ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 610 พี่สะใภ้
ตอนที่ 610 พี่สะใภ้
เย่เชียนนั้นรักหลินโรวโร่วมากและไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เย่เชียนเห็นหลินโรวโร่วเขาก็รู้สึกประทับในตัวเธอและภายในวันต่อมาจุดอ่อนของหลินโรวโร่วก็ถูกเปิดเผยต่อเย่เชียนทีละน้อยอย่างนุ่มนวล อาจกล่าวได้ว่าในใจของหลินโรวโร่วนั้นเย่เชียนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญอย่างมากและเป็นตำแหน่งที่คนอื่นไม่สามารถแทนที่ได้
เย่เชียนนั้นรักผู้หญิงทุกคนและไม่ใช่ว่าเขาเจ้าชู้หรืออะไรแต่เขารักพวกเธอจากใจจริง ซึ่งถือได้ว่าเป็นความรักที่ดีที่สุดและบริสุทธิ์อย่างมากเพราะผู้หญิงทุกคนมีข้อดีที่แตกต่างกันไปและพวกเธอก็ให้อะไรกับเย่เชียนมากมาย ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะทำให้พวกเธอผิดหวังจริงๆ
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเย่เชียนก็พูดว่า “ผมขอโทษนะโรวโร่ว..ผมอาจจะกลับไปไม่ได้ในเร็วๆนี้เพราะผมยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ..ผมขอเวลาอีกห้าปี..ภายในเวลาห้าปีนี้ผมจะทำทุกอย่างให้เสร็จจากนั้นผมก็จะวางมือและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับพวกคุณทุกคน”
“จริงหรอ?” หลินโรวโร่วพูด “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณห้ามทิ้งฉันไปไหนอีกในอนาคตและคุณห้ามหายไปอย่างเงียบๆอีกนะ..ฉันกลัวจริงๆ..กลัวว่าคุณจะจากไปและไม่กลับมาอีกเลย”
“พี่โรวโร่วเลิกคุยกับเขาได้แล้วเขามันงี่เง่า..ยิ่งคุณแคร์เขามากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่ใส่ใจพี่เท่านั้น..เขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของผู้หญิงมันเป็นยังไง” จ้าวหยาพูดด้วยความเสียใจอยู่ข้างๆ ซึ่งเธออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปกับหลินโรวโร่วจริงๆเพราะพี่สาวคนนี้ใจอ่อนง่ายเกินไป
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ยินสิ่งที่จ้าวหยาพูดอย่างชัดเจนก็ตามแต่จ้าวหยานั้นไม่ได้ยินในสิ่งที่เย่เชียนพูดเลย “ไม่มีทาง..โรวโร่วตราบใดที่เย่เชียนคนนี้ยังไม่ตายผมก็จะไม่มีวันทิ้งคุณไปอย่างแน่นอน” เย่เชียนพูด
“เย่เชียนอย่าพูดแบบนี้สิ..คุณห้ามตายนะ” หลินโรวโร่วพูด
“ก็ได้ๆ..ไม่พูดแล้วๆ” เย่เชียนพูด
“หยาเอ๋อมีเรื่องที่จะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ!” หลินโรวโร่วส่งโทรศัพท์ให้จ้าวหยาหลังจากที่เธอพูดจบ ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะหันหน้าหนีไปอย่างดื้อรั้นแล้วพูดว่า “หึ..ฉันไม่คุยกับเขาหรอก..พวกพี่ๆก็อย่าไปทำให้เขานิสัยเสียสิ”
เย่เชียนได้ยินคำพูดเหล่านี้อย่างชัดเจนแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเพราะอารมณ์และนิสัยของจ้าวหยานั้นเย่เชียนเองก็รู้ดีว่าเธอค่อนข้างแกร่งและเธอจะไม่แสดงความคิดของเธอออกมาอย่างอ่อนโยนเหมือนหลินโรวโร่ว ซึ่งถึงแม้ว่าการแสดงออกของจ้าวหยาอาจจะดูแข็งกร้าวก็ตามแต่ลึกๆแล้วเธออ่อนโยนอย่างมาก “เอาล่ะ..เมื่อฉันจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วฉันจะรีบกลับไปหาเธอนะ” เย่เชียนพูด ซึ่งหลังจากพูดจบเย่เชียนก็วางสายไป
เมื่อได้ยินเสียงตัดสายจากโทรศัพท์จ้าวหยาก็แน่นิ่งไปครู่หนึ่งและรู้สึกสูญเสียอาการไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของเธอแต่เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องพูดยังไงดีเกี่ยวกับความรักและความห่วงใยที่เธอมีให้เขา ซึ่งบุคลิกของเธอเป็นแบบนี้และไม่เหมือนกับหลินโรวโร่วที่อ่อนโยนและฉินหยูที่เอาใจใส่ ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอกลัวว่าหลินโรวโร่วและฉินหยูจะหึงแต่เธอรู้สึกว่ามันดูน่าอายเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง
วิธีการพูดของจ้าวหยานั้นแตกต่างไปจากหลินโรวโร่วโดยสิ้นเชิงเพราะถ้าเป็นหลินโรวโร่วเมื่อเธอโกรธเย่เชียนก็ต้องการเกลี้ยกล่อมเธอ แต่ถ้าหากเป็นจ้าวหยาเย่เชียนก็ต้องทำในสิ่งที่เธอพอใจแต่สิ่งนี้กลับทำให้ความโกรธของจ้าวหยาแย่ลงไปอีกเพราะความรู้สึกของจ้าวหยาที่มีต่อเย่เชียนนั้นรุนแรงและลึกซึ้งมากกว่าหลินโรวโร่ว
ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จที่ดูแลได้ทั้งพวกพ้องและครอบครัว!ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เชียนนั้นบรรลุในสิ่งนี้ เพราะเย่เชียนไม่เคยจงใจทำอะไรเพื่อส่วนตัวเลยแต่เขาทำเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอดและทุกอย่างก็เป็นไปตามโชคชะตาแต่สิ่งนี้กลับมีผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
เมื่อวางสายโทรศัพท์ไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและเก็บโทรศัพท์มือถือไป เพราะเขาคิดว่าเขาควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเตรียมตัว ไม่เช่นนั้นมันคงจะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่นานกว่าหนึ่งปีหรอกหรือ?เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและโบกแท็กซี่เพื่อไปที่ท่าเรือ
แจ็คกำลังจัดเตรียมบุคลากรมาที่ประเทศญี่ปุ่นส่วนหลินเฟิงก็กลับไปเตรียมการด้วย ซึ่งตอนนี้เย่เชียนก็ไม่จำเป็นต้องรีบและคิดว่าภายในสองสามวันนี้เขาจะทำอะไรดี?ยิ่งไปกว่านั้นในสงครามครั้งใหญ่นี้กุญแจที่จะนำไปสู่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้นั้นก็อยู่ที่ว่าใครมีความพร้อมมากกว่ากัน ซึ่งการที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ามาเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อจัดการกับสมาคมมังกรดำขนาดใหญ่และไม่มีแม้แต่ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เช่นนี้นั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะส่งคนมากี่คนถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถได้เปรียบอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากเย่เชียนต้องการชนะเย่เชียนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไม่เช่นนั้นมันก็เหมือนกับการฆ่าตัวตายอย่างโง่เขลา
สามวันต่อมามีความโกลาหลเกิดขึ้นในสถานบันเทิงหลายแห่งในเมืองโอซาก้าและมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากและความสูญเสียทางเศรษฐกิจก็มหาศาล ซึ่งสถานบันเทิงเหล่านี้ถูกควบคุมโดยแก๊งยามากุจิส่วนใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้นั้นแม้แต่แก๊งยามากุจิรวมไปถึงกรมตำรวจส่วนกลางต่างก็ไม่รู้เรื่องและแม้แต่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติญี่ปุ่นก็ยังระบุว่าเหตุการณ์นี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายอย่างยิ่งโดยรายงานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฝีมือขององค์กรก่อการร้าย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เย่เชียนทำเพราะเขาไปที่ท่าเรือในวันนั้นเพื่อหาซื้อระเบิดจากพ่อค้าอาวุธเถื่อน อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นก็อยู่ในเมืองโอซาก้ามานานกว่าหนึ่งปีแล้วดังนั้นเขาก็ควรจะทิ้งของที่ระลึกเอาไว้สักหน่อย อย่างไรก็ตามมันก็ถือได้ว่าเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับแก๊งยามากุจิจริงๆ
ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็บินตรงจากสนามบินโอซาก้าไปยังเมืองโตเกียว สำหรับรถคลาสสิกนั้นเย่เชียนก็รับรถคืนมาจากพนักงานต้อนรับของโรงแรมแล้ว จากนั้นเย่เชียนจึงติดต่อผู้บริหารของบริษัทจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขาสหรัฐอเมริกาให้เขาส่งรถกลับไปที่ประเทศจีน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามรถคลาสสิกคันนั้นก็มีมูลค่าหลายล้านหยวนและถึงแม้ว่าเงินจำนวนเหล่านั้นที่เขาได้รับจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะเพียงพอแต่เย่เชียนก็ไม่เต็มใจที่จะทิ้งสิ่งดีๆเช่นนี้ไปอย่างไร้ประโยชน์ ซึ่งรถคลาสสิกคันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถซื้อได้ถ้ามีเงินเพราะเย่เชียนยังคงสงสัยว่าเขาจะดูเท่แค่ไหนเมื่อเขาแก่และขับรถคลาสสิกไปรอบๆในอนาคต คนระดับเย่เชียนนั้นรถ BMW,Mercedes-Benz หรือแม้แต่ Lamborghini และรถคันอื่นก็ไม่มีสิ่งล่อใจใดๆสำหรับเขาเลยเพราะสิ่งที่เขาต้องการเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พิเศษอย่างยิ่ง
เมื่อเย่เชียนจัดการกับแก๊งยามากุจินั้นเย่เชียนก็ไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆเลยและถึงแม้ว่าเขาจะฆ่าทุกคนในแก๊งยามากุจิถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่รู้สึกละอายใจใดๆเพราะสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางจริยธรรม เพราะเลือดต้องชำระด้วยเลือดและไม่มีคำว่าศีลธรรมใดๆ
เมื่อเดินออกจากสนามบินนานาชาติโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น เขาก็เห็นม่อหลงกับเซี่ยจือยี่ยืนรออยู่ที่นั่นแล้ว ม่อหลงนั้นยืนอยู่ข้างหน้าและใบหน้าของเขาก็ดูสงบและเขาไม่ได้ดูหงุดหงิดเพราะรอมาเป็นเวลานานเลย ส่วนเซี่ยจือยี่ก็ยืนอยู่อย่างเงียบๆข้างๆม่อหลงเหมือนภรรยาที่แสนดี ซึ่งดวงตาของเธอไม่เคยห่างจากร่างของม่อหลงเลยและดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
เมื่อเห็นฉากนี้เย่เชียนก็ฉีกยิ้มเพราะครั้งล่าสุดที่พวกเขามาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นเซี่ยจือยี่ก็สนใจในตัวของม่อหลงอย่างมากและคิดหาวิธีที่จะเข้าใกล้เขาอยู่เสมอ ซึ่งต่อมาม่อหลงก็ยืนยันที่จะกลับไปยังประเทศจีนพร้อมกับเย่เชียนแต่เย่เชียนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะหวังว่าม่อหลงกับเซี่ยจือยี่จะมีความสุขด้วยกันได้ก็ตามแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็รู้นิสัยของม่อหลงดีเนื่องจากม่อหลงต้องการจะกลับไปเช่นนี้เย่เชียนก็ไม่อยากที่จะคัดค้านเขาและต่อให้ม่อหลงจะฟังคำพูดของเย่เชียนจนอยู่ต่อก็ตามแต่มันก็อาจจะทำให้เซี่ยจือยี่เสียความรู้สึกและออกห่างม่อหลงไป ซึ่งม่อหลงนั้นแตกต่างไปจากชิงเฟิงที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ดังนั้นความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การสิ้นสุดของความสัมพันธ์ก็เป็นได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชิงเฟิงจึงกระตือรือร้นที่จะหนีกลับประเทศจีนจากไต้หวันและจุดประสงค์นั้นก็คือเพื่อหลีกเลี่ยงนากาจิมะชินนะเพราะเขาไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเธอทุกวันและละเลยความรู้สึกดีๆแบบเดิมๆเพราะเขารีบร้อนจนเกินไป ต่างจากม่อหลงที่ถึงจะดูนิ่งๆแต่ก็เป็นดั่งหยดน้ำที่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาได้เป็นอย่างดี
เมื่อเห็นเย่เชียนม่อหลงก็รีบทักทายเขาและพูดว่า “สวัสดีบอส!”
การแสดงออกของที่หุนหันพลันแล่นของม่อหลงนั้นทำให้เย่เชียนงงงวยไปชั่วขณะและไม่นานเย่เชียนก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าม่อหลงนั้นไม่สามารถทนต่อการรุกที่รุนแรงของเซี่ยจือยี่ได้ดังนั้นเขาจึงมองหาบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงใช่ไหม?ดังนั้นการแสดงออกถึงความโล่งใจเมื่อเห็นเย่เชียนนั้นก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของม่อหลง เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อ้าวคุณเซี่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรอ..ขอบคุณมากครับ..ผมคงต้องรบกวนคุณเซี่ยอีกแล้ว..อ้อลืมไปผมควรจะเรียกคุณว่าพี่สะใภ้สินะเพราะม่อหลงเป็นพี่ชายของผม..ดังนั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สะใภ้คุณจะรังเกียจไหมครับ?”
เมื่อรู้ว่าเย่เชียนจงใจล้อเลียนตัวเองม่อหลงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและสีหน้าของเขาก็ดูเคอะเขินเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะในเวลานี้สิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำคือการเงียบเอาไว้ หากต่อต้านมันก็จะเป็นการปฏิเสธเซี่ยจือยี่และมันคงไม่ดีอย่างมากแต่ถ้าเขาสนับสนุนนั่นก็แสดงว่าเขายอมรับเซี่ยจือยี่แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงม่อหลงนั้นก็ความประทับใจที่ดีต่อเซี่ยจือยี่แต่ความประทับใจที่ดีดังกล่าวมันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ม่อหลงยอมรับความรู้สึกของเซี่ยจือยี่ที่มีต่อเขาได้ในทันที
“แน่นอนค่ะฉันไม่รังเกียจ..ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกคุณเย่ว่าน้องเขยก็แล้วกัน” เซี่ยจือยี่พูดอย่างไพเราะและไม่มีการเสแสร้งใดๆ ซึ่งคนที่กล้าที่จะรักอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เย่เชียนชอบคนประเภทนี้มากเพราะฉะนั้นถ้าหากเซี่ยจือยี่สามารถอยู่ครองคู่กับม่อหลงได้จริงๆมันก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากและคนสองคนก็เข้ากันได้ดีจริงๆ บวกกับการที่เซี่ยจือยี่เติบโตขึ้นมาในแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงที่ยิ่งใหญ่และต่อมาเธอก็ช่วยพ่อของเธอดูแลแก๊งอีกด้วย ดังนั้นทักษะความเป็นผู้นำของเธอก็ค่อนข้างแข็งแกร่งและถ้าหากเธออยู่เคียงข้างม่อหลงเธอก็จะสามารถช่วยม่อหลงดูแลสิ่งต่างๆได้อย่างแน่นอน เนื่องจากม่อหลงเป็นผู้สืบทอดสำนักม่อจื้อเขาจึงต้องการผู้หญิงที่มีคุณธรรมเพื่อช่วยเขาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลังผู้ชายถึงประสบความสำเร็จ
.
.
.
.
.
.
.