ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 495 เฉินยี่
ตอนที่ 495 เฉินยี่
เมื่อมองไปที่เฉินยี่อีกครั้งถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากแล้วแต่แววตาในดวงตาคู่นั้นก็ดุร้ายอย่างมากจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างลับๆ ‘อาจารย์!’ ถึงเย่เชียนจะไม่ใช่ปรมาจารย์ก็ตามแต่จากการฝึกฝนกับปรมาจารย์หลินจินไท่และการติดต่อกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนมานานหลายปีนั้นจึงทำให้เย่เชียนสามารถรู้สึกและสัมผัสได้ถึงออร่าแบบเดียวกันกับอาจารย์ของเขาและหวงฟู่ชิงเตี๋ยน
เย่เชียนก็รู้ดีว่าผู้ฝึกชี่นั้นเก่งเพียงใดเพราะเขาดูจากหลินจินไท่อาจารย์ของเขาเป็นตัวอย่างที่แม้แต่เย่เชียนเองยังไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อประลองกับเขาและยิ่งไปกว่านั้นหลินจินไท่ก็มักจะบอกว่าเขาเป็นเพียงผู้เริ่มต้นฝึกชี่เท่านั้นซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เช่นกันแล้วนับประสาอะไรกับเย่เชียน ดังนั้นเขาจะสามารถทำอะไรได้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกชี่ที่แท้จริงบ้าง
ทั้งองค์กรลึกลับที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเคยกล่าวไว้และซงเจิ้งหยวนพี่ชายของหูวเค่อต่างก็เป็นผู้ฝึกชี่ใช่ไหม? นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เย่เชียนไม่กล้าที่จะนำเขี้ยวหมาป่าเข้าสู่กรุงปักกิ่งของจีนเพราะในทะเลสาบยังมีมังกรและในถ้ำก็ยังเสือและมีสิ่งที่ยังไม่รู้จักมากเกินไป ด้วยทักษะปัจจุบันของเย่เชียนนั้นเขาไม่สามารถรับมือกับคนเหล่านี้ได้เลยดังนั้นเขามักจะพูดถึงการพัฒนาพลังของตัวเองเสมอมา
เมื่อเขาเห็นเย่เชียนแล้วเฉินยี่ก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปและขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะในฐานะผู้ฝึกชี่นั้นเฉินยี่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างภายในร่างกายของเย่เชียนได้โดยธรรมชาติและเขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ซึ่งเฉินยี่นั้นไม่ได้ซ่อนออร่าของเขาและโดยไม่ลังเลใดๆ เขาก็ปลดปล่อยออร่าและแรงกดดันทั้งหมดออกมาราวกับว่ามีบางสิ่งที่กีดขวางเอาไว้พุ่งใส่เย่เชียน
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งและพยายามขยับก้าวเดินแต่ก็พบว่าเขาขยับไม่ได้เลยและรู้สึกตกใจอย่างมากซึ่งเย่เชียนก็รู้ดีว่าปรมาจารย์คืออะไรและทำไมหวงฟู่ชิงเตี๋ยนถึงได้บอกว่าเย่เชียนนั้นไม่สามารถสู้เขาได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ซึ่งพลังแฝงในร่างกายของผู้ฝึกชี่นั้นท่วมท้นอย่างมากจนอีกฝ่ายไม่สามารถขยับได้แล้วนับประสาอะไรกับการโต้กลับ
หน้าผากของเย่เชียนในเวลานี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อม่อหลงปิดประตูและหันกลับมาเมื่อเขาก็สังเกตเห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาดของเย่เชียนและคิ้วของเขาก็ขมวดและอดไม่ได้ที่จะโกรธ แน่นอนว่าเขาสามารถเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากเฉินยี่และเมื่อม่อหลงเดินไปข้างๆ เย่เชียนแล้วม่อหลงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังของเฉินยี่
ในใจของม่อหลงนั้นสาวกของม่อจื๊อก็มีความสำคัญมากแต่ทว่าเย่เชียนนั้นสำคัญยิ่งกว่าดังนั้นถ้าหากมีเพียงทางเลือกเดียวระหว่างสาวกม่อจื๊อกับเย่เชียนล่ะก็แน่นอนว่าม่อหลงจะต้องเลือกเย่เชียนโดยไม่ลังเลใดๆ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ม่อหลงจึงแทบไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและเขาก็ปล่อยหมัดของเขาไปที่เฉินยี่ทันที
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเพราะปรมาจารย์อย่างเฉินยี่นั้นม่อหลงจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร ถ้าหากเฉินยี่รู้จักตัวตนของม่อหลงล่ะก็เขาอาจจะเมตตาอยู่แต่ทว่าตอนนี้เฉินยี่นั้นไม่รู้ “พี่ม่อหลง!” เย่เชียนรีบตะโกนราวกับมีพลังงานบางอย่างระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาและเขาก็สามารถคลายแรงกดดันของเฉินยี่ที่กักขังตัวเองได้ในทันที
“หือ? ” เฉินยี่ร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คาดคิดว่าจะมีออร่าที่แตกต่างกันสองอย่างและต่อต้านแรงกดดันของเขาได้อย่างสิ้นเชิงในร่างกายของเย่เชียน เด็กคนนี้เป็นผู้ฝึกตนด้วยหรือ? เฉินยี่คิดอย่างลับๆ อย่างไรก็ตามหลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้เขาก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าเย่เชียนเป็นผู้ฝึกตนเขาก็ต้องรู้ตั้งแต่แรกแล้วและเขาจะต้องสัมผัสบางอย่างได้
เฉินยี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหมัดของม่อหลงพุ่งมาที่เขาและแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็ใช้นิ้วชี้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและไปสกัดจุดของม่อหลงทันที ซึ่งม่อหลงก็งรู้สึกเพียงแค่ว่าเขานั้นหายใจติดขัดรู้สึกอ่อนเพลียและร่างกายของเขาหยุดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นเฉินยี่ก็พลิกข้อมือของเขาไปเอวของม่อหลงและดึงกริชดาวตกของม่อหลงไปซึ่งกระบวนท่าทั้งหมดรวดเร็วมากและเกือบเสร็จสิ้นภายในชั่วพริบตา
เมื่อเห็นว่าเฉินยี่ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายม่อหลงแล้วเย่เชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนึกถึงฉากเมื่อครู่นี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในใจของเขาเพราะทักษะต่อหน้ามันช่างน่าทึ่งอะไรเช่นนี้และเย่เชียนก็คิดว่าทักษะของชายชราคนนี้อาจจะอยู่เหนือทักษาะของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเลยเป็นไปได้ไหม?
ผู้ฝึกชี่สำหรับเย่เชียนนั้นก็น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาไม่รู้วิธีฝึกฝน อย่างไรก็ตามเย่เชียนไม่รู้ว่าหูวเค่อนั้นได้สอนพื้นฐานบางอย่างแก่เขาแล้วเมื่อตอนที่เขาอยู่ในเขตการปกครองไต้หวัน
“พี่เป็นอะไรไหม” เย่เชียนเดินไปที่ด้านข้างของม่อหลงและตบหลังของเขาเพื่อช่วยเขาและถามอย่างกระวนกระวาย
ม่อหลงไอสองครั้งและในที่สุดเขาก็หายใจเข้าซึ่งความรู้สึกตอนนี้ราวกับว่าเขาหายใจไม่ออกและมันก็อึดอัดมาก หลังจากนั้นม่อหลงก็มองไปที่เย่เชียนอย่างซาบซึ้งและส่ายหัวจากนั้นมองไปที่เฉินยี่และพูดว่า “ช่วยคืนมีดให้ผมที”
“พวกเอ็งได้กริชนี้มาจากไหน?” เฉินยี่ถามอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นการแสดงออกของเขาเช่นนี้ม่อหลงก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเพราะการแสดงออกเช่นนี้นั้นหมายความว่าเมื่อเฉินยี่ได้เห็นกริชดาวตกแล้วเขาก็ตระหนักถึงบางอย่างและให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก เมื่อเห็นเช่นนั้นม่อหลงก็คุกเข่าลงและพูดว่า “ผมม่อหลง! ..ลูกหลานตระกูลม่อ..บัดนี้ผมได้มาพบผู้อาวุโสเฉินแล้ว”
“เอ็ง! …เอ็งชื่ออะไร? ” สีหน้าของเฉินยี่ตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด
“ม่อหลง! ..ทายาทตระกูลม่อ” ม่อหลงพูดซ้ำๆ เพราะม่อหลงนั้นเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเฉินยี่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นสาวกม่อจื๊อจริงๆ และเขาคนนี้จะต้องรู้เรื่องราวของปู่ของเขาอย่างแน่นอน
“เอ็งเป็นลูกหลานของตระกูลม่อจริงๆ หรือ..พระเจ้า! ..ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะได้อยู่เห็นลูกหลานตระกูลม่อในช่วงชีวิตของข้า..เอ้าลุกขึ้นมาเร็ว” เฉินยี่รีบช่วยพยุงม่อหลงขึ้นมา จากนั้นเฉินยี่ก็ถามอย่างกระตือรือร้นว่า “มีเพียงลูกหลานของตระกูลม่อเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะครอบครองกริชดาวตกในตำนานเล่มนี้..มาเถอะรับมันคืนไป”
ม่อหลงหยิบกริชดาวตกแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส…”
“อย่าทำตามกฎของสำนักเลย..เอ็งเป็นถึงทายาทของผู้บุกเบิกสำนักม่อจื๊อ..เพียงแค่เรียกชื่อของฉันก็พอ” เฉินยี่ขัดจังหวะม่อหลงแล้วพูด
“คุณกับปู่ของผมเป็นคนรุ่นเดียวกัน..เพราะงั้นก็ถูกต้องแล้วที่ผมจะเรียกคุณว่าผู้อาวุโส” ม่อหลงพูด “ท่านผู้อาวุโส..ที่ผมมาหาคุณในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะรู้แจ้งว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น..แล้วพ่อแม่ของผมยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ”
เฉินยี่ก็ถึงกับสั่นไปทั้งตัวจากนั้นเขาก็พูดว่า “มานั่งสิ..มานั่งลงก่อน” จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “แล้วพ่อหนุ่มคนนี้คือ…”
“เย่เชียน! ..ผมเป็นน้องชายของพี่ม่อหลง” เย่เชียนตอบ เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของเฉินยี่นั้นเปลี่ยนไปได้ราวกับว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมานานหลายปี
“เอ็งก็มานั่งลงด้วยสิ” เฉินยี่พูด “เย่เชียนใช่มั้ย? ”
“ครับเรียกผมว่าเย่เชียนก็ได้” เย่เชียนพูด
“โทษทีนะหลานเย่..เอ็งมีออร่าที่ชั่วร้ายในร่างกายของเอ็ง..ข้าหวังว่าเอ็งจะควบคุมมันได้นะไม่เช่นนั้นในอนาคตเอ็งอาจจะต้องกลายเป็นปีศาจใอย่างแน่นอน..และเอ็งจะต้องตกอยู่ในขุมนรกตลอดไป” เฉินยี่พูด
เย่เชียนก็ตกตะลึงอย่างมากเพราะเมื่อตอนที่เขาอยู่ในวัดหลิงหลงทางดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของจีนนั้นเย่เชียนก็มีความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกันและตอนนี้เฉินยี่ก็พูดเช่นเดียวกันซึ่งทำให้เย่เชียนแน่ใจมากขึ้นว่าเขามีบางอย่างที่มันไม่ใช่ของเขา อาจจะเป็นเพราะมีดคลื่นโลหิตหรือเปล่า? ด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ เย่เชียนก็พูดว่า “ผมฆ่าคนมามากมายเพราะงั้นหลังจากที่ผมตายผมคงจะต้องตกลงไปสู่ขุมนรกสิบแปดชั้นอย่างแน่นอนฮ่าๆ”
เฉินยี่ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เอาเถอะ..เดี๋ยวเอ็งจะเข้าใจในภายหลังเอง” จากนั้นเขาก็หันไปมองม่อหลงแล้วพูดว่า “แล้วเอ็งยังไม่ได้กลับไปที่สำนักม่อจื๊ออีกเหรอ” เนื่องจากม่อหลงได้ถามตัวเองด้วยคำถามนั้นเฉินยี่จึงมั่นใจว่าม่อหลงนั้นไม่สามารถกลับไปที่สำนักได้ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถามเรื่องในสมัยก่อนเป็นแน่
ม่อหลงก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมตามหาข้อมูลเกี่ยวกับม่อจื๊อมาหลายปีแล้ว..และเมื่อปีที่แล้วในที่สุดผมก็ได้พบตู้เหลียงเฉิงและอยากถามเขาเกี่ยวกับม่อจื๊อแต่ผทไม่ได้คาดคิดว่าเขาอยากจะฆ่าผม..และในที่สุดครั้งนี้ผมก็พบเบาะแสของผู้อาวุโสและหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถบอกผมได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นและบอกผมว่าตอนนี้พ่อแม่ของผมยังอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า”
ด้วยการถอนหายใจยาวๆ หลังจากนั้นเฉินยี่ก็พูดว่า “ม่อจื๊อในวันนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง..และไม่มีทางรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย..ส่วนพ่อแม่ของเอ็งนั้นเสียไปตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและแอบคิดว่าม่อจื๊อนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับการยึดอำนาจภายในใช่มั้ย? นั่นเป็นสาเหตุที่ครอบครัวของม่อหลงถูกฆ่าล้างบาง?
ปากของม่อหลงกระตุกสองสามครั้งอย่างช่วยไม่ได้ซึ่งมันเป็นการระงับความเศร้าโศกของเขาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งม่อหลงนั้นไม่รู้เรื่องในอดีตเลยแต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินว่าครอบครัวทั้งครอบครัวของเขาตายไปแล้วเขาก็เศร้าโศก หลังจากหายใจเข้าลึกๆ ม่อหลงก็เอ่ยปากถาม “ผู้อาวุโสครับแล้วพ่อกับแม่ของผมท่านเสียชีวิตอย่างไร?”
“บางอย่างก็ไม่มีใครรู้เลย..เราควรลืมสิ่งที่เกี่ยวกับม่อจื๊อไปได้แล้วและไปใช้ชีวิตของตัวเองในอนาคตและหยุดแสวงหาม่อจื๊ออีก” เฉินยี่พูด
“ไม่มีทาง..ผมเป็นลูกหลานของสาวกม่อจื๊อ..ถ้าผมไม่รู้แม้แต่การตายของพ่อแม่ของผมว่าพวกท่านเสียชีวิตไปอย่างไรแล้วผมจะอยู่ได้ยังไง?” ม่อหลงพูดอย่างหนักแน่น
“ถ้ารู้ว่าพ่อแม่ของเอ็งเสียชีวิตยังไงแล้วเอ็งจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือเปล่า? ” เฉินยี่พูด
“ถ้าพวกเขาตายไปด้วยความคับแค้นใจบางอย่างล่ะก็ผมที่เป็นลูกของพวกเขาจะล้างแค้นให้พวกเขาเอง..แต่ถ้าพวกเขาตายโดยธรรมชาติล่ะก็ในฐานะลูกหลานของตระกูลม่อผมก็ควรต้องรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ สิ” ม่อหลงยังคงพูดอย่างหนักแน่น
“หือ..การแก้แค้นที่ไม่สามารถเอาชนะได้แล้วจะไปแก้แค้นได้ยังไง? ” เฉินยี่พูดอย่างดูถูก ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกม่อหลงจริงๆ แต่เขาแค่ไม่ต้องการให้ม่อหลงเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทของม่อจื๊อในอดีตเพื่อที่ม่อหลงจะได้มีชีวิตใหม่ของเขา
.
.
.
.
.
.
.