ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 680 สงครามกลางท่าเรือ ตอนที่ 2
ตอนที่ 680 สงครามกลางท่าเรือ ตอนที่ 2
ลัทธิม่อจื๊อนั้นดำรงอยู่ในประเทศจีนมานับพันปีแล้วซึ่งประสบกับภัยพิบัติมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังไม่พินาศและสูญสิ้น เห็นได้ชัดว่าลัทธิและสำนักม่อจื๊อนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าตระกูลนินจาในประเทศญี่ปุ่นเหล่านี้และทักษะศิลปะการต่อสู้โบราณที่พวกเขาฝึกฝนก็ย่อมมีพลังและความแข็งแกร่งมากกว่าเหล่าตระกูลนินจาเช่นกัน
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลานั้นทำให้ศิลปะการต่อสู้โบราณจำนวนมากได้สูญหายไปและนี่คือความจริงที่เถียงไม่ได้ ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของลัทธิม่อจื๊อแล้วม่อหลงก็ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและได้รับการสอนอย่างเคร่งครัดโดยหวงฟู่ชิงเตี๋ยน ดังนั้นแน่นอนว่าทักษะของม่อหลงย่อมไม่ธรรมดาเพราะถึงแม้ว่าลัทธิม่อจื๊อจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสาวกหลายคนก็ได้ถอนตัวออกจากสำนักไปแล้วก็ตามแต่ตำราและคำสอนต่างๆมันก็ไม่ได้จางหายไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นการตัดสินระหว่างสองยอดฝีมือนั้นระดับของศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดที่กำหนดชัยชนะเพราะจิตวิญญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของม่อหลงและความอุตสาหะที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปีในอาชีพทหารรับจ้างนั้นคนทั่วไปไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย แต่ถ้าหากเป็นเย่เชียนแล้วม่อหลงก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เพราะเย่เชียนนั้นเป็นคนที่มีความอดทนมากที่สุดเท่าที่ม่อหลงเคยรู้จักมา
ถึงแม้ว่าม่อหลงจะไม่เก่งเท่าเย่เชียนแต่ม่อหลงก็สามารถเข้าสู่ระดับผู้แสวงหาของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณในเวลาน้อยกว่าสองปีและทักษะของเขาก็ไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามในแง่ของความรวดเร็วนั้นม่อหลงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโย่วซวนที่ฝึกวิชานินจามาตั้งแต่เด็กและเป็นเพียงว่าโย่วซวนนั้นผ่อนคลายมากเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยทำหน้าที่เป็นสายลับของสมาคมมังกรดำที่แฝงตัวเข้าไปในแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงดังนั้นแน่นอนว่ามันทำให้เวลาในการฝึกฝนของวิชานินจาของโย่วซวนน้อยลงไปกว่าเดิมมาก
ทักษะการต่อสู้นั้นหากไม่ฝึกซ้อมบ่อยๆมันก็จะไม่ก้าวหน้าและถดถอยไปเรื่อยๆดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบความได้เปรียบของทั้งสองแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ม่อหลงจะได้เปรียบกว่า
ซึ่งมีคำสั่งที่เข้มงวดจากเย่เชียนว่าหากไม่จำเป็นหรือไม่มีสถานการณ์ที่คับขันก็จับเป็นโย่วซวนและม่อหลงก็เข้าใจความหมายของเย่เชียนเป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดโย่วซวนก็เป็นสมาชิกของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงดังนั้นในฐานะคนนอกแล้วเขี้ยวหมาป่าก็ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามมากจนเกินไปและควรจะปล่อยให้เซี่ยตงไป่ตัดสินใจในสิ่งต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเย่เชียนก็คาดหวังที่จะได้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสมาคมมังกรดำจากปากของโย่วซวนโดยตรง
เมื่อกริชดาวตกตัดผ่านทะลุเสื้อผ้าของโย่วซวนและเฉือนเข้าไปในผิวหนังของโย่วซวนแล้วมันก็เปล่งแสงหลากสีออกมาอย่างบ้าคลั่งจนโย่วซวนตกตะลึงเพราะเขารู้สึกชัดเจนว่าเมื่อมีดเล่มที่ม่อหลงถือสัมผัสกับร่างกายของเขามันก็เกิดความหนาวเย็นและเลือดในร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกมีดเล่มนั้นดูดออกไป ซึ่งความประหลาดใจนี้ทำให้ความตั้งใจและสมาธิในการต่อสู้ของโย่วซวนหายไปอย่างมากจนเขาก็รีบถอยหลังออกไปหลายก้าว อย่างไรก็ตามบาดแผลที่ถูกกริชดาวตกเฉือนไปนั้นก็ยังคงมีเลือดไหลอยู่และดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวี่แววว่าจะหยุดยั้งเลย
ม่อหลงก็แสยะยิ้มและการโจมตีก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนคลื่นลูกใหญ่จนโย่วซวนเริ่มกดดันอย่างยิ่งเพราะในขณะนี้เหล่านินจาจากตระกูลดันโซก็ถูกกำจัดโดยสมาชิกหน่วยกรงเล็บหมาป่าทั้งหมดแล้ว ซึ่งนี่คือควาดกดดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของโย่วซวนตอนนี้
“ตาแก่!..คนของคุณตายหมดแล้วเพราะงั้นก็ยอมแพ้ซะ” ชิงเฟิงตะโกน “นี่คุณรู้ไหมว่ากริชที่ม่อหลงใช้น่ะมันจะทำบาดแผลที่ถูกมันฟันหรือเฉือนเข้าไปมีเลือดไหลออกไม่หยุด..ซึ่งถ้าคุณยังไม่หยุดและยังฝืนสู้ต่อไปล่ะก็เลือดคุณคงจะไหลออกจนหมดตัว”
หัวใจของโย่วซวนก็สั่นสะท้านและรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถสู้ได้อีกต่อไปแล้วและเขาก็เริ่มเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบาดแผลที่หน้าอกของเขาก็ยังคงมีเลือดไหลออกมาและหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็คิดว่าเลือดของเขาคงจะหมดตัวและต้องตายอย่างแน่นอน
“ยอมแพ้เถอะ..บอสสั่งเอาไว้ว่าห้ามฆ่าคุณ!” หลังจากหยุดไปชั่วขณะขิงเฟิงก็พูดต่อ สงครามจิตวิทยานั้นก็เป็นสงครามประเภทหนึ่งเช่นกันและมักมีผลอัศจรรย์ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางและผลลัพธ์ของสงครามได้ ถึงแม้ว่าม่อหลงจะได้เปรียบอยู่ก็ตามแต่มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำให้โย่วซวนนั้นยอมจำนนโดยไม่ฆ่าเขานั่นเอง
โย่วซวนก็เริ่มรู้สึกกดดันจนจิตวิญญาณในการต่อสู้ก็ค่อยๆเริ่มจางหายไปและเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะต่อสู้อีกต่อไป ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ชิงเฟิงพูดนั้นจริงหรือไม่ที่กริชในมือม่อหลงสามารถสําแดงฤทธิ์เช่นนั้นได้แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเขาก็ต้องจำใจเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในทันใดนั้นร่างกายของเขาก็พุ่งออกไปและเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อโย่วซวนเห็นว่ามันคงสายเกินไปที่จะหลบเขาก็หลับตาและรอความตายแล้วเลิกที่จะดิ้นรน ซึ่งชิงเฟิงที่มองจากด้านข้างก็ตกใจเพราะเย่เชียนได้สั่งเอาไว้แล้วว่าห้ามฆ่าโย่วซวนและต้องจับเป็นเท่านั้น อย่างไรก็ตามม่อหลงก็ได้พลิกข้อมือและใช้ด้ามของกริชกระแทกหน้าอกของโย่วซวนจนโย่วซวนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
โดยไม่จำเป็นต้องให้ชิงเฟิงหรือม่อหลงพูดเพราะเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เหล่าสมาชิกหน่วยกรงเล็บหมาป่าก็ได้พุ่งตามเข้าไปจับตัวโย่วซวนเอาไว้ ซึ่งเมื่อรู้ตัวอีกทีโย่วซวนก็ฉายแววตาที่เศร้าโศกและสับสนอยู่ครู่หนึ่งเพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันเกิดความคาดหมายของเขาอย่างยิ่งและโย่วซวนก็ไม่รู้เลยว่าเย่เชียนนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นสายลับที่สมาคมมังกรดำส่งเข้ามาแฝงตัวในแก๊งเจ้าพ่อฝูชิง
ม่อหลงก็หันหน้าไปมองชิงเฟิงแล้วพูดว่า “ฉันจะจัดการเรื่องโย่วซวนเองส่วนนายพาทุกคนกลับไปก่อนแล้วเตรียมตัวถูกฉันตำหนิได้เลย”
ชิงเฟิงก็เบะปากแล้วพูดว่า “ถ้าบอสต้องการตำหนิผมล่ะก็ผมจะน้อมรับมัน”
ม่อหลงก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพาโย่วซวนไปที่รถของเขาและเมื่อเขามาถึงรถเซี่ยจือยี่ก็ถามด้วยความเป็นห่วง “ม่อหลงคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ผมไม่เป็นไร” ม่อหลงตอบและเขาก็หันหน้าไปมองหยานฮั่นแล้วพูดว่า “คุณหยานครับตอนนี้เรื่องนี้ก็จบลงแล้วเพราะงั้นคุณก็สามารถกลับประเทศจีนได้อย่างปลอดภัย..ทางเราได้จัดเตรียมเรือเอาไว้ให้คุณที่ท่าเรืออีกแห่งหนึ่งและเราจะส่งคุณออกจากประเทศญี่ปุ่นในคืนนี้เลย”
“ผมฝากขอบคุณเย่เชียนด้วย..แต่ผมจะรายงานสิ่งต่างๆในคืนนี้ให้หัวหน้าฟังและผมจะตอบแทนเขาหากผมมีโอกาสในอนาคต” หยานฮั่นนพูดอย่างจริงใจ
“แล้วแต่คุณ” ม่อหลงพูดอย่างแผ่วเบา “บอสตัดสินใจช่วยคุณก็จริงแต่เขาไม่เคยคิดที่จะขอให้คุณขอบคุณเขาหรอก..แต่ผมขอฝากบอกหวงฟู่ชิงเตี๋ยนด้วยว่าถ้าผมเสร็จธุระที่นี่แล้วผมจะรีบกลับไปหาเขา..ส่วนท่าเรือที่เราจัดเตรียมเอาไว้ให้คุณก็น่าจะรู้แล้วเพราะงั้นโชคดีนะครับ”
หลังจากพูดจบม่อหลงก็พาโย่วซวนเข้าไปในรถแล้วเข้าตามไปด้วย ส่วนเซี่ยจือยี่ก็รับหน้าที่ในการขับรถเพราะถึงแม้ว่าโย่วซวนจะถูกจับเอาไว้แล้วแต่เขาก็ต้องถูกควบคุมตัวอย่างระมัดระวังด้วยเพราะมันเป็นไปได้ที่เขาจะต่อต้าน ดังนั้นม่อหลงจึงต้องจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดและแน่นอนว่าเซี่ยจือยี่นั้นไม่คิดที่จะคัดค้านใดๆเพราะเธอก็ไม่ต้องการให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงทั้งหมดก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้วและเธอก็หวังว่าม่อหลงจะสามารถจับโย่วซวนได้อย่างปลอดภัยและนำเขาไปลงโทษ
บาดแผลของโย่วซวนก็ยังคงมีเลือดไหลอย่างต่อเนื่องดังนั้นม่อหลงจึงชำเลืองมองแล้วพูดว่า “อย่าขยับผมจะช่วยห้ามเลือดให้คุณ” หลังจากนั้นม่อหลงก็เอาไฟแช็กออกมาและจุดไฟแช็กเผาปลายกริชจากนั้นก็วางลงบนบาดแผลของโย่วซวน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ฟู่ว’ เหมือนเสียงของเตาย่างบาร์บีคิว ส่วนโย่วซวนก็ยิ้มอย่างขมขื่นด้วยความเจ็บปวดและไม่กรีดร้องออกมา
สำหรับสาเหตุที่กริชดาวตกสามารถทำให้บาดแผลของใครบางคนเลือดออกไม่หยุดนั้นม่อหลงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากกริชดาวตกเป็นของบรรพบุรุษของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเขาก็มักจะเล่นกับมันและให้เลือดมันดื่มอยู่เป็นประจำดังนั้นเขาจึงรู้วิธีใช้กริชดาวตกเพื่อรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี
“ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องจะถามอีกมากเพราะงั้นก็รอบอสมาก่อนค่อยถามเขาเองก็แล้วกัน” ม่อหลังหันหน้าไปมองโย่วซวนแล้วพูดต่อ “ผมขอแนะนำว่าอย่าคิดที่จะต่อต้าน..เพราะถึงแม้ว่าคุณจะหนีไปได้แต่พวกสมาคมมังกรดำจะไม่ปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน..ส่วนตอนนี้บอสคงจะทำลายองค์กรทหารรับจ้างเรดซันได้เรียบร้อยแล้ว”
โย่วซวนก็ถอนหายใจโดยไม่พูดอะไรใดๆเพราะเขามีคำถามมากมายที่จะถามแต่เนื่องจากม่อหลงได้พูดเช่นนี้แล้วเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ ซึ่งเขามีความตั้งใจที่จะหลบหนีแต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสนั้นเลยและยิ่งกว่านั้นอย่างที่ม่อหลงพูดว่าถึงเขาจะหลบหนีไปได้แต่สมาคมมังกรดำก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไปเพราะเขาเป็นคนให้ข่าวเท็จและทำให้องค์กรทหารรับจ้างเรดซันต้องถูกโจมตี ดังนั้นแน่นอนว่าสมาคมมังกรดำจะไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
*******************************************************************
เย่เชียนที่เพิ่งจะเอาชนะชิบะโชโกะได้เขาก็เห็นร่างที่กระโดดลงมาจากดาดฟ้าแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “พี่เทียนเฉินมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” นี่ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเขาคือหนึ่งในสมาชิกเขี้ยวหมาป่าที่เดินทางมาจากประเทศเมียนมาร์เพื่อรับมือกับเหล่านินจาโดยเฉพาะซึ่งเขาก็คือหมาป่าเขี้ยวพิษหลินเทียนเฉิน
“ไม่นานหลังจากที่ฉันมาถึงญี่ปุ่นฉันก็ได้ยินชิงเฟิงพูดว่าบอสอยู่ที่นี่เพราะงั้นฉันก็เลยรีบมา” หลินเทียนเฉินพูดต่อ “ว่าแต่บอสชอบหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นหลิวเทียนเฉินถามแล้วเดินเข้ามาหาเย่เชียนก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและหลังจากมึนงงเล็กน้อยเย่เชียนก็ถามว่า “หืม..มีอะไรงั้นเหรอ?”
หลิวเทียนเฉินก็พยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่..บอสอย่าตกใจนะ” ทันทีที่เสียงพูดจบลงหลิวเทียนเฉินก็วางมือเอาไว้บนไหล่ของเย่เชียนและหลังจากนั้นแมงมุมสีดำก็คลานออกมาแล้วคลานไปที่มือของหลิวเทียนเฉินมันน่ากลัวมาก ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่รู้เลยว่าหลินเทียนเฉินนั้นใส่แมงมุมเอาไว้ในร่างกายของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาคิดว่าอาจเป็นก่อนที่เขาจะเข้ามายังศูนย์บัญชาการ
เมื่อเห็นหลิวเทียนเฉินนำแมงมุมออกจากร่างกายของเขาเย่เชียนก็ตกใจมากแล้วตะโกนว่า “เฮ้ย!” แล้วกระโดดออกไปพร้อมกับพูดว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย?” แต่เย่เชียนก็รู้ดีว่ามันน่าจะเป็นเพราะแมงมุมตัวนี้ที่ทำให้เหล่าสัตว์พิษของชิบะโชโกะหนีไป
.
.
.
.
.
.
.