ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 523 ความขุ่นเคืองในครอบครัว
ตอนที่ 523 ความขุ่นเคืองในครอบครัว
หลังจากฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วเย่เหวินก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปเพราะเธอไม่เข้าใจว่าร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่นั้นไม่ดีอย่างดีเพราะนั่นเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตามในเมื่อเย่เชียนพูดอย่างนั้นในก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะโต้แย้งได้และหลังจากงุนงงเล็กน้อยเย่เหวินก็พยักหน้าและพูดเบาๆ ว่า “อืม”
“ตอนเด็กเธอรู้อะไรบ้าง..บอกฉันหน่อยได้ไหม” เย่เชียนพูด
“ได้!” เย่เหวินตอบและพูดว่า “เราเป็นครอบครัวหนึ่งของตระกูลเย่..สมัยก่อนตอนนั้นพ่อของเราเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเย่..ดังนั้นชีวิตครอบครัวของเราจึงดีมากและมีความสุขมากแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อของเราบาดเจ็บสาหัสกลับมาและจากไปในเวลาอันสั้น..หลังจากที่พ่อของเราเสียชีวิตลงตำแหน่งของเราในตระกูลเย่ก็ค่อยๆ จางหายไปและเราก็มักจะถูกคนอื่นดูถูกในตอนนั้นแต่พี่ก็อยู่ตรงหน้าฉันเสมอเพื่อปกป้องฉันและใครก็ตามที่กล้าทุบตีฉันพี่ก็จะสู้กับเขาอย่างแน่วแน่..แต่วันหนึ่งแม่ของเราก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกันและจากนั้นเราก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูลและพี่ก็ดันหายตัวไปในเวลานั้นและโชคไม่ดีที่ตอนนั้นแม่ของเราก็หมดสติไปหลายวันและไม่มีทางออกตามหาพี่เลย..ด้วยความช่วยเหลือของคนรับใช้จึงทำให้แม่และฉันย้ายมาที่นี่ได้และในที่สุดก็ตั้งรกรากที่นี่แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฉันตามหาหมอมานับไม่ถ้วนแต่โรคของแม่ก็ไม่เคยหายขาดสักทีและมันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ..ฉันขอโทษนะพี่ที่ฉันไร้ประโยชน์ที่ฉันดูแลแม่ได้ไม่ดี ”
หลังจากพูดแล้วเย่เหวินก็ไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไปและตกลงไปในอ้อมแขนของเย่เชียนและเริ่มร้องไห้ เพราะเธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ในวัยยี่สิบต้นๆ แต่ต้องแบกรับภาระของครอบครัวก่อนเวลาอันควร ซึ่งผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีชีวิตชีวาและซุกซนแต่กลับต้องเก็บตัวภายใต้ความกดดันของชีวิตและไม่เข้าสังคมกับคนอื่น
พ่อและพี่ชายที่คอยปกป้องเธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอดังนั้นหากเธอถูกคนอื่นรังแกเธอก็ทำได้แค่อดทน แต่เมื่อกลับไปก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วงเธอ เพราะตั้งแต่อันซือตื่นขึ้นมาและพบว่าเย่เชียนหายตัวไปเธอก็รู้สึกกระวนกระวายและเป็นลมไปหลายครั้งและถึงแม้ว่าเย่เหวินจะปลอบใจและดูเหมือนว่าอันซือจะลืมความเจ็บปวดไปแล้ว ก็ตามแต่ในทุกๆ คืนเธอก็แอบร้องไห้โดยถือรูปถ่ายของเย่เชียนตอนยังเด็กและถือรูปถ่ายของเย่เจิ้งหรานและบอกว่าเธอรู้สึกเสียใจและขอโทษเขาและเธอก็ไม่ต้องการให้เย่เหวินกังวลและเธอก็ไม่อยากดูอ่อนแอต่อหน้าลูกสาวเช่นนั้น
เมื่อมองเย่เหวินโน้มเข้ามาในอ้อมแขนของเขาเย่เชียนก็ดูเหมือนจะสูญเสียอาการไปเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็ค่อยๆ วางมือลงบนหลังของเธอและลูบเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..ต่อจากนี้จะมีฉันอยู่ด้วยและจะไม่มีใครสามารถรังแกเธอได้อีก..ฉันได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ร้านอาหารในวันนี้แล้วฉันจะช่วยเธอเอง..ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ชายของเธอฉันจะไม่ทำให้เธอเสียใจและจะไม่ปล่อยให้เธอเลี้ยงดูครอบครัวนี้เพียงลำพังอีกต่อไป”
ยิ่งเย่เชียนพูดเช่นนี้มากเท่าไหร่เย่เหวินก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้นเท่านั้นและเธอก็ไม่เคยร้องไห้อย่างมีความสุขเลยเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าเธอจะร้องไห้แต่มันก็ไม่มีใครรู้สึกเสียใจหรือสงสารเธอเลย แต่ทว่าตอนนี้พี่ชายที่เคยปกป้องเธอในตอนนั้นกลับมาแล้วดังนั้นเธอจึงสามารถร้องไห้ได้โดยไม่ขัดเขินและไม่กลัวที่จะถูกหัวเราะเยาะเพียงแค่ต้องการระบายความคับข้องใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอีกต่อไป
เมื่อเห็นฉากนี้ดวงตาของชิงเฟิงก็มีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพ่อและแม่ของเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป อย่างไรก็ตามการที่เย่เชียนสามารถหาครอบครัวของเขาได้เช่นนี้ก็ทำให้ชิงเฟิงมีความสุขเช่นกันเพราะถึงแม้ว่าพ่อของเย่เชียนจะล่วงลับไปแล้วแต่อย่างน้อยๆ เย่เชียนก็ยังมีแม่และน้องสาวอยู่
เย่เชียนไม่ได้ออกไปในคืนนั้นและยังคงพูดคุยกับอันซือจนถึงสองทุ่มและในที่สุดอันซือก็หลับไป
สิ่งที่เย่เชียนไม่คาดคิดก็คือครอบครัวของเขามีอิทธิพลที่ทรงพลังเช่นนี้และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สืบทอดกันมานานหลายพันปีเหมือนสาวกม่อจื๊อก็ตามแต่มันก็เป็นตระกูลที่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งสำหรับตระกูลเย่นั้นก็เช่นเดียวกันกับสำนักม่อจื๊อเพราะทุกคนในนั้นคือผู้ฝึกตนแต่เย่เชียนก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขาเรียกกันแบบนี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามศิลปะการต่อสู้ที่คนประเภทนี้ฝึกฝนมานั้นเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณของจีนที่แท้จริงและพวกเขาไม่เพียงแค่ออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังฝึกฝนพลังชี่ของตัวเองอีกด้วย ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าพวกเขาคือนักรบที่แท้จริงนั่นเอง
เย่เจิ้งหรานพ่อของเย่เชียนนั้นครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นอัฉริยะของตระกูลเพราะเขาอยู่ในขอบเขตของปรมาจารย์ขั้นหนึ่งในวัยยี่สิบต้นๆ ของเขาและเขาก็หวังว่าจะได้เป็นผู้นำของตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามมันเป็นที่น่าเสียดายที่เย่เจิ้งหลานได้รับบาดเจ็บสาหัสในการประลองกับคนอื่นๆ จากตระกูลอื่นๆ และเขาก็เสียชีวิตไปจากอาการบาดเจ็บในครั้งนั้น
นั่นเป็นความท้าทายที่เขารู้อยู่แล้วเพราะสำหรับตระกูลแล้วเมื่อฝ่ายตรงข้ามเข้ามาท้าทายตระกูลเย่เมื่อไหร่เขาก็จะต้องเอาชนะเท่านั้นและถ้าหากชนะได้หนึ่งร้อยคนล่ะก็เขาจะถูกจัดอยู่ในขอบเขตที่ไม่มีใครสามารถก้าวผ่านได้และในท้ายที่สุดเย่เจิ้งหรานได้ท้าทายภายใต้คำแนะนำของตระกูลและถึงแม้ว่าเขาจะสังหารคู่ต่อสู้ของเขาในระหว่างการต่อสู้ก็ตามแต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน อย่างไรก็ตามหลังจากการตายของเย่เจิ้งหรานนั้นชีวิตของครอบครัวของเย่เชียนก็เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะตระกูลไม่ได้ดูแลพวกเขาเป็นพิเศษเหมือนก่อนเพราะเมื่อนก่อนเย่เจิ้งหลานเป็นเหมือนความหวังของตระกูล ซึ่งหลังจากการตายของเย่เจิ้งหลานนั้นอันซือก็ตั้งความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่เย่เชียนโดยหวังว่าเย่เชียนสามารถสืบทอดสิ่งต่างๆ เหมือนพ่อของเขาได้
แต่อย่างไรก็ตามด้วยตัวอันซือเพียงคนเดียวก็อ่อนแอเกินไปที่จะต่อสู้กับตระกูลเย่ทั้งหมดได้และยิ่งไปกว่านั้นทักษะการต่อสู้และพลังของเธอก็สูญหายไปเช่นกันหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสครั้งนั้น
แม้ว่าศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้จะไม่เหมือนกับที่เขียนในนวนิยายศิลปะการต่อสู้ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหลบหนีจากท้องฟ้าได้ก็ตามแต่มันก็สามารถพัฒนาศักยภาพของบุคคลถึงระดับสูงสุดได้ ซึ่งทักษะในปัจจุบันของเย่เชียนนั้นเขายังไม่สามารถโจมตีหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้แม้แต่ครั้งเดียว
เย่เชียนนั้นใช้พละกำลังในการต่อสู้มาโดยตลอดแต่ในขณะที่ศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นเน้นพลังแฝงฉี ซึ่งความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณจึงได้เพิ่มการฝึกฝนพลังชี่และเปลี่ยนจากคนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกตน
นี่ก็เหมือนกับเทควันโดและมวยยอดนิยมต่างๆ เพราะสิ่งที่ให้ความสำคัญก็คือความแข็งแกร่งและไม่มีงานวิจัยใดๆ เกี่ยวกับพลังชี่เลย ซึ่งขนาดบลูซลีเองก็ยังมีการฝึกฝนชี่ซึ่งอยู่ในหมวดหมู่ของศิลปะการต่อสู้โบราณของจีนในสมัยก่อนเช่นกัน
สำหรับการต่อสู้ในตระกูลแบบนี้เย่เชียนเองก็คุ้นเคยกับเรื่องนี้อยู่แล้วและถึงแม้ว่าหลินโรวโร่วสมาชิกในครอบครัวจะปรองดองกันแต่พวกเขาก็มักจะอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญกับอำนาจและเงิน เช่นเดียวกับตระกูลคูลอฟส์ในประเทศรัสเซียที่ผู้เป็นลุงและหลานชายอย่างคูลอฟส์อังเดรและคูลอฟส์อาสเชฟที่แก่งแย่งชิงดีกันมาโดยตลอด
สิ่งที่เกินความคาดหมายของเย่เชียนก็คือการที่พ่อของเขาก็เป็นวีรบุรุษของตระกูลและตายเพื่อตระกูลเช่นนี้แต่ตระกูลกลับทอดทิ้งพวกเขาซึ่งคนของตระกูลก็ควรจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีไม่ใช่หรือ? หากไม่เป็นเช่นนั้นแม่ของเขาก็จะไม่เจ็บปวดเลยและเขาก็จะไม่ต้องเดินเตร่บนถนน
เย่เชียนต้องการล้างแค้นความเกลียดชังนี้อย่างแน่นอนและแม้แต่อันซือแม่ของเขาเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเย่เชียนรู้ดีว่าด้วยทักษะปัจจุบันของเขานั้นเขาเกรงว่าจะไม่มีทางต่อสู้กับตระกูลที่ยิ่งใหญ่นับพันปีนี้ได้? ดังนั้นตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือคำว่าอดทนและยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้และไม่รู้เลยว่าตระกูลเย่นั้นพวกเขาอยู่ที่ไหน
ความเกลียดชังของเย่เชียนไม่ใช่การฆ่าล้างบางตระกูลเย่ทั้งหมดเพราะเขาแค่ต้องการพิสูจน์ให้ตระกูลเย่เห็นว่าพวกเขาผิดแค่ไหนที่ทำเช่นนี้และปล่อยให้พวกเขาคุกเข่าที่หลุมศพของเย่เจิ้งหรานพ่อของเขาและยอมรับความผิดพลาดของพวกเขา ส่วนตำแหน่งผู้นำของตระกูลเย่นั้นเย่เชียนไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันจะไม่ง่ายเหมือนการพยายามจัดการกับเหล่าองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะ ซึ่งมันจะกลายเป็นเรื่องยากและซับซ้อนเหมือนกับเรื่องต่างๆ ของสำนักม่อจื๊อ
หลังจากมองดูแม่ของเขาหลับไปเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและปรากฏว่าเขารู้สึกดีจริงๆ ที่มีแม่ ดังนั้นเขาจึงทิ้งโน้ตเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงและเย่เชียนก็ปิดประตูเบาๆ แล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินไปที่รถเย่เชียนก็เห็นว่าชิงเฟิงนั้นนอนหลับอยู่ในรถดังนั้นเย่เชียนจึงเปิดประตูรถและเตะเขาซึ่งมันไปกระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของชิงเฟิงเขาก็ลุกขึ้นและพูดอย่างกระวนกระวายว่า “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ”
เย่เชียนก็มองชิงเฟิงด้วยหางตาและพูดว่า “ทำไมนายถึงได้กระวนกระวายแบบนี้..นายกำลังฝันร้ายอะไรอยู่? ”
ชิงเฟิงก็หัวเราะเบาๆ พูดว่า “ผมไม่ได้ฝันร้าย..แต่ผมกำลังฝันว่าผมถูกลงโทษโดยคุกเข่าต่อหน้านากาจิมะชินนะ”
“นายมีเล่ห์เหลี่ยมกับผู้หญิงทุกคนไม่ใช่หรือไง..พวกเธอสูญเสียอาการทุกทีเมื่ออยู่ต่อหน้านาย” เย่เชียนพูด
“ใช่! ..แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันกับความเป็นจริงน่ะสิ..เพราะถ้าเป็นความจริงล่ะก็ผมเองที่จะเป็นฝ่ายลงโทษผู้หญิงคนนั้นให้คุกเข่าต่อหน้าผม” ชิงเฟิงพูดอย่างมีชัย
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เอาล่ะหยุดโม้ได้แล้ว..ไปขับรถซะ”
“จะไปไหน? ..จะกลับโรงแรมเหรอ..บอสไม่อยู่ที่นี่สักคืนหรอเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้บอสก็จะหาโรงพยาบาลเพื่อส่งคุณป้าเข้าตรวจแล้วหนิ” ชิงเฟิงพูด
“กลับไปที่โรงแรมก่อน..ฉันจะไปหาใครสักคน” เย่เชียนพูด
“บอสจะไปหาฮัวซงเจี๋ยสินะ..ได้เลย!” ชิงเฟิงยิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น
“เปล่าไม่ใช่ฮัวซงเจี๋ยแต่เป็นเหล่ยเจียง” เย่เชียนพูด
“เหล่ยเจียง? ” ชิงเฟิงก็แน่นิ่งไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็จำได้ว่าเหล่ยเจียงตบเย่เหวินในภัตตาคารในวันนี้และที่สำคัญเย่เหวินนั้นเป็นน้องสาวของหัวหน้าของเขาซึ่งเธอจะต้องเป็นเจ้าหญิงอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนก็จะไม่ปล่อยเหล่ยเจียงไปโดยธรรมชาติ “ใช่! ..มันกล้าตบน้องสาวของบอสจริงๆ ..ถ้าเราไม่สอนบทเรียนให้เขาสักหน่อยมันก็จะน่าเสียดายเกินไปสำหรับเขา..บอสไม่ต้องกังวลไปผมจะกระทืบมือและเท้าของมันเองเนื่องจากมันกล้าที่จะทำร้ายน้องสาวของบอสของพวกเรา! ” ชิงเฟิงพูดพลางตบหน้าอกของเขาอย่างหนักแน่น
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้เลย..ไปกันเถอะไปหาเหล่ยเจียงก่อนดีกว่า..เพราะถ้าหาไม่เจอแล้วพูดไปมันก็เท่านั้น!”
“ให้เป็นหน้าที่ผมเองบอส..ในการตามล่าหาตัวใครสักคนน่ะผมทำได้ดีที่สุดแล้ว” ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
.
.
.
.
.
.
.