ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 501 ศึกดวลเดือดพลซุ่มยิง
ตอนที่ 501 ศึกดวลเดือดพลซุ่มยิง
การได้เผชิญหน้าและสู้รบกับองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะนั้นเป็นสิ่งที่เย่เชียนรอคอยมานานเพราะในฐานะทหารมืออาชีพนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้เกลียดเหล่าทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะมากนักแต่ยังชื่นชมพวกเขาเลยด้วยซ้ำเพราะพวกเขาเป็นทีมที่ดีมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติเย่เชียนก็จะต่อสู้กับพวกเขาอย่างสมศักดิ์ศรี
ทางทิศตะวันออกนั้นมีป่าทึบดังนั้นเบอร์นาร์ดสกี้จึงนำเหล่าหทารรับจ้างจิ้งจอกหิมะเขาเข้าไปในนั้นและนี่คือแผนการที่เย่เชียนวางเอาไว้ล่วงหน้าและเขายังได้ทำการวิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับภูมิประเทศของป่าแห่งนี้ แต่ก็น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีหมาป่าสายหมอกเฟิงหลานไม่เช่นนั้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการทำสงครามในป่าเย่เชียนก็เชื่อว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะง่ายขึ้นอย่างมากเมื่อมีเฟิงหลาน
เมื่อเย่เชียนและหลินเฟิงเข้าไปสมทบกับเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าแล้วพวกเขาทุกคนก็พร้อมที่จะต่อสู้และตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ของกองกำลังพิเศษครบชุด เพราะถ้าหากเป็นองค์กรมาเฟียคูลอฟส์แล้วซึ่งเป็นองค์กรมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียเช่นนี้การจัดหาอุปกรณ์ดังกล่าวเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก
ใบหน้าของทุกคนถูกทาด้วยสีน้ำมันและเมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาสมาชิกในทีมเขี้ยวหมาป่าก็แสดงความเคารพในรูปแบบทหารที่มีมาตรฐานมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นหน่วยรบพิเศษจากประเทศต่างๆ ทั้งโลกหรือเคยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานลับของประเทศอื่นๆ แต่พวกเขาก็มีวิธีการแสดงความเคารพในแบบเขี้ยวหมาป่าเป็นของตัวเอง
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และหยิบอุปกรณ์ที่สมาชิกเขี้ยวหมาป่าเตรียมเอาไว้ให้เขามาสวมใส่ ไม่ได้หมายความว่าเหล่าทหารรับจ้างจะไม่ใส่ชุดพิเศษเพื่อป้องกันความปลอดภัยเพราะพวกเขามักจะสวมเสื้อเกราะกันกระสุนด้วย เนื่องจากไม่มีใครอยากให้เพื่อนร่วมทีมเกิดอุบัติเหตุระหว่างการต่อสู้จึงไม่ได้หมายความว่าพวกเขากลัวแต่อย่างใด
“ในที่สุดวันนี้ฉันก็ได้เห็นการปรากฏตัวของเหล่าเขี้ยวหมาป่าด้วยตาของฉันเองแล้ว..พวกนายช่างเป็นกองกำลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจริงๆ” หลินเฟิงพูดอย่างจริงจัง
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากพี่หลิน..ว่าแต่นักฆ่าของเซเว่นคิลล่ะ?”
“พวกเขาเข้าป่านำไปก่อนแล้ว” หลินเฟิงพูด “นักฆ่าของเซเว่นคิลไม่ได้รบเก่งเหมือนพวกนาย..เพราะพวกเขาเก่งในการปฏิบัติการพิเศษประเภทลอบสังหารซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราถนัดที่สุด..ฉันก็เลยสั่งให้พวกเขาล่วงหน้าไปก่อน”
เย่เชียนก็พยักหน้าอีกครั้งและใส่อุปกรณ์ส่วนสุดท้ายแล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนฟังให้ดี..นี่เป็นครั้งแรกที่เขี้ยวหมาป่าของพวกเราได้ร่วมมือกับเหล่าตำนานนักฆ่าเซเว่นคิล..นี่เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด..เพราะงั้นห้ามล้มเหลวเด็ดขาด!”
“รับทราบ!” สมาชิกเขี้ยวหมาป่าทุกคนตอบอย่างหนักแน่น
“นอกจากนี้จงจำคำพูดของผมเอาไว้! ..ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงก็โปรดจงรักษาชีวิตของพวกคุณเอาไว้..เพราะเราสามารถปลิดชีพศัตรูได้แต่ถ้าพวกคุณคนใดคนหนึ่งตายมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมหวังเอาไว้..ได้ยินไหม!” เย่เชียนตะโกน
“ได้ยินครับ!” สมาชิกเขี้ยวหมาป่าตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
คำพูดของเย่เชียนนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวแต่เมื่อพวกเขาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต่อสู้โดยไม่จำเป็นและต้องทำงานเป็นทีมและเพื่อนร่วมทีมก็สำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าจะแข็งแกร่งแต่พวกเขาก็ไม่ใช่เทพเจ้าที่ไม่สามารถฆ่าได้ด้วยกระสุนเพราะพวกเขาอาจจะบาดเจ็บและล้มตายกันได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าหากผู้ใดฝ่าฝืนล่ะก็คนคนนั้นจะไม่ใช่ฮีโร่แต่กลับกลายเป็นคนโง่แทน
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนในทุกสิ่งและบางครั้งเราก็ต้องรู้ด้วยว่าเราทำอะไรได้และเราทำอะไรไม่ได้ เพราะบางทีในระยะเวลาสั้นๆ ทุกอย่างอาจจะต้องทำภายใต้การตัดสินอย่างมีเหตุผล
“จิวเหว่ย! ..มอบหมายหน้าที่ให้ทีมได้เลย” เย่เชียนเหลือบมองไปที่จางจิวเหว่ยและพูด
“รับทราบ!” จางจิวเหว่ยตอบแล้วเริ่มจัดทำแผนกลยุทธ์ ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 16 คนในเขี้ยวหมาป่าซึ่งสี่คนรับผิดชอบภารกิจสไนเปอร์ลอบยิงเป็นคู่ๆ และอีก 12 คนที่เหลือจะอยู่ในการปฏิบัติการลงพื้นที่ค้นหาบนภูเขาและในป่าและแบกอีกสองคนโดยมีหน้าที่ในการพาครที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากสนามรบเพื่อรับการรักษาบาดแผลเบื้องต้น
หลังจากเสร็จสิ้นการมอบหมายหน้าที่แล้วเย่เชียนก็ออกคำสั่งและสมาชิกทุกคนของเขี้ยวหมาป่าก็เริ่มเคลื่อนพลทันที หลังจากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่หลินเฟิงแล้วพูดว่า “พี่หลินในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดแบบนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องใช้ทักษะลับไร้เงาของเซเว่นคิล..โชคดี!”
หลินเฟิงก็ยื่นมือออกมาและจับมือกับเย่เชียนพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดี..ขอให้การร่วมมือครั้งนี้ได้รับชัยชนะ! ” หลังจากคำพูดนั้นจบลงหลินเฟิงก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าหลินเฟิงจากไปแล้วเย่เชียนก็ฉีกยิ้มและรีบวิ่งตามสมาชิกเขี้ยวหมาป่าไป
หลินเฟิงนั้นเป็นนักฆ่านักเขาจึงไม่ถนัดในการรุกและการเข้าปะทะตรงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่กับทีมเขี้ยวหมาป่าของเย่เชียน ซึ่งหลินเฟิงนั้นสามารถใช้ความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อเขาทำการโจมตีแบบลอบสังหาร ซึ่งเขาที่ได้ร่วมมือกับเหล่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลมาหลายปีจึงทำให้ความเข้าใจในการความร่วมมือกันนั้นเป็นไปได้ด้วยดีอย่างมาก
“จิวเหว่ยคุณเคยอยู่ในหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาช่วงเวลาหนึ่ง..เพราะงั้นคุณรู้เรื่องหน่วยรบพิเศษหมีขั้วโลกมากแค่ไหน” เย่เชียนถาม
“อืม..CIAของสหรัฐอเมริกามีข้อมูลมากมายที่เกี่ยวกับหน่วยรบพิเศษหมีขั้วโลกของรัสเซีย..ผมเองก็เคยได้เรียนรู้กลยุทธ์การรบของพวกเขามาบ้างเช่นกัน..บอสไม่ต้องกังวลไปเพราะสมาชิกส่วนใหญ่ของจิ้งจอกหิมะเป็นสมาชิกของหน่วยรบพิเศษหมีขั้วโลกที่เกษียณและปลดประจำการ..และผมก็รู้ยุทธวิธีของพวกเขาเป็นอย่างดี..ผมรับปากเลยว่าภารกิจครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น” จางจิวเหว่ยพูดอย่างหนักแน่น
การรู้จักศัตรูนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสู้รบเลยทีเดียวเพราะในความเป็นจริงทุกกองกำลังต่างก็มีวิธีการต่อสู้ที่เป็นของตัวเองซึ่งหน่วยรบพิเศษหมีขั้วโลกและองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะนั้นก็เช่นกัน แน่นอนว่าเขี้ยวหมาป่าเองก็ไม่มีข้อยกเว้น การรู้จักศัตรูนั้นเป็นวิธีการที่จะช่วยในการดำเนินสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามวิธีการและแผนการของแต่ละฝ่ายนั้นก็มักจะไม่คงที่เสมอไปเพราะเมื่อพวกเขาประสบปัญหาพวกเขาก็จะเปลี่ยนยุทธวิธีและแผนการไปและนี่คือกลยุทธ์ในการรบที่แท้จริง
เย่เชียนก็พยักหน้าและตบไหล่ของจางจิวเหว่ยเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมเชื่อว่าคุณสามารถทำได้..และเป้าหมายของเรามีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นและนั่นก็คือการจับเป็นเบอร์นาร์ดสกี้เพราะผมต้องการพบเขาเป็นการส่วนตัว!”
“รับทราบ!” จางจิวเหว่ยตอบและเริ่มสั่งให้สมาชิกเขี้ยวหมาป่าเคลื่อนพลทันที
เนื่องจากเป็นกลางคืนและไม่มีแสงจันทร์หรือแสงดาวเลยจึงทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดมิดเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามสมาชิกทุกคนของเขี้ยวหมาป่าก็ได้สวมแว่นตาไนท์วิชั่นสำหรับมองกลางคืนดังนั้นจึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ส่วนม่อหลงนั้นเขาก็แยกตัวออกไปก่อนและรับหน้าที่เป็นมือสไนเปอร์ซุ่มยิง อาจกล่าวได้โดยไม่ต้องโอ้อวดเลยว่าม่อหลงนั้นเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนอันดับต้นๆ ของโลก เพราะเย่เชียนนั้นได้เห็นพลซุ่มยิงจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกแล้วและพวกเขานั้นไม่มีทางเทียบได้กับม่อหลงเลย ซึ่งม่อหลงนั้นเกิดมาเพื่อเป็นพลซุ่มยิงอย่างแท้จริง
ไม่นานนักก็มีเสียงปืนดังขึ้นซึ่งจางจิวเหว่ยก็ชี้ไปที่ทิศทางของเสียงปืนพลางที่สั่งให้สมาชิกในทีมก้าวไปข้างหน้า เดิมทีเย่เชียนนั้นไม่ได้มีตำแหน่งที่พิเศษอะไรในปฏิบัติการนี้ แต่ภายใต้ฐานะผู้นำของเขานั้นเย่เชียนจึงต้องรับผิดชอบในตำแหน่งที่สำคัญอย่างมากและนั่นก็คือการตรวจตราและเฝ้าระวังด้านหลังเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูโจมตีจากด้านหลังนั่นเอง
อย่างไรก็ตามหากถูกปิดล้อมจากด้านหน้าและด้านหลังล่ะก็มันจะเป็นหายนะอย่างยิ่งเว้นแต่การต่อสู้จะดำเนินไปในระดับที่ดุเดือดจนการปิดล้อมนั่นพังทลายลงเมื่อนั้นพวกเขาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิต อย่างไรก็ตามผู้บัญชาการของปฏิบัติการนี้คือจางจิวเหว่ยดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้มีหน้าในทีมหลัก
นี่เป็นกฎของเขี้ยวหมาป่าเช่นกันเพราะก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการนั้นเย่เชียนหรือคนอื่นๆ ก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยนและเสนอแนะสิ่งต่างๆได้ แต่ทว่าในระหว่างปฏิบัติการนั้นทุกอย่างต้องเป็นไปตามการเตรียมการและแผนของผู้บัญชาการของปฏิบัติการเท่านั้นและเย่เชียนเองก็ไม่มีข้อยกเว้นต่อให้เขาเป็นผู้นำองค์กรก็ตาม ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของระเบียบวินัยในสนามรบแต่ยังเป็นความไว้วางใจกันอีกด้วยและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการเข้าใจว่าเขี้ยวหมาป่านั้นเป็นทีมและครอบครัวไม่ใช่องค์กรของเย่เชียนเพียงคนเดียวนั่นเอง
“ปัง! ” เมื่อม่อหลงถือปืนสไนเปอร์ไรเฟิลและยิงออกไป ซึ่งศัตรูทั้งสองก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วจากนั้นม่อหลงก็มองไปที่คู่หูที่คอยระบุตำแหน่งนั้นและพูดว่า “ระยะทางมันไกลเกินไป..มันเกินระยะหวังผลของปืนสไนเปอร์กระบอกนี้..แต่สไนเปอร์ของฝ่ายตรงข้ามมีระยะไกลกว่าของเรา!”
“มีสไนเปอร์แค่คนเดียว..คนชี้เป้าระบุตำแหน่งไม่มี..เพราะงั้นพวกเราได้เปรียบกว่า!” สมาชิกคู่หูพูด ทหารมืออาชีพอย่างพวกเขาสามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามใช้ปืนชนิดใดโดยการฟังเสียงเพียงเท่านั้น
“คุ้มกันให้ฉันด้วย!” ม่อหลงพูด
หลังจากนั้นพวกเขาก็แสดงสัญญาณมือ 3..2..1.. จากนั้นม่อหลงก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเหนี่ยวไกนั้นสมาชิกคู่หูก็ใช้ปืนสไนเปอร์ไรเฟิลอีกกระบอกขึ้นมาและยิงออกไปเพื่อคุ้มกันและตัดจังหวะของอีกฝ่ายให้ม่อหลง
ฝ่ายตรงข้ามก็ตระหนักถึงเจตนาของม่อหลงอย่างชัดเจนและหลังจากยิงไม่สำเร็จติดต่อกันสองสามนัดเขาก็เริ่มถอยกลับไปด้านข้างอย่างเฉียบขาดทันทีเพราะเขารู้ดีว่าต้องรักษาระยะห่างจากคู่ต่อสู้เพื่อให้ได้เปรียบ ซึ่งในขณะที่ม่อหลงและคู่หูของเขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าใกล้ศัตรูเนื่องจากระยะของปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของม่อหลงนั้นมีระยะหวังผลที่ไม่เพียงพอ
แน่นอนว่าม่อหลงนั้นจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้หลบหนีไปและเขาจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งสมาชิกคู่หูก็ตามมาอย่างกระชั้นชิดและไล่ตามพลซุ่มยิงของจิ้งจอกหิมะไปเป็นระยะๆ
เนื่องจากอีกฝ่ายวิ่งเร็วมากประกอบกับการอยู่ในป่า ซึ่งม่อหลงนั้นไม่สามารถสู้ฝ่ายตรงข้ามในด้านระยะหวังผลได้ ดังนั้นในฐานะพลซุ่มยิงเขาจึงรู้จุดอ่อนของพลสไนเปอร์ดีที่สุดและม่อหลงก็สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของพลซุ่มยิงคนอื่นๆ ได้ดีเช่นกัน
ม่อหลงนั้นรับรู้ถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีและนั่นก็คือการรักษาระยะห่างเอาไว้ เพราะถ้าหากอีกฝ่ายหลุดพ้นระยะสายตาของเขาแล้วล่ะก็มันจะเป็นภัยคุกคามอย่างมากสำหรับเขา ดังนั้นม่อหลงก็จะไม่ยอมให้คนที่อยู่ใต้จมูกของเขาหลบหนีไปได้อย่างเด็ดขาดเขาจึงเร่งฝีเท้าให้ทัน
“ปัง..ปัง..ปัง..ปัง! ” เสียงปืนติดต่อกันสี่ครั้งที่ลำต้นของต้นไม้และเปลือกไม้ก็กระเด็นและกระจัดกระจายทันทีจนม่อหลงถึงกับผงะและรีบพูดว่า “ระวัง! ..เขามีปืนกล”
หลังจากสิ้นเสียงพูดก็มีเสียงกระสุนปืนอีกนัดและจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญจากคู่หูของเขา ซึ่งม่อหลงก็ตกใจและถามอย่างกระวนกระวายว่า “เป็นไงบ้าง..เป็นอะไรมากมั้ย?”
ทุกคำพูดนั้นถูกส่งผ่านวิทยุและม่อหลงเองก็ไม่มีเวลากลับไปดูแลคู่หูคนนั้นในเวลานี้ “ฉันไม่เป็นไร..กระสุนมันเข้าที่เท้า..ทิ้งฉันไว้ที่นี่แหละ..อย่าปล่อยให้เขาคลาดสายตาของเราไป” สมาชิกคู่หูพูด
.
.
.
.
.
.
.