ไหนเช่นเดียวกับตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเข้าใจในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพใหญ่ขององค์กรเซเว่นคิลนั้นตั้งอยู่ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้แต่ก็ไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่นอน ซึ่งหลินเฟิงก็พูดสั้นๆ กับเย่เชียน ซึ่งเดิมทีหลินเฟิงนั้นก็ไม่ต้องการที่จะเพิกเฉยต่อโลกวงการใต้ดินของดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือนัก เพราะถ้าหากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปล่ะก็พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็อาจจะเป็นปัญหากับเขาในอนาคตเช่นกัน ดังนั้นในใจของเขานั้นก็อยากจะรับงานนี้และทำมันให้สำเร็จอยู่เช่นกัน
เย่เชียนบอกหมายเลขห้องพักในโรงแรมให้กับหลินเฟิงแล้วหลังจากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ไป
โจวหยวนก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะเขาเพียงคาดเดาเอาว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งอย่างมากเพราะเขาคนนั้นสามารถทำให้เย่เชียนเรียก ‘พี่หลิน’ ดังนั้นคนคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามโจวหยวนก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันยังคงมีตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีนอยู่อีก
ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่สามารถระดมพลกองกำลังของทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ามาที่นี่ได้จริงๆ เพราะทวีปตะวันออกกลางนั้นเป็นฐานทัพใหญ่ของเขี้ยวหมาป่าดังนั้นเย่เชียนจะไม่ทำการโยกย้ายคนจำนวนมากเกินไปเพราะกำลังหลักนั้นต้องคอยอยู่ประจำการที่นั่นเสมอ ส่วนหน่วยกรงเล็บหมาป่านั้นก็คอยผิดชอบสิ่งต่างๆ ทั้งประเทศญี่ปุ่นและเขตการปกครองไต้หวัน ส่วนประเทศเมียนมาร์นั้นก็ต้องวางกำลังคนเอาไว้เช่นกัน ซึ่งถึงแม้ว่าโดยพื้นฐานแล้วสถานการณ์ต่างๆ จะมีเสถียรภาพมากก็ตามแต่ถึงยังไงที่นั่นก็ยังต้องการเฟิงหลานเพื่อคอยควบคุมสิ่งต่างๆ อยู่ดี ส่วนเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นก็ดำเนินการไปอย่างเป็นทางการโดยมีสมาชิกชุดหลักของเขี้ยวหมาป่าประจำการอยู่จำนวนมากอย่างเช่นแจ็ค,อู๋หวนเฟิงและม่อหลง ส่วนเมืองหนานจิงนั้นไม่มีสมาชิกเขี้ยวหมาป่าเลย
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเย่เชียนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะไปพัฒนาพลังของเขี้ยวหมาป่าในดินแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเลย ซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อหลินเฟิงเพราะถึงแม้ว่าทิศทางการพัฒนาและวิสัยทัศน์ของเขี้ยวหมาป่ากับองค์กรเซเว่นคิลแตกต่างกันก็ตามแต่ทว่าดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแห่งนี้ก็เป็นดินแดนของหลินเฟิงและมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับการที่เขี้ยวหมาป่าจะเข้ามาทำสิ่งต่างๆ ในที่แห่งนี้เลย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลินเฟิงที่ต้องออกไปจัดการกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั่นเอง
ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นที่ตั้งหลักปักฐานขององค์กรเซเว่นคิลดังนั้นหลินเฟิงจึงสามารถระดมคนจำนวนมากได้ แต่ทว่าอย่างไรก็ตามเนื่องจากองค์กรเซเว่นคิลนั้นลึกลับเกินไปดังนั้นผู้คนในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้จึงแทบจะไม่ทราบเลยว่ามันจะมีองค์กรอย่างเซเว่นคิลอยู่
“เอ็งไปพักผ่อนก่อนเถอะ!” เย่เชียนมองไปที่โจวหยวนและพูด
โจวหยวนก็ตอบและเดินออกไปจากห้องแต่ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูห้องออกเขาก็เห็นกลุ่มคนเดินออกมาจากลิฟต์และเมื่อเห็นท่าทางที่ก้าวร้าวและเกรี้ยวกราดแล้วโจวหยวนก็เดาได้ว่าคนพวกนี้จะต้องเป็นคนที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ส่งมา เมื่อคิดเช่นนั้นโจวหยวนก็รีบหันกลับไปและปิดประตูอย่างเร่งรีบและพูดว่า “พี่สอง! ..คนของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หาพวกเราเจอแล้ว!”
เย่เชียนก็ถึงผงะไปชั่วขณะและพูดว่า “คนพวกนั้นทำอะไรรวดเร็วกันดีจัง..เอ็งบาดเจ็บอยู่เพราะงั้นก็อย่าเพิ่งทำอะไร”
“ผมไม่เป็นอะไร..ผมสู้ได้อีกสองสามยก!” โจวหยวนพูดอย่างหนักแน่น
“ไอ้บ้านี่แผลของเอ็งเพิ่งจะเย็บมาแล้วถ้าแผลมันฉีกขึ้นมาฉันจะไม่ให้เงินเอ็งไปโรงพยาบาลอีก” เย่เชียนพูด
โจวหยวนก็ถึงกับผงะและตกใจอย่างมากพลางคิดว่านี่มันคืออะไรกันแน่? อย่างไรก็ตามโจวหยวนนั้นก็พึงพอใจอย่างมากกับความเป็นมิตรและความเอาใจใส่ของเย่เชียนจนโจวหยวนรู้สึกว่าเขานั้นไม่ได้ติดตามเจ้านายผิดคน วิธีที่ผู้ชายแสดงอารมณ์ของพวกเขานั้นมักจะแปลกอยู่เสมอซึ่งเย่เชียนนั้นมักจะเอาใจใส่พวกพ้องของเขาอยู่เสมอจนผู้คนจากองค์กรทหารรับจ้างกลุ่มอื่นๆ ก็เคยพูดเอาไว้ว่าสามารถชี้ไปที่หน้าของเย่เชียนและด่าว่าเขาเป็นไอ้โง่ได้อย่างเต็มปาก แต่ทว่าอย่าไปชี้หน้าพี่น้องของเย่เชียนและด่าว่าเป็นไอ้โง่เด็ดขาดไม่งั้นคนคนนั้นจะต้องชะตาขาดอย่างแน่นอน
“ปังปังปัง!” มีเสียงเคาะอย่างรุนแรงที่ด้านนอกประตูซึ่งในขณะนี้เย่เชียนก็หยิบที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตูและเขาก็เปิดประตูออกและตะโกนว่า “เคาะอะไรกันนักกันหนา..หัดมีมารยาทบ้าง!” ทันทีที่เสียงของเย่เชียนจบลงเย่เชียนก็ใช้ที่เขี่ยบุหรี่ทุบไปที่หัวของคนตรงหน้าจนเลือดของคนคนนั้นพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
หลังจากเห็นการปรากฏตัวของเย่เชียนแล้วคนกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาทันทีพร้อมท่อเหล็กและมีดสปาต้าในมือแล้วฟาดเข้าไปที่เย่เชียนทันที
เย่เชียนนั้นยืนอยู่คนเดียวที่หน้าประตูและจัดการฝ่ายตรงข้ามไปทีละคนโดยไม่รีบร้อนแต่อย่างใด ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนที่ไร้ประโยชน์และทำอะไรไม่ได้เลยเพราะคนส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่ตะโกนอยู่ข้างหลังของพวกเขา โดยมีเด็กหนุ่มผมสีทองคนหนึ่งตะโกนอย่างดุเดือดและเสียงดังอย่างมากอยู่ด้านหลังสุด
เย่เชียนก็ใช้ที่เขี่ยบุหรี่ทุบคนที่วิ่งมาตรงหน้าเขาอย่างแม่นยำจากนั้นก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มผมสีทองที่อยู่ด้านหลังคยเหล่านี้แล้วพูดว่า “แกเป็นคนที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังที่สุด..เพราะงั้นฉันจะจัดการแกทีหลัง!”
เด็กหนุ่มที่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่แหลมคมและเย็นยะเยือกของเย่เชียนเช่นนี้เขาก็ตัวสั่นด้วยความตกใจกลัวและเกือบจะทิ้งมีดในมือลงกับพื้น
แขกบางคนที่ไม่ทราบสถานการณ์ในตอนนี้ก็ออกมาจากห้องของตัวเองและเมื่อเห็นฉากนี้พวกเขาก็รีบถอยกลับไปในทันที อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีคนที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่น่าเศร้าอยู่เพราะพวกนักเลงเหล่านี้เห็นชายหัวโล้นร่างอ้วนที่สวมเพียงผ้าขนหนูอาบน้ำที่เปิดประตูออกมาและตะโกนสาปแช่งว่า “พวกแกเสียงดังบ้าบออะไรกันวะ!”
หลังจากที่เขาได้มองเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วเขาก็อุทานว่า “เอ่อคือ..” ด้วยความตกใจเขาจึงต้องการที่จะปิดประตูแต่ก็น่าเสียดายที่มันสายเกินไปเพราะเด็กหนุ่มผมสีทองที่กำลังเฝ้าดูอยู่นั้นเขาไม่มีที่ให้ระบายเขาจึงสั่งให้คนของเขาพุ่งไปข้างหน้าและผลักประตูเข้าไปแล้วพูดว่า “ไหนแกลองพูดแบบเมื่อกี้อีกทีซิ! ..การโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรอกนะ” ไม่ว่าชายหัวโล้นจะขอความเมตตาแค่ไหนแต่เด็กหนุ่มผมทองเก็ตัดบทสนทนาของเขาเสมอ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานชายหัวโล้นก็นอนจมกองเลือดไปอย่างรวดเร็วและในทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงอีกคนในห้องที่กรีดร้องแล้วเป็นลมไป
“โว้วๆ ..กระตือรือร้นกันจริงนะ” ในขณะนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากลิฟต์และพูดเบาๆ ซึ่งเป็นชายรูปร่างผอมผิวขาวและมีความงามแบบผู้หญิงซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นหลินเฟิงนั่นเอง
“มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแก..ออกไปจากที่นี่ซะ!” เด็กหนุ่มผมทองควงมีดในมือของเขาและพูดว่า “อย่าโทรแจ้งตำรวจล่ะ..ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน!” อันที่จริงแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นได้ติดต่อกับคนในสถานีตำรวจเอาไว้แล้ว
เมื่อเย่เชียนเห็นหลินเฟิงเขาก็รีบตะโกนว่า “พี่หลินช่วยผมหน่อย..ไอ้เด็กผมทองนั่นมันบ้าไปแล้ว..ช่วยจัดการมันที”
“นี่เป็นงานด้วยหรือเปล่า..เพราะฉันต้องได้ค่าตอบแทนด้วยนะ” หลินเฟิงพูด
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “แน่นอน..นี่เป็นงานแรกของคุณ..เพราะงั้นเรียกราคามาได้เลย”
“น้องเย่เป็นคนใจกว้างจริงๆ” หลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มและหลังจากนั้นดวงตาของเขาหันไปที่เด็กหนุ่มผมสีทอง ซึ่งเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองเช่นนี้แล้วทุกคนต่างก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสองคือพวกเดียวกันอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มผมสีทองก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ อีกต่อไปเขาก็ใช้มีดแทงเข้าไปที่หลินเฟิงทันที ซึ่งในขณะนี้ดวงตาของหลินเฟิงก็หรี่ลงและร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปจับแขนของเด็กหนุ่มผมสีทองแล้วบิดอย่างแรงและในทันใดนั้นก็มีเพียงเสียง “กรึก!” แขนทั้งข้างของเด็กหนุ่มผมสีทองก็บิดเบี้ยวไปอย่างสมบูรณ์และร้องเหมือนหมูที่ถูกเชือดอย่างน่าสังเวช
.
.
.
.
.
.
.