ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 584 ชายชราป่วยหนัก ตอนที่ 2
ตอนที่ 584 ชายชราป่วยหนัก ตอนที่ 2
นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงเฟิงเห็นเย่เชียนเดือดดาลขนาดนี้และดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปจนเขาอดไม่ได้ที่จะนิ่งไปชั่วขณะและไม่กล้าที่จะหัวเราะแต่อย่างใด สักพักชิงเฟิงก็ตอบและวางสายไปซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนทำให้เย่เชียนรู้สึกกระวนกระวายใจที่จะรีบกลับไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ก็ตามแต่นั่นก็หมายความว่ามันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่เช่นนั้นเย่เชียนคงจะไม่เป็นแบบนี้
นั่นเป็นเพราะว่าชิงเฟิงกำลังงุนงงเพราะในปัจจุบันสามารถพูดได้เลยว่าเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นดั่งปราการเหล็กของเขี้ยวหมาป่าแล้วดังนั้นมันจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร? นอกจากนี้ก็ยังมีแจ็คที่คอยดูแลจัดการสิ่งต่างๆ อยู่ที่นั่นด้วยเพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดอีกอย่างชิงเฟิงยังเชื่อในตัวแจ็คอย่างมากเพราะ ณ จุดนี้ ความสามารถของแจ็คในการทำสิ่งต่างๆ นั้นชัดเจนมากในฐานะสมาชิกเขี้ยวหมาป่าแล้วแจ็คมีสติปัญญาที่หาที่เปรียบมิได้และแจ็คก็เป็นคนคอยวางแผนเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างของเขี้ยวหมาป่าอีกด้วย
เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นไม่ได้มีเพียงแค่แจ็คเท่านั้นแต่ยังมีกองกำลังป้องกันตนเองที่มีบริษัทรักษาความปลอยภัยไอร่อนบลัดเป็นฉากหน้าอีกด้วยและที่สำคัญยังมีหวังหูที่เป็นผู้มีอิทธิพลรุ่นใหม่ที่ได้รับการอุปถัมภ์โดยเย่เชียนซึ่งครอบครองกองกำลังฮงเหมินกรุ๊ปและเครือชิงกรุ๊ปแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ ดังนั้นจะมีใครกล้ารุกรานเขี้ยวหมาป่าอีก?
มีข้อสงสัยมากมายในใจแต่เย่เชียนก็ไม่ได้บอกดังนั้นชิงเฟิงจึงไม่คิดที่จะถามและนอกจากนี้ถ้าเขาไปถามคำถามในเวลานี้เขาก็จะถูกเย่เชียนตะคอกใส่ อย่างไรก็ตามชิงเฟิงก็ไม่ได้รีบเพราะเขาจะสามารถเข้าใจทุกอย่างหลังจากที่เขาไปถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ เมื่อคิดเช่นนั้นชิงเฟิงก็ไม่กล้าที่จะลังเลใดๆ และรีบโทรไปจองตั๋วเครื่องบินทันที
หลังจากนั้นไม่นานชิงเฟิงก็โทรไปหาเย่เชียนทันทีและเมื่อเย่เชียนรับสายชิงเฟิงก็พูดว่า “บอสผมจองตั๋วบินเรียบร้อยแล้ว..ไฟลต์ที่จะบินตรงไปยังสนามบินนานาชาติผู่ตงของเมืองเซี่ยงไฮ้ตอนเที่ยงคืนของวันนี้”
“ดี..นายไปรอที่สนามบินก่อนเดี๋ยวฉันจะรีบตามไปจะได้ไม่เสียเวลา” หลังจากนั้นเย่เชียนก็ไม่รอให้ฉิงเฟิงตอบกลับเขาก็วางสายโทรศัพท์ไปทันที
เย่เชียนก็ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือซึ่งในตอนนี้เวลาราวๆ สี่ทุ่มกว่าๆ แล้วและหากเดินทางจากที่นี่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ หนึ่งประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่กล้าลังเลเลยและรีบออกไปในทันที
เมื่อครู่นี้ที่เย่เชียนพูดจาโผงผางนั้นเย่เชียนก็ได้ยินชัดเจนในหูของเธอและตอนนี้เมื่อเห็นเย่เชียนกำลังกระวนกระวายเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวเชียนเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”
เย่เชียนนั้นก็ไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับเธอเขาเพียงแค่เหลือบมองเธอแล้วพูดว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นและผมจะต้องบินกลับไปในคืนนี้..ผมจะกลับมาเมื่อเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว..เสี่ยวเหวินดูแลตัวเองดีๆ นะดูแลแม่ด้วย” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เปิดประตูและเดินออกไปโดยไม่รอให้อันซือตอบ
อันซือและเย่เหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในจุดนั้นและเห็นได้ชัดว่าพวกเธอกำลังสับสนกับทัศนคติของเย่เชียนแต่พวกเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแค่เดินออกไปข้างนอกบ้านและมองดูร่างของเย่เชียนค่อยๆ จากไป
ความคิดของเย่เชียนในตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวายควบคู่ไปกับอาการป่วยขอพ่อที่ทำให้เย่เชียนปั่นป่วนอย่างมาก เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนเหล็กเพราะงั้นเขาเองก็มีจุดอ่อนของตัวเองและการเจ็บป่วยกะทันหันของพ่อก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับได้ เขาบอกว่าเขาต้องการจะกตัญญูและตอบแทนบุญคุณต่อชายชราแต่เขาต้องทำอย่างไร? ซึ่งเขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างพ่อได้ตลอดเวลามาโดยตลอด
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้น้ำตาของเย่เชียนก็ไหลออกมา ซึ่งในชีวิตนี้เย่เชียนเสียน้ำตาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ใครว่าผู้ชายไม่หลั่งน้ำตา? เย่ เชียนนั้นเป็นมนุษย์แล้วเขาจะไม่รู้สึกเศร้าได้อย่างไรเมื่อเห็นคนที่เขารักกำลังป่วยหนัก? ครั้งแรกที่เย่เชียนน้ำตาไหลนั้นก็เมื่อครั้งที่อู๋หวนเฟิงเสียสละแขนที่ของเขาเพื่อขโมยมีดคลื่นโลหิตมาจากพิพิธภัณฑ์อังกฤษมาให้เย่เชียน ส่วนครั้งที่สองคือตอนที่เขากลับมาที่ประเทศจีนหลังจากที่เขาเป็นทหารรับจ้างมาแปดปีในโลกภายนอกและพบพ่อของเขาที่โรงพยาบาลและครั้งที่สามคือตอนนี้ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดทำให้เย่เชียนรู้สึกเศร้ามากขึ้นและน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เย่เชียนก็โบกแท็กซี่และนั่งไปที่สนามบินซึ่งระหว่างทางเย่เชียนยังคงกระตุ้นให้คนขับขับรถเร็วขึ้น ส่วนคนขับที่เห็นความกังวลจากใบหน้าของเย่เชียนกับน้ำตายังไหลอยู่ที่ขอบตาของเย่เชียนนั้นเขาจึงเดาได้ว่ามันต้องมีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ถามอะไรและรีบขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
เมื่อเย่เชียนไปถึงสนามบินก็เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้วส่งชิงเฟิงก็มาถึงสนามบินแล้วและกำลังรออยู่ที่เทอร์มินอลทางเข้าและเมื่อชิงเฟิงเห็นเย่เชียนชิงเฟิงก็รีบทักทายเขาและเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเย่เชียนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้แสงไฟจนชิงเฟิงตกตะลึงและแอบคิดว่า ‘บอสร้องไห้งั้นเหรอมันเกิดอะไรขึ้น?’
อย่างไรก็ตามชิงเฟิงก็ไม่กล้าถามเขาเพียงหยิบตั๋วเครื่องบินมาและยื่นให้เย่เชียนพร้อมกับพูดว่า “บอสตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว”
“อืม!” เย่เชียนพยักหน้าและรับตั๋วเครื่องบินแล้วพูดว่า “ชิงเฟิงก่อนหน้านี้ฉันขอโทษนะที่ขึ้นเสียงกับนาย”
“ไม่เป็นไรครับบอส” ชิงเฟิงพูด “บอสมันเกิดอะไรขึ้นหรอ” ชิงเฟิงหยุดไปชั่วขณะและถาม
เย่เชียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “นายจะถามว่าฉันร้องไห้เพราะอะไรใช่มั้ย? ..ฉันเองก็เป็นมนุษย์นะฉันจะร้องไห้ไม่ได้เลยเหรอ?”
ชิงเฟิงก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นบอส”
“พ่อฉันป่วยหนักฉันเลยรู้สึกไม่ดี” เย่เชียนพูดและยกมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “ดึกแล้วไปกันเถอะ”
ชิงเฟิงก็ถึงกับตกตะลึงและพยักหน้าจากนั้นก็รีบเดินตามไป
เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาของไฟลต์บิน ซึ่งทุกๆ นาทีและทุกวินาทีก็ดูทรมานอย่างมากสำหรับเย่เชียน ในตอนนี้เย่เชียนรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากและมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นเย่เชียนทำแบบนี้ชิงเฟิงก็เปิดปากเพื่อเกลี้ยกล่อมและปลอบใจเย่เชียนแต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเขาก็รีบปิดปากของเขาไปในทันทีเพราะเขารู้นิสัยของเย่เชียนและมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมเขาเลยนั่นก็เพราะว่าเย่เชียนจะไม่มีวันโล่งใจถ้าเขาไม่พบพ่อของเขาก่อน
ชิงเฟิงก็เดินออกไปและโทรหาซ่งหลันโดยบอกให้เธอมารับเย่เชียนที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในคืนนี้ ซึ่งซ่งหลันก็ไม่ได้พูดอะไรมากเพียงแค่บอกให้ชิงเฟิงคอยดูแลเย่เชียนแล้วเธอจะมารับที่สนามบินในวันพรุ่งนี้ จากนั้นชิงเฟิงก็วางสายไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนและชิงเฟิงก็มาถึงสนามบินนานาชาติผู่ตงในเมืองเซี่ยงไฮ้ตรงเวลา ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้ตัวว่าเขาได้มาถึงแล้วราวกับว่าวิญญาณของเขาล่องลอยไปและเขาก็สับสนเล็กน้อยปรากฏว่ามันเป็นสิ่งที่แย่มากสำหรับคนที่เขารักจะจากเขาไป
หลังจากออกจากสนามบินแล้วก็พบว่าซ่งหลันและอู๋หวนเฟิงรออยู่ที่นั่นแล้วแต่เย่เชียนก็ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรด้วยเขาเพียงแค่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดว่า “พี่หลันทำไมพี่ถึงมาที่นี่? ..พ่อของผมอาการเป็นยังไงบ้าง?” ความกังวลบนใบหน้าของเขาเกินคำบรรยายและซีดเหมือนเผือก
“ขึ้นรถก่อนแล้วคุยกัน! ” ซ่งหลันแอบถอนหายใจแล้วพูด
ชิงเฟิงและอู๋หวนเฟิงนั่งหน้ารถส่วนซ่งหลันกับเย่เชียนนั่งเบาะหลัง ในระหว่างทางเย่เชียนก็อดไม่ไหวจนเอ่ยปากถามว่า “พี่หลัน ช่วยบอกผมทีว่าตอนนี้พ่อเป็นยังไงบ้าง?”
“อาการของพ่อแย่ลงอย่างกะทันหันเมื่อคืนนี้..ท่านเข้ารับการผ่าตัดในชั่วข้ามคืนและอาการของเขาก็ดีขึ้นแต่ท่านยังไม่ได้สติและพูดไม่ได้” ซ่งหลันพูด “ฉันถามหมอและหมอก็บอกว่าพ่อมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่เกินหนึ่งเดือน..เย่เชียนอย่าเศร้าไปเลยเพราะพ่อก็ไม่อยากให้ลูกๆ เศร้าเช่นกัน”
เย่เชียนรู้สึกเจ็บใจอย่างกะทันหันเพราะพ่อของเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งเดือน ซึ่งเขาที่มีอำนาจและเงินมากมายแต่แล้วไง? เขากลับไม่สามารถช่วยพ่อเอาไว้ได้? หลังจากคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “อืม..ผมไม่เป็นไร”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้นในปากของเขาแต่ทุกคนก็เห็นการแสดงออกนั้นและตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก อย่างไรก็ตามหากเย่เชียนพูดเช่นนี้ซ่งหลันก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงตบบ่าเย่เชียนเบาๆ เพื่อปลอบโยนเขา
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเย่เชียนก็ยืนอยู่ที่ประตูโรงพยาบาลแต่เขาก็ขยับเท้าไม่ได้และนึกไม่ออกว่าเขาจะต้องเห็นอะไรเมื่อเข้าไปข้างใน เขาเห็นชายชรานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลที่มีท่อต่อตามร่างกายเต็มไปหมดจนมันยากที่จะมองดูท่านแบบนั้น ซึ่งพ่อพยายามลืมตาขึ้นและอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาแต่ท่านไม่สามารถที่จะอ้าปากได้และอาจจะจำเย่เชียนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้เย่เชียนก็รู้สึกกลัวจริงๆ และเขาก็ไม่กล้ายอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว
ซ่งหลัน,อู๋หวนเฟิง,ชิงเฟิงและคนอื่นๆ นั้นสามารถเข้าใจสภาพจิตใจของเย่เชียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรพวกเขาเพียงแค่เดินตามเย่เชียนไปอย่างเงียบๆ
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจัดเสื้อผ้าหน้าผมของเขาและเดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาล ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องเข้มแข็งและเขาต้องไม่ปล่อยให้พ่อเห็นความเศร้าของตนและถ้าเขาอยากจะหัวเราะเขาก็ต้องหัวเราะ แต่อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ เย่เชียนจะหัวเราะได้ที่ไหน
ที่ประตูของห้องคนไข้เย่เชียนได้ยินเสียงหัวเราะของเย่หลินและพ่อและบางครั้งก็ผสมกับเสียงของหลินโรวโร่วและหลี่ห่าว ซึ่งภาพตรงหน้าเขาทำให้เย่เชียนแปลกใจอย่างมากและเขาก็เห็นพ่อของเขานั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและเย่หลินก็ดูร่าเริงมากจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะชะงัก เขาได้ยินว่าพ่อของเขาป่วยหนักไม่ใช่หรือ? มันจะเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมที่หลินโรวโร่วโกหกเขา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้และพบว่าเป็นไปไม่ได้เพราะหลินโรวโร่วไม่มีทางโกหกเรื่องพ่อของเขาเป็นแน่ ซึ่งคำอธิบายเดียวก็คืออาการของพ่อของดีขึ้นนั่นเอง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้อารมณ์ของเย่เชียนก็ดีขึ้นอย่างมากและรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัวที่มุมปากของเขา จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องและพูดว่า “พ่อ!” แล้วเดินตรงไปที่เตียงขอพ่อ
“คุณพ่อกลับมาแล้วหรอคะ..หลินหลินเพิ่งจะบอกคุณปู่ไปเองว่าเมื่อท่านอาการดีขึ้นคุณปู่จะต้องพาหลินหลินไปเมืองดิสนีย์” เย่หลินตัวน้อยพูดอย่างมีความสุข อาการของชายชรานั้นรุนแรงมากในช่วงสองสามวันนี้และส่วนใหญ่เมื่อเขาอยู่ในอาการโคม่าเย่หลินก็หลั่งน้ำตาทุกครั้งเสมอเพราะตั้งแต่เย่เชียนรับเลี้ยงเธอมาพ่อของเขาก็คอยดูแลเธอมาตลอดและความสัมพันธ์ระหว่างปู่กับหลานนั้นก็ดีอย่างมาก
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “นุ๋อยากไปเที่ยวดิสนีย์หรอ” เย่เชียนพูดและเกาจมูกของเย่หลินแล้วหันกลับมาจับมือพ่อแล้วพูดว่า “พ่อครับ..พ่อดีขึ้นแล้วหรอ”
.
.
.
.
.
.
.