ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 554 การลอบสังหารต่อเนื่อง
ตอนที่ 554 การลอบสังหารต่อเนื่อง
เมื่อเย่เชียนเห็นว่าฮัวซงเจี๋ยโทรมาเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มเพราะดูเหมือนว่าฮัวซงเจี๋ยจะมองว่าตัวเองเป็นพันธมิตรของเขาจริงๆ
“ชิงเฟิงนายพามิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรไปก่อน..ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อนเดี๋ยวตามไป” เย่เชียนพูดจบเขาก็พยักหน้าให้คูลอฟส์อังเดรและออกจากรถพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเขา
หลังจากเชื่อมต่อสายแล้วเย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “คุณฮัวมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า? ”
“คุณเย่! ..ตอนนี้เหล่ยเจียงเริ่มลงมือแล้ว!” น้ำเสียงของฮัวซงเจี๋ยดูกระวนกระวายและโกรธเกรี้ยว ส่วนเย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะเพราะตอนนี้เหล่ยเจียงควรจะยุ่งอยู่กับการระดมทุนแล้วเขาจะไปยั่วยุฮัวซงเจี๋ยได้อย่างไรในเวลานี้?
หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “เกิดอะไรขึ้นครับคุณฮัว..ช่วยอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหม..ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
“ผมเพิ่งได้รับรายงานว่าผู้บริหารของผมจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกฆ่าตายไปทีละคนและนอกจากเหล่ยเจียงแล้วผมก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครกล้าลงมือทำ..เพราะงั้นผมคิดว่าพวกเราก็ควรจะเริ่มลงมือเช่นกันไม่งั้นสิ่งที่รอเราอยู่คือความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ฮัวซงเจี๋ยพูด
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันและเขาก็ไม่สนใจว่าคนของฮัวซงเจี๋ยจะถูกฆ่าตายหรือไม่แต่เขากำลังคิดอยู่แต่ก็คิดไม่ออกว่าใครเป็นคนทำกันแน่เพราะลูกน้องของคูลอฟส์อังเดรยังไปไม่ถึงทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเย่เชียนก็เชื่อว่าพวกเขาคงจะไม่เริ่มเคลื่อนไหวเร็วถึงขนาดนี้ จากนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือเหล่ยเจียงแต่เย่เชียนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหล่ยเจียงจะเริ่มสงครามเช่นนี้หรือว่าเขาหมดหนทางจริงๆ? หรือบางทีองค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่รู้จักได้แทรกแซงเข้ามา?
ทันใดนั้นเย่เชียนก็นึกอะไรออกราวกับมีแสงสว่างพุ่งเข้ามาในจิตใจของเขาซึ่งเฟิงหลานแต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในประเทศเมียนมาร์หรอกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังที่นั่นก็กำลังพัฒนาไปได้ดีเช่นกันดังนั้นเป็นไปได้ไหมที่เฟิงหลานทำสิ่งนี้? ถ้าคุณคิดอย่างรอบคอบมันเป็นไปได้จริงๆ เพราะเฟิงหลานรู้ดีว่าเย่เชียนนั้นต้องการที่จะครอบครองการพนันในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง แต่ทว่าโดยทั่วไปแล้วเฟิงจะรายงานกับตัวเองเมื่อเคลื่อนไหวหรือทำการใหญ่เช่นนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเย่เชียนก็คิดไม่ออกดังนั้นดูเหมือนว่าเขาจะต้องโทรหาเฟิงหลานเพื่อถามเรื่องนี้ในภายหลัง
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนไม่ได้พูดมาสักพักฮัวซงเจี๋ยก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณเย่ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ..มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ”
“อ๋อไม่ได้เป็นอะไรครับผมแค่สงสัยว่าเหล่ยเจียงทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ” เย่เชียนพูด
“คุณเย่ไม่ได้ต้องการปกป้องเหล่ยเจียงใช่ไหม..ผมรู้ว่าเขาไปพบกับคุณ..แต่ผมเชื่อว่าคุณเย่เป็นคนฉลาดและรู้ว่าต้องเลือกอะไร..แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คือเหล่ยเจียงกำลังถูกรัฐบาลจีนจับตามองอยู่และบัญชีธนาคารของเขาถูกอายัดเอาไว้เพราะงั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังเดินหน้าอย่างหมดหนทาง” ฮัวซงเจี๋ยพูดต่อ “คุณเย่ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องแสดงความจริงใจ”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณฮัวคุณก็น่าจะชัดเจนได้แล้วนะเพราะผมบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างคุณกับเหล่ยเจียง..และใครก็ตามที่ชนะหรือแพ้ถึงยังไงมันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม..ธุรกิจส่วนใหญ่ของคุณอยู่ในวงการพนันและนี่คือแง่มุมที่รัฐบาลจีนได้ปราบปรามอย่างรุนแรงแต่ผมกำลังทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่ต้องการมีส่วนร่วม..ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากนี้ผมก็หวังว่าคุณฮัวจะไม่ใช้คำพูดแบบนี้อีกเพื่อสบประมาทผม..บริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมเป็นหนึ่งใน 20 บริษัทชั้นนำของโลกแต่คุณกลับไม่ชั่งน้ำหนักของตัวเองถ้าคุณต้องการเผชิญหน้ากับผม..เพราะงั้นมันเป็นฝ่ายคุณเองที่ต้องแสดงความจริงใจที่จะร่วมมือกับผมและคุณก็ต้องไปจัดการปัญหาเรื่องเหล่ยเจียบงก่อนที่คุณจะมาคุยกับผมเข้าใจไหม? ”
ฮัวซงเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เชียนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงและท่าทีแข็งกร้าวและโกรธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในความคิดของเขานี่คือสาเหตุที่เย่เชียนเห็นว่าเขาถูกเหล่ยเจียงข่มเหงอย่างน่าสังเวชมาโดยตลอดนั่นคือเหตุผลที่เย่เชียนไม่คิดที่จะร่วมมือกับตน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าฮัวซงเจี๋ยจะหยิ่งผยองมากแต่เขาก็ยังรู้อยู่แก่ใจว่าระดับบริษัท 20 อันดับแรกของโลกจะเรียบง่ายเหมือนองค์กรการค้าทั่วไปได้อย่างไรเพราะมันต้องมีกองกำลังและเบื้องหลังสนับสนุนเครือน่านฟ้ากรุ๊ปที่แข็งแกร่งอยู่ นอกจากนี้ทุกคนก็รู้ดีว่าสถานะของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นการเปิดมูลนิธิกองทุนเพื่ออนาคตนั้นไม่เพียงแค่หวังหูจากเครือชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปเท่านั้นแต่ยังมีบริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดอยู่ในเครืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกระดับต่างก็เข้าร่วมและแม้แต่ผู้ว่าเทศบาลเมืองก็มาเข้าร่วมซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นมีกองกำลังที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นฮัวซงเจี๋ยจึงรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สามารถทำอะไรเย่เชียนได้ในขณะนี้ไม่เช่นนั้นมันจะเหมือนกับว่าเขาได้เพิ่มศัตรูไปอีกหนึ่งกองทัพ สำหรับฮัวซงเจี๋ยที่หยิ่งผยองมาโดยตลอดและเห็นเย่เชียนอ่อนแอเสมอมาเขาจึงไม่คิดว่าเย่เชียนจะทำให้เขาตกใจด้วยท่าทีที่เกรี้ยวกราดเช่นนี้และยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนยังตอกกลับเขาอย่างรุนแรงจึงทำให้ฮัวซงเจี๋ยตกตะลึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามถ้าเขาทนไม่ไหวเขาก็แค่ต้องแบกรับมันเอาไว้ในตอนนี้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ฮัวซงเจี๋ยทำได้แค่อดทนเท่านั้น
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฮัวซงเจี๋ยก็ระงับความโกรธในใจของเขาเอาไว้และค่อยๆ พูดว่า “คุณเย่ผมหวังว่าคุณจะทำตามที่คุณพูดนะ..มันเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้ามาแทรกแซง..และถึงแม้ว่าตอนนี้เหล่ยเจียงจะยืนจุดที่เหนือกว่าแต่ผมก็ยังมีความมั่นใจที่จะสามารถกำจัดเขาได้..ถ้าคุณเย่ไม่รักษาสัญญาล่ะก็ผมจะนำศพคุณเย่ไปฝังพร้อมกับเขา”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มเมื่อรู้ว่าฮัวซงเจี๋ยกำลังข่มขู่เขาแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไปจากนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..ผมบอกแล้วว่าถ้าคุณสามารถแก้ปัญหาเหล่ยเจียงได้เราก็ค่อยมาคุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดของความร่วมมือเมื่อถึงเวลานั้น”
ฮัวซงเจี๋ยก็ตอบกลับว่า “ก็ได้..ถ้างั้นผมไม่รบกวนแล้วลาก่อน” หลังจากพูดจบฮัวซงเจี๋ยก็วางสายไป
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มเมื่อต้องรับมือกับคนอย่างฮัวซงเจี๋ย ซึ่งเย่เชียนก็ไม่สามารถไว้หน้าฮัวซงเจี๋ยมากเกินไปไม่เช่นนั้นฮัวซงเจี๋ยจะยิ่งมั่นใจในตัวเอง แต่ทว่ายิ่งฮัวซงเจี๋ยมั่นใจมากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงสนใจในสิ่งที่ฮัวซงเจี๋ยพูดอย่างมากเพราะถ้าหากเหล่ยเจียงหรือเฟิงหลานไม่ได้ทำเรื่องนี้เย่เชียนก็ต้องพิจารณาใหม่ว่ามีองค์กรและกองกำลังฝ่ายอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงหรือไม่ เพราะถ้าหากเย่เชียนไม่ระวังล่ะก็แผนทั้งหมดของเขาจะพังพินาศไปและยังทำให้กองกำลังของคูลอฟส์อังเดรที่กระจายไปทั่วทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเจอกับความเสี่ยงอีกด้วย
หลังจากนั้นเย่เชียนก็กดเบอร์โทรศัพท์ของเฟิงหลานและโทรออกทันที ไม่นานนักเฟิงหลานก็รับสายโดยพูดว่า “ครับบอส!” บอส!”
“อืม” เย่เชียนตอบและพูดว่า “เฟิงหลานผมมีเรื่องอยากจะถามคุณว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีคนจำนวนมากในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกลอบสังหารไป..ผมอยากรู้ว่าคุณมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า? ”
เฟิงหลานก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะแล้วตอบว่า “เรื่องนี้มันกำลังเกิดขึ้นทุกประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลของประเทศต่างๆ ก็จัดว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกวาดล้างและการก่อการร้ายและการปฏิวัติของยมโลกเพราะผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นบุคคลที่รับผิดชอบธุรกิจระดับแนวหน้าในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้..ซึ่งทั้งหมดน่าจะเป็นเหล่าผู้บริหารของฮัวซงเจี๋ยที่บอสพูดถึง..ฉันได้ส่งคนออกไปตรวจสอบอย่างลับๆ แล้วแต่น่าเสียดายที่ไม่มีข่าวอะไรเลย..ส่วนใครเป็นคนทำหรืออยู่เบื้องหลังนั้นมันก็ยังไม่ชัดเจน”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นและพูดว่า “เฟิงหลานพี่ช่วยสืบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดเพราะผมอยากรู้จริงๆ ว่ามันมีองค์กรหรือกองกำลังอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือเข้ามาแทรกแซงหรือไม่..ในกรณีที่เป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็ต้องปรับแผนและกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด! ”
“ฉันส่งคนออกไปสืบแล้ว..แต่คราวนี้สิ่งต่างๆ มันรวดเร็วและเรียบร้อยเกินไป..มันไม่เหมือนองค์กรใต้ดินธรรมดาๆ แต่เหมือนกับนักฆ่ามืออาชีพหรือทหารรับจ้างมากกว่า..แต่บอสไม่ต้องกังวลไปเพราะทางเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสืบค้นข้อมูลและข่าวว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและทันทีที่ฉันมีข่าวฉันจะแจ้งให้บอสทราบทันที!” เฟิงหลานพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบคุณ..ขอฝากเรื่องนี้ด้วย”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปเย่เชียนก็เริ่มไตร่ตรองอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เฟิงหลานพูดนั้นทำให้เย่เชียนตระหนักว่าเหตุการณ์นี้มันไม่เหมือนกับการกวาดล้างโดยกองโจรแต่มันถูกกระทำโดยมือสังหารหรือทหารรับจ้างมืออาชีพ ซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่เชียนก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาโทรหาหลินเฟิงดูเหมือนหลินเฟิงจะบอกว่าสมาชิกทั้งหมดขององค์กรเซเว่นคิลถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งมันเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาออกปฏิบัติการในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เย่เชียนก็ไม่มีอะไรจะพูดเพราะหลินเฟิงไม่ได้ฝ่าฝืนกฎเหล็กเจ็ดประการขององค์กรเซเว่นคิล หลังจากนึกถึงเรื่องนี้เย่เชียนก็ตัดสินใจโทรหาหลินเฟิงเพื่อสอบถาม
หลังจากกดเบอร์โทรศัพท์ของหลินเฟิงแล้วทั้งสองก็แลกเปลี่ยนคำพูดกันอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งหลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเย่อย่าอ้อมค้อม..เรามาคุยกันเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”
“พี่หลินก็รู้จักผมดีหนิ” เย่เชียนยิ้มและพูดตรงๆ ว่า “ผมไม่รู้ว่าพี่หลินรู้เรื่องการลอบสังหารหมู่ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า..คนที่เสียชีวิตทั้งหมดเป็นผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการพนัน”
“ข่าวใหญ่ๆ แบบนี้แน่นอนว่าฉันต้องรู้สิ” หลินเฟิงพูด “น้องเย่ต้องการถามว่าองค์กรเซเว่นคิลของฉันเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ใช่มั้ย? ..ฮ่าๆ ..ฉันจะบอกความจริงกับนายตรงๆ เลยก็แล้วกัน..พวกฉันไม่ได้ทำ..แต่ถ้ามีใครมาว่าจ้างฉันล่ะก็ฉันจะเต็มใจทำอย่างมากเพราะการลอบสังหารคนมากมายขนาดนั้นฉันก็น่าจะได้กำไรมหาศาลเลย”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็พูดว่า “น้องเย่..แต่ฉันน่ะรู้ว่าใครเป็นคนทำ”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปเพราะงูต่างก็มีเส้นทางของงูส่วนมังกรก็มีเส้นทางของมังกร ซึ่งข่าวบางอย่างหลินเฟิงก็สามารถรับรู้ได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าที่เย่เชียนจะสามารถหาได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็รู้สึกตื่นเต้นและรีบถามว่า “ใครเป็นคนทำหรอ”
หลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายนายไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากขนาดนนั้นหรอก..ฉันบอกได้แค่ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นอันตรายต่อพวกนายเพราะงั้นนายก็ไม่ต้องกังวลนายแค่นั่งดูสิ่งต่างๆ ดำเนินไป..ยิ่งไปกว่านั้นในความคิดของฉันน่ะอีกฝ่ายกำลังช่วยนายเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อหลินเฟิงพูดเช่นนี้เย่เชียนก็สับสนมากขึ้นและเขาก็ไม่รู้ว่าหลินเฟิงหมายถึงอะไรกันแน่
.
.
.
.
.
.
.
.