ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 488 สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
ตอนที่ 488 สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
เย่เชียนนั้นไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสลาดาร์อาร์ตันอยู่ที่บ้านหรือเปล่าแต่ในช่วงเวลาสำคัญคืนนี้เขาต้องรับผิดชอบการต่อสู้อยู่ที่บ้านของเขาและนอกจากนี้หากสลาดาร์อาร์ตันไม่อยู่บ้านเย่เชียนก็อาจจะไม่สามารถระบุได้ว่าสลาดาร์อาร์ตันอยู่ที่ไหนในพื้นที่การต่อสู้ระหว่างแก๊งมาเฟีย ดังนั้นถ้าจะไปหาสลาดาร์อาร์ตันก็ควรจะไปที่บ้านของเขาจะดีกว่าเพราะมีโอกาสที่จะเจอสลาดาร์อาร์ตันมากที่สุด
สิ่งเดียวที่เย่เชียนหวังในตอนนี้คือการกำจัดสลาดาร์อาร์ตันเพราะถ้าหากอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ไม่สามารถจัดการสลาดาร์อาร์ตันได้ล่ะก็สิ่งต่างๆ คงจะยากลำบากอย่างมาก ดังนั้นถ้าหากสลาดาร์อาร์ตันอยู่ที่บ้านทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสามารถจบลงได้อย่างง่ายดาย
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดแล้วลูกน้องของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ที่คอยคุ้มกันเย่เชียนอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรีบพูดว่า “มิสเตอร์เย่หัวหน้าบอกผมว่าคืนนี้อย่าให้คุณออกไปข้างนอกเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุใดๆ ..ไม่ต้องกังวลไปเพราะคืนนี้สลาดาร์อาร์ตันต้องตายอย่างแน่นอน!”
“ผมรู้ว่าเขาจะต้องตาย..ผมแค่อยากออกไปดูขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่แค่นั้น..จะให้ผมรอให้เขาตายเพื่อดูศพของเขาน่ะเหรอ” เย่เชียนกลอกตาไปมาและพูดว่า “เอาเถอะ..คุณมีหน้าที่ขับรถให้เรา..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวเราจะระวังตัวดีเอง”
“แต่ … ” ผู้ใต้บังคับบัญชายังคงลังเลเล็กน้อยเพราะอย่างไรก็ตามถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้เขาจะไม่สามารถอธิบายให้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์เข้าใจได้อย่างแน่นอนและเขาก็กลัวว่าแม้แต่ชีวิตที่ต่ำต้อยของเขาก็ยากที่จะรักษามันเอาไว้
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันและใบหน้าของเขาก็มืดลงและน้ำเสียงของเขาก็ดูเย็นชาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อะไรนะ..ผมพูดอะไรไปคุณไม่ฟังเลยหรอ..ไปขับรถ! ” ในประโยคสุดท้ายเย่เชียนเกือบจะตะโกนออกมา ซึ่งมาเฟียคนนั้นก็ถึงกับตกใจจนตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรใดๆ อีกและเขาก็รีบวิ่งไปที่โรงรถเพื่อรับรถทันที
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ชอบชิงเฟิงและหลี่เหว่ยที่ต้องการให้โลกเกิดความสับสนวุ่นวายแต่เย่เชียนเองก็เป็นคนที่ไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นคืนนี้เหมือนกันและถ้าหากไม่ได้ทำอะไรเขาก็จะกระวนกระวายอย่างมาก แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่สามารถถูกดึงดูดเขาได้เพียงแค่การโยนเบ็ดล่อและถึงแม้ว่าเขาจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยความตื่นเต้นแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเพราะเย่เชียนนั้นไม่ได้โง่ถึงขนาดเป็นปลาที่คนอื่นจับได้
สลาดาร์อาร์ตันนั้นเป็นถึงผู้นำของแก๊งมาเฟียสลาดาร์และเขาก็เป็นคนท้องถิ่นในเมืองมูร์มัคส์ บุคคลเช่นนี้จะต้องตายในคืนนี้อย่างแน่นอนดังนั้นเย่เชียนจึงอยากไปพบเขาสักครั้งไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆ คงจะเปล่าประโยชน์ นอกจากนี้เขาก็ควรจะได้เห็นสลาดาร์อาร์ตันเคลื่อนไหวและระหว่างทางเขาก็ไขข้อสงสัยในใจของเขาว่าเขากำลังจะชนะใครหรือกำลังจะแพ้ใครนั่นเอง
“ฉันควรจะรอดูเพื่อความตื่นเต้นหรือเข้าไปเล่นสนุกด้วยดี?” หลินเฟิงถามเย่เชียนอย่างรวดเร็ว
“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์..ผมแค่อยากเห็นความตื่นเต้นแต่ผมกลัวว่าพี่จะคันมือและอดใจไม่ไหวเพราะพี่ไม่ได้ฆ่าใครสักคนมานานแล้ว..พี่คงจะกระวนกระวายใช่ไหม?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงมองเย่เชียนด้วยหางตาแล้วพูดว่า “ฉันไม่เคยเป็นอย่างที่นายพูดเลย..นายคิดว่าฉันเป็นฆาตกรโรคจิตงั้นเหรอ..ในเมื่อนายพูดแบบนี้ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นฉันจะรอดูอย่างเดียว”
“เอาหน่าๆ! ” เย่เชียนฉีกยิ้มและโอบไหล่ของหลินเฟิง
ในขณะที่คุยกันลูกน้องของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ก็ขับรถมารับทั้งสองคนจากนั้นลงจากรถแล้วเปิดประตูให้เย่เชียนและหลินเฟิงด้วยความเคารพจากนั้นสตาร์ทรถและขับไปยังบ้านของสลาดาร์อาร์ตัน ซึ่งเขาคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์มาโดยตลอดและเขาก็ได้ติดตามอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย ซึ่งเขานั้นรู้สิ่งต่างๆ ในเมืองมูร์มัคส์มากมาย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าบ้านของสลาดาร์อาร์ตันนั้นอยู่ที่ไหน
ไม่นานหลังจากที่รถขับออกไปเย่เชียนก็ได้ยินเสียงปืนดังอย่างชัดเจนพร้อมกับเสียงระเบิดเป็นครั้งคราว ซึ่งเย่เชียนก็เดาะลิ้นอย่างลับๆ พลางคิดว่ามาเฟียที่แย่งชิงเขตแดนกันนั้นมันแตกต่างจากทหารที่ไหนเพราะมันเกือบจะเหมือนกับการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองอย่างไงอย่างงั้น
ถ้าวงการโลกใต้ดินทั่วโลกเป็นแบบนี้ล่ะก็เมื่อใดที่มีสงครามโลกประเทศนั้นๆ ก็คงจะไม่มีปัญหาด้านกำลังพลเลย
เย่เชียนก็ตบไหล่หลินเฟิงเบาๆ แล้วพูดว่า “พี่หลินอิจฉาหรอ? ”
หลินเฟิงถึงกับผงะไปชั่วขณะและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถามว่า “อิจฉาอะไร? ”
“ผมน่ะอิจฉาชีวิตแบบนี้เพราะการได้สั่งกองกำลังถึงหนึ่งพันคนให้ไปต่อสู้แบบนั้น..พี่ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับมันหรอ?” เย่เชียนพูด
“จริงๆ แล้วฉันไม่ชอบการต่อสู้แบบนั้นหรอก..เพราะมันมีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บมากเกินไป” หลินเฟิงพูดด้วยความจริงใจ
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็หัวเราะพลางเอนตัวเข้าไปใกล้ๆ หูของหลินเฟิงและกระซิบว่า “ถ้าพี่บอกใครสักคนว่าผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลหลินเฟิงคนนั้นไม่ชอบการฆ่าฟันล่ะก็คงจะไม่มีใครเชื่อหรอก”
“โลกใบนี้มันกว้างใหญ่..คนเราคิดไม่เหมือนกันหรอก” หลินเฟิงพูด
ในขณะนี้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์มีความกล้าหาญอย่างมากเพราะขณะที่เขาต่อสู้เขาก็เฝ้าดูการโจมตีของลูกน้องของเขาเหมือนไม้ไผ่หักอย่างใกล้ชิดและไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนเขาก็รู้สึกมั่นใจ ซึ่งการโจมตีเป็นระลอกคลื่นที่เย่เชียนระบุเอาไว้นั้นดูเหมือนจะมีผลลัพธ์ที่ดีและมีบทบาทอย่างเต็มที่และไม่เพียงแค่สามารถยั่วยุคนของสลาดาร์อาร์ตันได้เท่านั้นแต่ยังสามารถกวาดล้างพวกเขาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ในใจของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์นั้นความเคารพที่มีต่อเย่เชียนในขณะนี้ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้อีกต่อไปเพราะหลังจากที่ถูกวลาเมียร์และสลาดาร์อาร์ตันกดดันมานานในที่สุดเขาก็สามารถลบล้างความอัปยศนั้นได้แล้วและทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเย่เชียนและอาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของเย่เชียนอย่างสมบูรณ์แบบ
ทันทีที่เย่เชียนมาถึงเมืองมูร์มัคส์เขาก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดวลาดิเมียร์คู่ต่อสู้ที่เป็นปัญหาและรับมือยากลำบากที่สุดของเขาและตอนนี้ภายใต้แผนดังกล่าวการกำจัดสลาดาร์อาร์ตันนั้นก็สามารถทำได้เช่นกันจนอัสลานฮอร์ดมิลฟ์นั้นมีภาพลวงตาว่าถ้าหากเขาติดตามเย่เชียนล่ะก็เขาอาจจะมีอนาคตที่สดใสกว่าเดิมอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเขาสามารถคิดเกี่ยวกับความคิดแบบนี้ได้แต่เขาไม่สามารถนำมันไปสู่การปฏิบัติจริงๆ ได้เพราะด้วยเหตุนี้ตระกูลมาเฟียคูลอฟส์จึงปฏิบัติต่อผู้ทรยศอย่างโหดเหี้ยมเสมอแต่คูลอฟส์อังเดรนั้นกลับมีความเมตตาจึงทำให้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์นั้นไม่สามารถเป็นดั่งที่เขาต้องการได้ ประการที่สองเย่เชียนก็มีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกับคูลอฟส์อังเดรผู้เป็นหัวหน้าของเขาและถึงแม้ว่าเขาจะต้องการพึ่งพาเขาแต่คนอื่นๆ ก็อาจไม่คู่ควรกับเขาและนอกจากนี้เย่เชียนก็ยังอยู่ฝ่ายเขาเช่นกันแล้วทำไมเขาถึงต้องคิดมากเช่นนี้?
ในความเป็นจริงแม้ว่าอัสลานฮอร์ดมิลฟ์จะเข้าร่วมในสงครามด้วยตัวเองก็ตามแต่เนื่องจากวิธีการโจมตีของเย่เชียนคือการโจมตีเหมือนระลอกคลื่นจึงทำให้ในตอนท้ายอัสลานฮอร์ดมิลฟ์นั้นไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเลย เพราะแผนการโจมตีที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นได้เอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาหมดเสียไปแล้วและสิ่งที่เขาทำได้คือการมองไปที่ซากศพที่กองอยู่ทั่วพื้นและเป็นซากศพของฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากรัฐบาลเมืองมูร์มัคส์ได้รับแจ้งจากอัสลานฮอร์ดมิลฟ์แล้วจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ตำรวจจะไม่ถูกส่งมาเพื่อรักษากฎหมายและรักษความสงบเรียบร้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ท้ายที่สุดอิทธิพลของตระกูลคูลอฟส์ในประเทศรัสเซียก็ค่อนข้างใหญ่และไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือภายในรัฐบาลพวกเขาทั้งหมดมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก นอกจากนี้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์ก็อยู่ในเมืองมูร์มัคส์มาหลายปีแล้วจึงทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับรัฐบาลท้องถิ่นนั้นแน่นแฟ้นกว่าวลาดิเมียร์และสลาดาร์อาร์ตันมาก
สำหรับประชาชนคนธรรมดาเหล่านั้นหลังจากได้ยินเสียงปืนดังกล่าวพวกเขาได้ล็อคประตูห้องและปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนาแล้วพวกเขาก็กล้าที่จะออกไปไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามเพราะหลังจากอาศัยอยู่ที่นี่มานานพวกเขาก็คุ้นเคยกับการต่อสู้และการปะทะกันของแก๊งมาเฟียมาหลายครั้งแล้วและมีเพียงความคิดที่ว่ามันไม่สำคัญสำหรับพวกเขาพวเขาเพราะชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นสำคัญกว่าสิ่งใด
อัสลานฮอร์ดมิลฟ์นั้นก็สบายใจแต่สลาดาร์อาร์ตันกลับกระวนกระวายเหมือนมดบนหม้อไฟ ซึ่งในขณะนี้ข่าวร้ายก็ตามมาทีละนิดและหัวของเขาก็กำลังจะระเบิดเพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าการโจมตีของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์จะรุนแรงขนาดนี้และถ้ามันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปสลาดาร์อาร์ตันเกรงว่าเขาอาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในคืนนี้
สลาดาร์อาร์ตันก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าในขณะนี้เป็นเวลาที่อัสลานฮอร์ดมิลฟ์รอคอยมานาน ดังนั้นเขาจึงทำใจยอมรับและคิดว่าจะยอมแพ้ไปและละทิ้งเขตแดนของตัวเองไป อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพราะผู้นำระดับสูงขององค์กรสลาดาร์ซึ่งถ้าหากผู้นำของพวกเขาไม่ปฏิเสธที่จะส่งคนมาเพิ่มล่ะก็สถานการณ์ต่างๆ จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? พวกเขาทำไปเพื่ออะไร? หรือกำลังตั้งสมาธิและคิดแผนการโต้กลับกันอยู่
อย่างไรก็ตามมันสายเกินไปที่จะพูดอะไรในเวลานี้เพราะตอนนี้ถึงแม้ว่าผู้นำขององค์กรสลาดาร์จะส่งใครบางคนมาแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้วและตอนนี้สลาดาร์อาร์ตันก็คิดไม่ออกเลยถึงแม้ว่าเขาจะหนีออกจากเมืองมูร์มัคส์ไปได้ก็ตามแต่เขาก็จะไม่สามารถอยู่ในประเทศรัสเซียได้อีกต่อไปแล้วในอนาคตและต่อให้เขาจะหนีไปยังประเทศอื่นได้ถึงยังไงคนขององค์กรสลาดาร์ก็คงจะส่งคนมาตามสืบตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือการเทหน้าตักโดยกองกำลังทั้งหมดของเขาเพื่อเปิดฉากการโต้กลับและเป็นการโต้กลับที่สิ้นหวังที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ
“รีบระดมกำลังพลทั้งหมดไปที่เขตของเราด่วน! ..อย่าไปกลัวรีบรวบรวมคนทั้งหมดของเราและใช้อาวุธหนักทั้งหมดเพื่อตอบโต้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์..ถ้าพวกแกไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ล่ะก็เราจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป!” สลาดาร์อาร์ตันตะโกนเสียงดังใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาตรงหน้าเขา
ลูกน้องที่ไหนจะกล้าปฏิเสธผู้เป็นหัวหน้า? ดังนั้นเขาจึงตอบและรีบเดินออกไปและเรียกคนอื่นๆ ทีละคนเพื่อเตรียมการสิ่งต่างๆ
สลาดาร์อาร์ตันก็พูดด้วยความเดือดดาลว่า “อัสลานฮอร์ดมิลฟ์ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่จะมาดูกันว่ามันจะเป็นแกหรือฉันที่จะต้องสูญเสียทุกอย่าง!” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเขาก็ตะโกนเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นที่กำลังมองเขาอย่างโง่เขลาแล้วพูดว่า “พวกแกกำลังมองหาอะไร..พวกแกรีบไปเตรียมตัวกันสิ..เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
.
.
.
.
.
.
.