ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 697 การเผชิญหน้ากัน
ตอนที่ 697 การเผชิญหน้ากัน
“ใช่แล้วพี่หลัน..ผู้อาวุโสฟูมะเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงไม่เหมือนผมเพราะงั้นพี่วางใจได้เลย” เย่เชียนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นแค่คนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักอะไรที่เกี่ยวกับที่นี่..แต่อย่างน้อยๆเราก็ไม่หน้าซื่อใจคด”
ฟูมะฮายาคุจิก็ถอนหายใจเบาๆและไม่รู้ว่าเขากำลังปฏิเสธคำพูดของเย่เชียนหรือยอมรับ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็ไม่สำคัญเพราะทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่คำพูด แต่สำหรับคาเอดะแล้วยิ่งเย่เชียนพูดประชดประชันหรือเย้ยหยันฟูมะฮายาคุจิมากเท่าไหร่คาเอดะก็จะมีความสุขมากเท่านั้นและฟูมะฮายาคุจิก็จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่เพื่อกีดกันเย่เชียน
เดิมทีฟูมะฮายาคุจินั้นก็ไม่ได้คิดที่จะผูกมิตรกับเย่เชียนเพราะในความเห็นของเขาถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าก็ตามแต่ในสายตาของตระกูลฟูมะแล้วเขี้ยวหมาป่าก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่หยิ่งผยองและไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงละคร ดังนั้นการที่ซ่งหลันติดตามเย่เชียนเช่นนี้ก็เหมือนกับดอกไม้ที่ติดอยู่ในมูลขี้วัวจริงๆ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าในกรณีใดฟูมะคาเอดะก็เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักนินจาอิงะและเขาก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีถึงสองสาขาตั้งแต่อายุยังน้อยและดูแลฟูมะกรุ๊ปตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้เขายังเป็นทายาทของตระกูลฟูมะในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นมันคงจะเสื่อมเสียเกียรติอย่างมากหากคาเอดะพ่ายแพ้เรื่องนี้ให้กับเย่เชียน
ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดฟูมะฮายาคุจิจะไม่พูดอะไรใดๆแต่คาเอดะก็สังเกตเห็นได้ว่าปู่ของเขาไม่สบอารมณ์จริงๆและเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้คาเอดะก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและดูเหมือนว่าวันนี้สิ่งต่างๆจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างยิ่ง
ในการเผชิญหน้าครั้งแรกเย่เชียนได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ยังไม่จบและใครจะเป็นผู้ชนะหรือใครจะเป็นผู้แพ้ก็ยังไม่สามารถรู้ได้
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงกันแล้วจานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟทีละจาน ซึ่งเชฟส่วนตัวของคาเอดะนั้นมีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาหารทั้งหมดมีสีสันและรสชาติที่อร่อยอย่างมากจนซ่งหลันที่เคยได้ลิ้มลองอาหารที่เขาปรุงเธอก็รู้สึกโปรดปรานขึ้นมาในทันทีโดยเฉพาะซาซิมิซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในประเทศญี่ปุ่น
“คุณซ่งลองซาซิมิดูสิ..จานนี้เตรียมมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ..ลองดูว่ารสชาติจะต่างไปจากครั้งที่แล้วหรือเปล่า” คาเอดะพูด
“ค่ะ!” ซ่งหลันพยักหน้าและตอบ ขณะที่เธอกำลังจะยกตะเกียบจู่ๆคาเอดะก็คีบซาซิมิชิ้นหนึ่งแล้วใส่ลงในจานตรงหน้าซ่งหลันแล้วพูดว่า” ลองชิมดูสิคุณหลัน” ดูเหมือนว่าคาเอดะคงจะภาคภูมิใจและมั่นใจมากเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่ของเขาเพราะเขาเรียกซ่งหลันเปลี่ยนไปจากเดินโดยสิ้นเชิง ซึ่งเดิมทีเขามักจะเรียกซ่งหลันว่าคุณซ่งแต่ตอนนี้เขาเรียกเธอด้วยชื่อของเธอโดยตรง และการแสดงออกของเขาก็ดูคลุมเครืออย่างมากราวกับว่าเย่เชียนไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
ซ่งหลันก็สะดวกที่จะปฏิเสธโดยตรงไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการทำลายบรรยากาศโดยรอบและถึงแม้ว่าซ่งหลันจะไม่ค่อยชอบคาเอดะมากนักแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเกลียดชังเพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปยังมีบางสิ่งที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนของฟูมะกรุ๊ปอยู่นั่นเอง
แน่นอนว่าซ่งหลันนั้นเข้าใจความหมายของคาเอดะได้อย่างชัดเจนเพราะซ่งหลันเคยเป็นนักฆ่าอันดับต้นๆขององค์กรดาร์คลิลลี่และยังช่วยเย่เชียนบริหารจัดการเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมาหลายปี ดังนั้นเธอจึงจัดอยู่ในคนประเภทที่มีประสบการณ์ชีวิตสูงและสิ่งนี้ก็ทำให้เธอมีความสามารถในการสังเกตสิ่งต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นในการพบปะกับตระกูลฟูมะในครั้งก่อนซ่งหลันก็สามารถเห็นได้ว่าฟูมะฮายาคุจิสนใจในตัวเธอและฟูมะฮายาคุจิก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนคาเอดะกับเธอ แน่นอนว่านี่เป็นเพราะความสามารถของเธอและที่สำคัญกว่านั้นเธอเป็นผู้บริหารจัดการเครือน่านฟ้ากรุ๊ปซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำ 20 อันดับแรกของโลก ดังนั้นตราบใดที่ตระกูลฟูมะสามารถตรึงซ่งหลันเอาไว้ได้สิ่งต่างๆก็จะมีประสิทธิภาพมากสำหรับการพัฒนาตระกูลฟูมธในอนาคตและยังสามารถต่อสู้กับองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย นอกจากนี้คาเอดะก็ยังเป็นหลานชายสุดที่รักของฟูมะฮายาคุจิเพราะฉะนั้นฟูมะฮายาคุจิจะทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนคาเอดะ
ดังนั้นเรื่องของธุรกิจภายใต้เงื่อนไขของผลประโยชน์ร่วมกันนั้นมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมากเพราะภายใต้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์การร่วมมือก็อาจจะล่มสลายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งซ่งหลันนั้นก็ยังสนใจอิทธิพลของฟูมะกรุ๊ปในประเทศญี่ปุ่นอีกมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าอันดับของฟูมะกรุ๊ปจะอยู่เพียง 200 บริษัทชั้นนำของโลกแต่ก็ถือกำเนิดและเติบโตในประเทศญี่ปุ่นมานานและสนับสนุนโดยตระกูลและสำนักนินจาอิงะ ดังนั้นแน่นอนว่าความแข็งแกร่งและอิทธิพลของตระกูลฟูมะจึงก็ไม่ควรมองข้าม
“กินอาหารดิบมันไม่ดีเดี๋ยวจะป่วยเอา..เรามากินอันนี้กันเถอะ” เย่เชียนพูดขณะที่เขาคีบกุ้งเทมปุระลงในชามของซงหลัน แล้วคีบซาซิมิกลับไปที่จานอาหาร “คุณควรจะใส่ใจกับอาหารการกินหน่อยสิ..เดี๋ยวมันจะส่งผลกระทบต่อลูกๆของเราในอนาคตนะ..ซาซิมิพวกนี้มีแบคทีเรียจำนวนมากและการกินมากเกินไปมันจะทำร้ายร่างกายและสุขภาพ” จากนั้นเขาก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อาหารญี่ปุ่นก็ดีแต่ก็ยังดีไม่เท่าอาหารจีนของเราที่มีหลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ”
เมื่อเห็นการกระทำของเย่เชียนเช่นนี้ซ่งหลันก็แอบยิ้มในใจและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข อย่างไรก็ตามไม่ว่าเหตุผลของเย่เชียนจะเป็นอย่างไรแต่การที่เย่เชียนทำเช่นนี้นั่นก็หมายความว่าเขาหึงและหวงซ่งหลัน ดังนั้นซ่งหลันก็มีความสุขโดยธรรมชาติและยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าซ่งหลันจะชอบกินซาซิมิแต่การกินก็เหมือนกับการได้รับของขวัญและมันสำคัญที่ว่าเธอได้กินกับใครนั่นเอง ซึ่งเธอจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเธอได้กินกับคนที่เธอรัก ซึ่งก่อนหน้านี้เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะปฏิเสธคาเอดะได้อย่างไรและตอนนี้เย่เชียนก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอและมันคงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
แน่นอนว่าคาเอดะย่อมรู้สึกเสียหน้าโดยธรรมชาติและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันและมุมปากของเขากระตุกสองสามครั้งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งคาเอดะเป็นคนหยิ่งผยองและเจ้าเล่ห์ลึกๆดังนั้นเขาก็รู้ดีว่าถ้าหากเขาต้องการจะกำจัดเย่เชียนเขาก็ไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ดังนั้นเขาต้องกระตุ้นความโกรธของปู่ของเขาที่มีต่อเย่เชียนและเมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าพลังของเขี้ยวหมาป่าจะมากเพียงใดแต่ถ้าหากเป็นในประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้แล้วที่เป็นเหมือนสนามหลังบ้านของเขา ดังนั้นองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าจะไม่สามารถต้านทานสำนักนินจาอิงะได้เลย
“นายเย่อคติกับอาหารญี่ปุ่นมาก..อาหารของทุกประเทศต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง..ยกตัวอย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารดิบเพื่อให้รสชาติของอาหารสามารถคงรสชาติเดิมที่เป็นธรรมชาติได้อย่างถ่องแท้จนผู้ทานจะได้เพลิดเพลินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน..แต่ถึงแม้ว่าอาหารจีนจะลดเรื่องปริมาณแบคทีเรียได้มากแต่มันก็ลดรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบไปและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารด้วย” ฟูมะฮายาคุจิพูด “คุณเย่คิดว่าผมพูดถูกไหมครับ?”
การแสร้งทำเป็นใบ้และเฉยเมยนั้นเป็นจุดเด่นของเย่เชียน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและมีข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้และไม่ใช่ว่าเย่เชียนต่อต้านอาหารญี่ปุ่นเพราะพูดตามตรงอาหารของทุกๆประเทศต่างก็มีลักษณะและจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง แต่สิ่งที่กำลังพูดถึงไม่ใช่ปัญหาของอาหารแต่เป็นปัญหาของความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างชาติพันธุ์ ดังนั้นเย่เชียนจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสฟูมจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร..แต่คนหยาบๆอย่างผมจะไปรู้อะไร..สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรผมก็ไม่เข้าใจเลย..เพราะงั้นผมก็แค่อยากกินของที่ชอบก็เท่านั้นเองแต่ผู้อาวุโสฟูมะไม่ต้องกังวลไปเราไม่ได้อคติกับประเทศญี่ปุ่นเพราะพวกเราเกิดมาท่ามกลางความแตกต่างของวัฒนธรรมและสังคมเพราะงั้นคนเราก็แค่ชอบอะไรที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง”
ฟูมะฮายาคุจิก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “เอาล่ะ..ที่ผมเชิญคุณเย่มาร่วมทานอาหารด้วยผมก็หวังว่าจะได้คุยกับคุณเย่เกี่ยวกับความร่วมมือในอนาคตระหว่างฟูมะกรุ๊ปและเครือน่านฟ้ากรุ๊ป..แต่คุณเย่กลับพูดเรื่องไร้สาระซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยถ้อยคำที่เย้ยหยัน..นี่คือวิธีการพบปะผู้คนของคุณเย่อย่างงั้นหรือ?”
“เอ่อ..ผู้อาวุโสฟูมะอย่างเพิ่งเข้าใจผิดครับ..อย่าไปคิดอย่างนั้น” เย่เชียนพูดต่อ “เมื่อเช้านี้ตอนที่คุณคาเอดะบอกว่าผู้อาวุโสต้องการพบกับผมเป็นการส่วนตัวผมก็ยินดีที่จะร่วมมือกัน..อย่าไปใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลยเพราะบางทีอาจมีความผิดพลาดระหว่างคำพูดเพราะพวกเราต่างวัฒนธรรมกัน..ถ้าคุณคิดแบบนั้นเย่เชียนคนนี้ก็ยินดีที่จะขอโทษตรงนี้..เชิญตำหนิผมสำหรับปากพล่อยๆ..ผมหวังว่าผู้อาวุโสฟูมะจะไม่ขุ่นเคืองกับเด็กที่ไร้มารยาทอย่างผม”
ถึงแม้ว่าจะฟังดูเหมือนเป็นการขอโทษแต่น้ำเสียงและการแสดงออกของเย่เชียนไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นเลย ตั้งแต่ที่เย่เชียนพบฮัตโตริชิฮิโระด้านนอกสนามการแข่งขันและได้ยินคำบอกใบ้ของเขาแล้วเย่เชียนก็รู้สึกว่าฟูมะฮายาคุจิไม่ได้มีเจตนาที่ดีดังนั้นเย่เชียนจึงจงใจกระตุ้นฟูมะฮายาคุจิด้วยคำพูดและจุดประสงค์คือการลองดูว่าชายชราคนนี้ต้องการจะใช้กลอุบายแบบไหนนั่นเอง
นอกจากนี้ทางด้านของชิงเฟิงเองก็น่าจะนำสมาชิกของหน่วยกรงเล็บหมาป่ามาที่นี่แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะเข้ามาไม่ได้แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเย่เชียนก็เชื่อว่าพวกเขาและเธอจะสามารถบุกทะลวงแนวป้องกันของเหล่านินจามาได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน นอกจากนี้เย่เชียนก็เชื่อว่าหลินเฟิงเองก็ควรจะลอบเข้ามาได้แล้วเพราะหลินเฟิงเป็นถึงผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลและเป็นนักฆ่าระดับสูงที่ครอบครองวิชาลับไร้เงา ดังนั้นการลอบเข้ามาที่นี่จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ฟูมะฮายาคุจิก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของเย่เชียนเพราะฟูมะฮายาคุจิไม่ใช่คนโง่และถ้าหากเขาไม่รู้ว่าเย่เชียนนั้นประชดประชันเขาก็คงจะเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้ไปแล้ว ทันใดนั้น โทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้นและหลังจากที่ลูกศิษย์ของตระกูลฟูมะรับสายเขาก็วางโทรศัพท์เอาไว้ข้างๆแล้วเดินไปที่ด้านข้างฟูมะฮายาคุจิอย่างรวดเร็วแล้วกระซิบเบาๆสองสามประโยค
ฟูมะฮายาคุจิก็พยักหน้าเบาๆและเหลือบมองซ่งหลันกับเย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณซ่ง..คุณเย่..กรุณารอสักครู่นะครับ..ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อน” เมื่อฟูมะฮายาคุจิพูดจบเขาก็หยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดปากของเขาแล้วลุกขึ้นจากนั้นก็เดินไปที่โทรศัพท์
เมื่อเห็นการแสดงออกของฟูมะฮายาคุจิที่ดูค่อนข้างจริงจังเย่เชียนก็ขมวดคิ้วแล้วกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้นคาเอดะก็พูดว่า “มาเถอะ..เรามากินข้าวกันต่อดีกว่า” ขณะที่เขาพูดเขาก็เชิญชวนเย่เชียนและซ่งหลันด้วยมารยาทที่สุภาพมากราวกับว่าสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาก่อน
.
.
.
.
.
.
.