ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 746 บ้านตระกูลเย่
ตอนที่ 746 บ้านตระกูลเย่
ตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดมานับพันปีสามารถอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้มันก็ต้องมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งคนที่มีคุณสมบัตินั้นก็คือเย่เจิ้งเซียงและเป็นผู้สืบทอดตระกูลเย่ในรุ่นปัจจุบันเขาเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพรสวรรค์อย่างมาก ด้วยการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาตระกูลที่สืบทอดมานับพันปีนั้นก็ยังต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมในปัจจุบันเช่นกันและนี่คือเย่เจิ้งเซียงที่คอยขับเคลื่อนตระกูลเย่และเพื่อปรับระบบการปกครองให้เข้ากับยุคปัจจุบันและการพัฒนาในสังคมและในกองทัพและรัฐบาลรวมไปถึงวงการธุรกิจล้วนมีสมาชิกของตระกูลเย่คอยควบคุมอยู่
ผู้อาวุโสของเย่เจียอู๋นั้นมีลูกชายสามคนและลูกชายคนโตเย่เจิ้งเซียง,ลูกชายคนรองเย่เจิ้งหรานและลูกชายคนที่สามเย่เจิ้งเฟิง ทั้งหมดเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากและในบรรดาพวกเขาเย่เจิ้งหรานนั้นยอดเยี่ยมที่สุดและมีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดและมีไหวพริบที่สุดในบรรดาลูกทั้งสาม ดังนั้นเย่เจียอู๋จึงต้องการที่จะให้เย่เจิ้งหรานเป็นผู้สืบทอดของตระกูล อย่างไรก็ตามเย่เจิ้งหรานกลับไม่มีความทะเยอทะยานดังกล่าวเพราะในชีวิตของเขานั้นหมกมุ่นและแสวงหาศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดในหลายๆแขนงมาโดยตลอด
เมื่อตระกูลเย่เผชิญกับวิกฤติต่างๆเย่เจิ้งหรานก็เป็นผู้พลิกสถานการณ์ด้วยความสามารถของเขาเองและเอาชนะศัตรูแล้วช่วยตระกูลเย่เอาไว้ได้สำเร็จ ดังนั้นก็สมควรอย่างยิ่งที่จะบอกว่าเย่เจิ้งหรานเป็นวีรบุรุษของตระกูลและทุกคนก็ควรจะเคารพเย่เจิ้งหรานอย่างที่ควรจะเป็น
ผู้นำตระกูลเย่คนปัจจุบันคือลูกชายคนโตอย่างเย่เจิ้งเซียงและถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีพรสวรรค์เหมือนเย่เจิ้งหรานก็ตามแต่เขาก็ทุ่มเทให้กับหน้าที่ของเขาและอุทิศตนในการดูแลตระกูลเป็นอย่างดี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการพัฒนาของตระกูลเย่นั้นก็ชัดเจนสำหรับทุกคน ถึงแม้ว่าในตอนนี้เย่เจียอู๋จะไม่ได้อยู่อย่างความรุ่งโรจน์อีกต่อไปแต่เขาก็ยังไม่ถึงจุดที่ตกต่ำและบางคนต่างก็บอกว่าทั้งหมดนี้เกิดจากความร้าวฉานและความเกลียดชังที่เย่เจิ้งหรานกระทำ แต่ทว่าทั้งหมดก็เป็นเพราะเย่เจียอู๋ที่คอยค้ำจุ้นตระกูล อาจกล่าวได้ว่าเพราะตัวจนของเย่เจียอู๋นั้นคนนอกจึงไม่กล้าทำอะไรตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะโต้เถียงกันอย่างไรแต่เย่เจิ้งเซียงก็เป็นคนที่ดูแลสิ่งต่างๆตลอดหลายปีที่ผ่านมาและค่อยๆพัฒนาอิทธิพลและอำนาจของตระกูลเย่ไปสู่โลกภายนอกและสานต่อเจตนารมณ์ของเย่เจียอู๋ผู้เป็นพ่ออย่างเคร่งครัด
งานวันเกิดครบรอบ 80 ปีของเย่เจียอู๋นั้นเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเย่ก็มาเข้าร่วมมากมาย อย่างไรก็ตามงานครบรอบนี้ก็เป็นเพียงเรื่องของการแข่งขันศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้เชิญแขกจากแวดวงทหารและการเมืองหรือแวดวงธุรกิจให้เข้าร่วมเพราะท้ายที่สุดแล้วโลกของศิลปะการต่อสู้โบราณมันก็มีกฎเกณฑ์ของตัวเองที่ไม่อาจทำลายได้อยู่
รุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเย่ก็ชัดเจนอย่างมากว่าวันเกิดของเย่เจียอู๋นั้นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาที่จะแจ้งเกิดได้ ตราบใดที่พวกเขาชนะการแข่งขันการประลองล่ะก็เหล่าผู้อาวุโสจะต้องสนใจอย่างแน่นอน ซึ่งหากใครได้รับคำชมเชยจากผู้อาวุโสล่ะก็ในอนาคตเขาก็จะอยู่อย่างรุ่งโรจน์ไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ทุกคนก็รู้ดีว่าการแข่งขันในครั้งนี้ยังหมายความว่าตระกูลเย่กำลังจะเลือกผู้สืบทอดคนต่อไปและใครก็ตามที่ชนะการแข่งขันครั้งนี้พวกเขาก็จะได้เป็นผู้นำตระกูลเย่คนต่อไป
นั่นเป็นเพราะว่าอันซือรู้ถึงความสำคัญของงานวันเกิดครบรอบของเย่เจียอู๋คนนี้ ดังนั้นเธอจึงแทบรอไม่ไหวที่จะให้เย่เชียนกลับมาและในที่สุดเย่เชียนก็กลับมาจนเธอรู้สึกโล่งใจ ซึ่งเธอก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากเพราะความเกลียดชังของเธอที่มีต่อตระกูลเย่นั้นก็หาที่เปรียบมิได้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เธอเพียงต้องการจะเข้าไปในบ้านของตระกูลเย่อย่างเปิดเผยและแก้แค้น
เย่เชียนคือความหวังของเธอและเป็นความหวังเดียวของเธออีกด้วย ตราบใดที่เย่เชียนสามารถชนะการแข่งขันครั้งนี้และสามารถดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสและเย่เจียอู๋ได้เธอก็จะสามารถกลับไปที่ตระกูลเย่ได้อย่างสง่างาม แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้และความขัดแย้งระหว่างอันซือกับตระกูลเย่เลย ซึ่งเธอเคยได้ยินเพียงอันซือบอกว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เย่เจียอู๋ที่ถอดถอนตำแหน่งผู้สืบทอดเป็นของเย่เจิ้งหรานและขับไล่เขาออกไปจากตระกูลเย่ อันที่จริงเย่เชียนรั้รก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้มันจริงหรือไม่และมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ
หากเป็นไปได้เย่เชียนก็ไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องแบบนี้เพราะเขาก็อยากจะอยู่ของแบบนี้และลืมความเกลียดชังเพื่อใช้ชีวิตอย่างครอบครัวปกติก็คงจะดีไม่น้อยใช่มั้ย? อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุมของเขาอย่างชัดเจนเพราะความเกลียดชังและความแค้นที่สะสมอยู่ในใจของอันซือนั้นลึกอย่างมากและเกรงว่ามันคงจะไม่สามารถได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดายเป็นแน่ เดิมทีเย่เชียนก็ยังสงสัยในตัวตนของพวกเธอเพราะเขาไม่รู้ว่าพวกเธอนั้นเป็นแม่และน้องสาวแท้ๆของเขาหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อสถานการณ์โดยรวมเนื่องจากความผิดของเขาเองเขาจึงต้องทำเช่นนั้นไปก่อน
ถ้าเย่เชียนต้องการทราบตัวตนที่แท้จริงอันซือและเย่เหวินนั้นก็มีเพียงตระกูลเย่เท่านั้นที่รู้ความจริงและไม่ใช่ว่าเย่เชียนกลัวความตายหรือไม่กล้าไปที่บ้านของตระกูลเย่แต่ทว่าเย่เชียนนั้นมีความกังวลใจว่าอันซือและเย่เหวินจะเป็นตัวปลอมและเขาก็ไม่ต้องการทำลายความหวังอันน้อยนนิดของเขาไป แต่ตอนนี้อันซือได้แค่ยืนกรานอย่างแน่วแน่ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
ถนนข้างหน้านั้นห่างไกลและโชคร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย ดังนั้นเย่เชียนจึงทำให้ได้แค่รอความจริงปรากฏขึ้นมาเองเท่านั้น
เย่เชียนได้พักผ่อนที่บ้านแค่คืนเดียวและเช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนกับอันซือและเย่เหวินก็รีบขับรถออกเดินทางไป เย่เชียนนั้นแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยเพราะส่วนใหญ่เขาแค่หลับตาและนั่งสมาธิเพื่อหมุนเวียนพลังชี่ ซึ่งเป็นส่วนผสมของวิญญาณที่ชั่วร้ายและผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ก่อนนอนพักผ่อนบนเตียง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะหลับตาลงแต่เย่เชียนก็ยังคงมีภาพจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเขาและซึ่งบางภาพเขาก็ไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาต้องการที่จะลงลึกไปในเหตุการณ์นั้นๆเขาก็ไม่สามารถทำมันได้เลย
เมืองติดทะเลซานย่า ณ มณฑลไห่หนานคือพื้นดิน 10.4 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่ทะเล 6 ตารางกิโลเมตรซึ่งอยู่ห่างจากชานเมืองด้านตะวันตกของเมืองซานย่า 23 กิโลเมตร ที่นี่เป็นเกาะติดแผ่นดินใหญ่และมีน้ำทะเลใสสีฟ้าครามมีต้นมะพร้าวรอบเกาะและมีโรงแรมสุดหรูกลางเกาะ ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของมณฑลไห่หนานและนั่นคือหินยักษ์ที่อยู่บนชายหาดของอ่าวที่มีตัวหนังสือเขียนว่า “จุดจบของโลก” และ “เสาแห่งนภา” นั้นงดงามอย่างมาก
ตระกูลเย่เป็นตระกูลแห่งนักศิลปะการต่อสู้โบราณที่สืบทอดกันมานับพันปีและมันก็ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของยุคแล้ว เนื่องจากเกาะซานย่านั้นเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดังนั้นตระกูลเย่จึงต้องลดอาณาเขตของพวกเขาอย่างจำกัดเพราะนี่คือแผนพัฒนาประเทศ ซึ่งถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะไม่ได้อ่อนแอแต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลและผู้นำของจีนก็ยังจัดสรรพื้นที่ของตระกูลเย่เอาไว้อย่างเคร่งครัดและที่นั่นก็ถูกจัดเป็นสถานที่ต้องห้ามและนักท่องเที่ยวก็ไม่สามารถเข้าไปยังเขตนั้นได้และทางเข้ากับรอบๆอาณาเขตก็ได้รับการป้องกันโดยคนของตระกูลเย่อย่างแน่นหนา
ว่ากันว่าโลกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นมีกฎเหล็กที่สำคัญ ซึ่งผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวภายในก็มักจะมองว่าที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและมหาเศษรฐีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ห้ามไม่ให้ใครเข้า ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของสังคมและเศรษฐกิจในยุคนี้จึงทำให้แม้แต่ปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้โบราณในตระกูลเย่ยังต้องก้าวและปรับตัวให้ทันกับโลกในยุคนี้และไม่ยึดติดกับทัศนคติและนิสัยเดิมๆของพวกเขา ดังนั้นในสายตาของคนภายนอกแล้วที่แห่งนี้จึงไม่มีความแตกต่างกันกับโลกภายนอก แต่ทว่าที่แห่งนี้นั้นมีความลับเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้โบราณโดยที่ไม่มีใครเคยสงสัยเลย
เมื่อไปถึงเมืองซานย่ามันก็ตกเย็นแล้วและทั้งสามก็หาโรงแรมเพื่อพักผ่อนแล้วค่อยตรงไปที่บ้านของตระกูลเย่ในเช้าวันถัดไป
บ้านของตระกูลเย่นั้นครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3,000 เอเคอร์และตัวบ้านหรืออาคารก็เป็นแบบจีนโบราณทั้งหมด โดยกำแพงล้วนเป็นอิฐสีแดงและกระเบื้องสีเขียว ซึ่งด้านนอกนั้นมันถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงและมีประตูทางเข้าสี่ทิศ ทั้งทิศเหนือทิศใต้ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกล้วนถูกคุ้มกันโดยสมาชิกของตระกูลเย่ ยิ่งไปกว่านั้นที่ผนังด้านนอกถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงว่า “พื้นที่ส่วนตัว..ห้ามเข้า!”
จากระยะไกลเย่เชียนก็เห็นรถจำนวนนับไม่ถ้วนขับเข้าไปที่ด้านในโดยแต่ละคันเป็นรถหรูหราส่วนรถคันที่ดูแย่ที่สุดก็ยังเป็นถึง BMW พอรถเหล่านั้นถึงประตูพวกเขาก็หยุดแล้วส่งบัตรเชิญให้กับคนที่เฝ้าประตูอยู่แล้วขับเข้าไป เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแขกรับเชิญหรือลูกหลานของตระกูลเย่ที่มาจากที่อื่นเพื่ออวยพรวันเกิดของชายชราเย่เจียอู๋
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หันไปมองอันซือแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตรวจบัตรเชิญด้วยนะ..เราไม่มีบัตรเชิญแล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง?”
“ลูกเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลเย่เพราะงั้นเราจำเป็นต้องใช้บัตรเชิญที่ไหน?..เอาล่ะไปกันเถอะ” อันซือพูดอย่างเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเธอดูไม่ค่อยดีเพราะยิ่งใกล้สถานที่นี้เท่าไหร่ความโกรธในใจของอันซือก็ปะทุมากขึ้นเท่านั้นเพราะนี่คือความอัปยศของเธอและฝันร้ายที่เธอจะไม่มีวันลืม
เย่เชียนเหวินก็เหลือบมองเย่เชียนและยิ้มอย่างมั่นใจแต่เย่เชียนก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้พูดอะไรและทำตามสิ่งที่อันซือบอกจากนั้นเย่เชียนก็ขับรถไปที่ประตูทางเข้า
เมื่อพวกเขามาถึงที่ประตูก็มีคนมาขวางทางพวกเขาทันทีด้วยท่าทีที่สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตนโดยพูดว่า “กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ!”
“คำเชิญอะไรกัน..เรามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานฉลองวันครบรอบวันเกิดปีที่ 80 ของผู้อาวุโสเย่เจียอู๋..เราจำเป็นต้องยื่นบัตรเชิญงั้นเหรอ?” อันซือตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนเฝ้าประตูก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแต่ทัศนคติของเขาก็ยังคงดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากและพูดว่า “ผมต้องขอโทษด้วย..นายท่านสั่งเอาไว้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิด 80 ปีของนายท่านและต้องป้องกันไม่ให้ใครมาสร้างปัญหา..ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่มีบัตรเชิญก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป..กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ”
“เพลี๊ยะ!” อันซือตบหน้าชายหนุ่มคนนั้นอย่างแรงซึ่งทำให้เย่เชียนถึงกับสะดุ้ง ซึ่งนี่เป็นการประกาศศึกกับตระกูลเย่เลยไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้สมาชิกของตระกูลเย่คนนี้ก็พูดอย่างสุภาพดังนั้นการที่อันซือทำเช่นนั้นมันก็ดูมากเกินไปเสียหน่อย อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นแม่ของเขาดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถพูดอะไรได้จึงทำได้เพียงปล่อยให้มันผ่านไป
“นี่แกเจ้าไม่รู้จักเราเหรอ?..แกกล้าขวางทางพวกเราได้ยังไง..ฉันขอบอกเลยนะว่าถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะอยู่ที่นี่แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะขวางพวกเรา!” อันซือตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว “แกรู้มั้ยว่าพวกเขาเป็นใคร?..พวกเราคือครอบครัวของเย่เจิ้งหรานและเป็นทายาทในอนาคตของตระกูลเย่!..แกกล้าที่จะขวางทางพวกเราแบบนี้แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วงั้นเหรอ?” อันซือพูดขณะที่ชี้ไปที่เย่เชียนและเย่เหวิน
อีกฝ่ายก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็หันไปมองที่เย่เชียนและเย่เหวิน ซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มอย่างขอโทษจนทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นอย่างมากเพราะถ้าเขารู้เขาคงจะไม่ทำเช่นนี้แต่ในเมื่ออันซือได้เปิดเผยตัวตนของเย่เชียนแล้วถ้าหากเขาไปทำให้ทายาทขุ่นเคืองมันก็คงจะไม่ดีต่อเขาอย่างแน่นอน
.
.