ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 642 มองเห็นทางสว่าง
ตอนที่ 642 มองเห็นทางสว่าง
คืนนั้นซ่งหลันนั้นต้องการให้เย่เชียนอยู่ต่อแต่เย่เชียนยังคงหาข้ออ้างที่จะไปเพราะแน่นอนว่าเขาเข้าใจความคิดของซ่งหลันเป็นอย่างดีแต่ตอนนี้มีมันเรื่องน่ารำคาญมากมายเหลือเกินที่ต้องได้รับการจัดการเพราะท้ายที่สุดมันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในใจของเย่เชียนที่ยังไม่ได้รับการแยกแยะและจัดการอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปและจัดการความคิดของเขาโดยเร็วที่สุด
หลังจากพูดคุยกันอย่างรอบคอบถึงแผนการพัฒนาของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในประเทศญี่ปุ่นกับซ่งหลันแล้วเย่เชียนก็จากไป ซึ่งก่อนออกเดินทางเย่เชียนขอให้ซ่งหลันจัดการประชุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด ซึ่งอันที่จริงมันก็เหมือนกันในทุกๆประเทศเพราะถ้าหากองค์กรต้องการพัฒนาให้ดีนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นจะทำให้สิ่งต่างๆราบรื่นและแน่นอนว่าในทุกๆด้านต้องได้รับการจัดการทีละส่วนอย่างละเอียด
ค่ำคืนที่มืดมิดได้ปกคลุมทั่วทั้งเมืองแล้วและแสงไฟนีออนบนถนนก็ส่องประกายหลากสี ซึ่งเย่เชียนก็ปิดหน้าต่างรถอย่างแน่นหนาและขับไปอย่างช้าๆซึ่งระหว่างทางกลับโรงแรมเย่เชียนก็มองออกไปรอบๆเป็นครั้งคราว อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างนั้นพร้อมแล้วและมีเพียงการรอคอยผู้คนจากทวีปแอฟริกาใต้เท่านั้นเพราะตราบใดที่เหล่าทหารรับจ้างนีโอมิลิทารี่มาถึงประเทศญี่ปุ่นลาะก็พวกเขาก็สามารถเริ่มปฏิบัติการทำลายล้างองค์กรทหารรับจ้างเรดซันได้ทันที
ส่วนแก๊งยามากุจินั้นยังคงต้องดูในระยะยาวไปก่อนและใช้เวลาสักหน่อยในการสืบค้นข้อมูลความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งหลังจากรอการมาถึงของแก๊งฉ่างหลี่,หวังหูและมาเฟียคูลอฟส์รวมกันหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการแล้วพวกเขาก็ต้องรอให้บุคลากรทั้งหมดมาถึงประเทศญี่ปุ่นก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาและไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืนเลย แต่ทว่าเย่เชียนนั้นเตรียมตัวมานานแล้วและเขาก็ไม่สนใจที่จะรออีกต่อไปเพราะตราบใดที่สามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างราบรื่นแล้วทำไมเขาจะต้องรอด้วยล่ะ? นอกจากนี้ยังคงต้องรอองค์กรเซเว่นคิลและหน่วยข่าวกรองเขี้ยวหมาป่าเพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมมังกรดำก่อนอีกด้วย
หลังจากคลำหากล่องบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อเป็นเวลานานแต่สุดท้ายเย่เชียนก็พบเพียงกล่องเปล่าเขาจึงโยนออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกที่หดหู่อย่างมากและเมื่อเขาเห็นคำเชิญวีไอพีจากคาเอดะแล้วเย่เชียนก็ผงะไปเล็กน้อยแล้วรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของซ่งหลัน
“พี่หลันเมื่อกี้ผมลืมบอกบางอย่างกับพี่” เย่เชียนพูด
“ว่าไง..พูดมาสิ” ซ่งหลันนั้นกำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างแล้วหลับตาตอบอย่างเกียจคร้าน
เมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลจากอีกด้านหนึ่งเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและถามว่า “พี่หลันกำลังอาบน้ำอยู่หรอ”
“ใช่!..อย่านอกเรื่องพูดมาเร็วๆ” ซ่งหลันพูด
เย่เชียนก็ขดริมฝีปากแล้วพูดว่า “เครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเรามีธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนตร์และสื่อบันเทิงใช่ไหม..ว่าแต่เรามีช่างแต่งหน้าระดับแนวหน้าของโลกบ้างหรือเปล่า?”
“อยากได้ช่างแต่งหน้าไปทำอะไร..นายไม่เคยแต่งหน้าแล้วทำไมจู่ๆถึงได้พูดเรื่องนี้ล่ะ” ซ่งหลันถามอย่างสงสัย
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หืม..มันคงจะสนุกน่าดูเลยถ้ามีคนทำให้ผมเหมือนคนอื่นจนคนทำไม่ได้..พี่ก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้กองกำลังมากมายในประเทศญี่ปุ่นกำลังจับตามองผมอยู่..เพราะงั้นจึงไม่สะดวกที่จะทำอะไรด้วยตัวตนที่แท้จริงของผม..ผมจึงอยากปลอมตัว”
“แบบนี้นี่เอง..ฉันเข้าใจแล้ว” ซ่งหลันพูดต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะโทรไปหาช่างแต่งหน้าให้..ฉันขอตัวอาบน้ำก่อนนะ”
เย่เชียนก็ชะงักไปครู่หนึ่งและกำลังจะอ้าปากเพื่อพยายามจะพูดบางอย่างที่คลุมเครือแต่เขาก็ต้องกลืนมันเข้าไป “อืม..พี่ไปอาบน้ำต่อเถอะ..ผมเกือบจะถึงโรงแรมแล้ว” เย่เชียนพูดจบแล้ววางสายไป
ทันทีที่วางสายไปเย่เชียนก็เหลือบมองออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและเห็นร่างที่คุ้นเคยซึ่งเขาเป็นสมาชิกของหน่วยมังกรซ่อนเขี้ยวของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของจีนที่เย่เชียนพบเมื่ออยู่ในเมืองโอซากะ ซึ่งหลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ค่อยๆขับรถตามไปอย่างช้าๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาคนนี้รู้สึกประหม่าอย่างมากและมองไปรอบๆเป็นครั้งคราว
‘เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อรวบรวมข้อมูลหรอกใช่มั้ย?’ เย่เชียนคิดอย่างลับๆ อันที่จริงในฐานะบุคลากรของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจีนนั้นแล้วคนเหล่านี้ไม่เพียงแค่ทำหน้าที่ปกป้องความลับของชาติเท่านั้นแต่ต้องป้องกันไม่ให้สายลับต่างชาติเข้ามาเพื่อรวบรวมข่าวกรองอีกด้วยและพวกเขาก็ยังส่งสายลับออกไปไปทั่วโลกเพื่อทำหน้าที่รวบรวมข่าวกรองจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งถึงแม้ว่าเบื้องหน้าของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่และพวกเขาทำได้ดีมากในการเป็นสายลับ
ทันใดนั้นจู่ๆก็มีคนชุดดำสองสามคนก็โผล่ออกมาจากมุมมืดและทั้งหมดก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและเหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่เผยให้เห็นเหมือนกับชุดนินจาในภาพยนตร์ ซึ่งเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างลับๆว่า ‘คนพวกนี้อาจเป็นนินจาของตระกูลฮัตโตริไม่ก็ตระกูลดันโซ?”
ในขณะนี้ก็มีนินจาประมาณ 7-8 คนโผล่ตามออกมาและพวกเขาก็โบกอาวุธไปที่สมาชิกหน่วยมังกรเขี้ยวของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจีน ซึ่งเห็นได้ชัดว่านินจาเหล่านี้เก่งในเรื่องศิลปะการใช้อาวุธแบบผสมผสานและทำการปิดล้อมชายหนุ่มคนนั้นได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ไกลจากตรงนั้นเย่เชียนก็หยุดรถเพื่อมองดูสถานการณ์ ซึ่งนินจาเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นนินจาจากตระกูลฮัตโตริที่ซ่งหลันบอกเพราะซ่งหลันพูดเอาไว้ว่านินจาฮัตโตรินั้นเก่งในเรื่องการโจมตีแบบทีม อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันได้เพราะกาลเวลาเปลี่ยนมันก็อาจจะทำให้สิ่งต่างๆเปลี่ยนไปได้เช่นกันและยิ่งไปกว่านั้นในประเทศญี่ปุ่นต่างก็มีศิลปะการต่อสู้มากมายหลายแขนง อีกอย่างใครจะไปรู้ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไปทำให้ใครขุ่นเคืองบ้าง
นินจาเหล่านี้ก็โจมตีกันเป็นกลุ่มทีละสองสามคนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยที่จะรับมือ ซึ่งนี่คือประเทศญี่ปุ่นและเขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ของเขาอันตรายแค่ไหนและเขาก็ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้เลย ในตอนนี้นั้นเขาต้องการจะหนีโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามในการเผชิญหน้ากับนินจาจำนวนมากเหล่านี้เขาก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามในฐานะสมาชิกของหน่วยมังกรซ่อนเขี้ยวของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติแล้วแน่นอนว่าประสิทธิภาพและความสามารถในการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นไม่ได้อ่อนแอเพราะเมื่อเผชิญหน้ากับการปิดล้อมของนินจาชุดดำเหล่านั้นเขาก็ไม่แม้แต่จะยอมแพ้ ตามคำกล่าวที่ว่าศัตรูที่มากกว่านั้นยากที่จะต่อกรหรือเอาชนะและยิ่งใช้เวลาต่อสู้นานเท่าใดเขาก็จะยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้นและไม่ต้องพูดถึงเลยว่านินจาเหล่านี้จะต้องมีกำลังเสริมอีก ซึ่งในแง่ของจำนวนนั้นเขาไม่สามารถที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ได้
เย่เชียนมองดูอย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็เปิดประตูรถแล้วเดินลงไป ซึ่งไม่ว่าในกรณีใดชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นลูกน้องของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนซึ่งเป็นสมาชิกของสำนักความมั่นคงแห่งชาติของจีนและเขาก็ไม่สามารถตายและถูกทางการของประเทศญี่ปุ่นพบร่างโดยเด็ดขาด
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ชักมีดคลื่นโลหิตหมาป่าออกมาจากซองมีดที่เอวของเขาและมุมปากของเย่เชียนก็ค่อยๆฉีกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะตัดสินใจช่วยชายหนุ่มคนนี้แต่เขาก็ไม่พอใจสักเท่าไหร่เพราะชายหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองกับเขาเมื่อตอนที่เขาอยู่ในเมืองโอซากะ
ในตอนนี้เย่เชียนก็ควงมีดคลื่นโลหิตหมาป่าแล้วพุ่งเข้าไปราวกับลูกศรจากธนู ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนนินจาชุดดำไม่ได้ตอบสนองเลยเพราะพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบสนองได้ทัน นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากฝึกตนและขัดเกลาฝีมือมามากกว่าหนึ่งปีนั้นศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปมากควบคู่ไปกับทักษะการต่อสู้ที่สั่งสมมานานที่ใช้ในการต่อสู้จริงๆมาเสมอนั้นเขาจึงผสมผสานหลายๆอย่างจนมันสามารถปลิดชีพศัตรูได้ภายในเสี้ยววินาที
มีคลื่นโลหิตนั้นเหมือนกับกงจักรที่ตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่และตัดคอของนินจาชุดดำอย่างน่าสยดสยอง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดรวดเร็วและแม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งฉันต้องบอกว่าปฏิกิริยาการตอบสนองของนินจาเหล่านี้ก็น่าทึ่งเช่นกันเพราะพวกเขาเป็นนินจาที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานเพราะนินจาคนที่เหลือนั้นก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและปล่อยให้นินจาอีกสามคนล้อมชายหนุ่มต่อไปส่วนที่เหลือมาปิดล้อมเย่เชียนแทนจนเย่เชียนตกอยู่ในตำแหน่งตรงกลางวงล้อมของนินจา
เมื่อเห็นการสนับสนุนเช่นนี้แล้วความมั่นใจของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นอย่างมากและเย่เชียนก็ทำให้ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ลดลงจนทำให้ความกดดันของชายหนุ่มลดลง ซึ่งถึงแม้ว่านินจาเหล่านี้จะยังคงมีเจตนาฆ่าที่รุนแรงก็ตามแต่พวกเขาก็ตายไปถึงสามคนแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ความแข็งแกร่ลดลงอย่างมากและทำให้ชายหนุ่มสามารถพลิกสถานการณ์ได้
ถึงแม้ว่าค่ำคืนนี้จะพร่ามัวแต่มันก็มีแสงของดวงจันทร์ลางๆจนทำให้ชายหนุ่มสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเย่เชียนกำลังมาเพื่อช่วยเขาและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงมาปรากฏตัวที่นี่และมาช่วยเขาก็ตามแต่ในเวลานี้มันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดมากเพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับนินจาเหล่านี้เสียก่อน
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเช่นพวกเขาจะต้องเผชิญกับอันตรายดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพวกเขาไปยังประเทศอื่นๆเพื่อปฏิบัติภารกิจหรือสืบค้นข้อมูล ซึ่งไม่รู้เลยว่ามันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขามากี่ครั้งแล้ว อย่างไรก็ตามบุคลากรด้านข่าวกรองที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดนั้นจะไม่สนใจชีวิตของตนเองนักว่าจะอยู่หรือตายเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการส่งข่าวกรองกลับไปยังหน่วยงาน ซึ่งเกียรติยศของประเทศนั้นเหนือกว่าสิ่งอื่นใดและนี่คือคำปฏิญาณตนของพวกเขา ทว่าหากพวกเขาไม่มีความคิดแบบนี้พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติได้และพวกเขาจะไม่สามารถสังกัดหน่วยมังกรซ่อนเขี้ยวได้เลย
“คุณไปทำอะไรให้คนพวกนี้ขุ่นเคืองกันเนี่ย..คนพวกนี้เป็นใครกัน?” เย่เชียนเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มในขณะที่เขากำลังเผชิญหน้ากับนินจา
“ยังจะถามอีกเหรอ?..พวกนี้ทั้งหมดเป็นนินจา!” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“บ้าจริง..ผมมาเพื่อช่วยคุณแต่คุณกลับพูดจาแบบนี้น่ะเหรอ?” เย่เชียนพูดอย่างหดหู่
“ผมนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว..อีกอย่างผมไม่ได้ขอให้คุณมาช่วยสักหน่อย..ถ้าไม่พอใจก็ออกไปซะ” ชายหนุ่มพูด อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับความเมตตาของเย่เชียนแต่เขาไม่เคยรู้จักคำว่าขอบคุณในปากของเขากับบุคคลภายนอกองค์กร
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างหดหู่เพราะชายหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองเกินไป “เดี๋ยวก่อน!..คุณพูดเองนะ” เย่เชียนพูด “พวกแกไปจัดการกับเขาเถอะ..ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งแล้ว..เมื่อกี้นี้ฉันขอโทษที..เชิญจัดการตามที่พวกแกต้องการได้เลย!” เย่เชียนพูดกับนินจาชุดดำทั้งสามคนที่กำลังต่อสู้กับเขาอยู่
อย่างไรก็ตามนินจาชุดดำทั้งสามคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เย่เชียนพูดดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้หยุดการโจมตีเพราะคำพูดของเย่เชียน
.
.
.
.
.
.
.