ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 758 ทำตามหัวใจ
ตอนที่ 758 ทำตามหัวใจ
อันที่จริงตระกูลเย่เป็นตระกูลอายุนับพันปีที่อยู่รอดมาได้หลายปีเพราะพวกเขามีวิถีทางเอาตัวรอดเฉพาะตัวและผู้นำแต่ละรุ่นของตระกูลเย่นั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ล้วนเป็นความกล้าหาญและความพยายามที่ผู้นำควรจะมี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าผู้นำไม่มีความกล้าหาญและความพยายามล่ะก็เขาจะเป็นผู้นำได้อย่างไร?
แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้เข้าหาเย่เจิ้งเซียงเพื่อมาเป็นผู้นำหรือดูแลตัวเอง ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องการที่จะตอบโต้เย่เจิ้งเซียงและเย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่กลัวสิ่งต่างๆ การที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่ายังคงสามารถยืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้และพัฒนาต่อไปโดยอาศัยความกล้าหาญและความพยายามของเย่เชียนล้วนๆ ด้วยเหตุนี้ถ้าหากเขาไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับคนที่ดูถูกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าล่ะก็นั่นแสดงว่าเย่เชียนไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าเลย
สีหน้าของเย่เจียอู๋ก็มืดมนหากและถ้าหากนี่ไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดของเขาล่ะก็เย่เจิ้งเซียงคงจะโดนเขาตำหนิไปแล้วสำหรับการกระทำเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะมีแขกจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ในขณะนี้และตระกูลเย่ก็ไม่สามารถเสียหน้าต่อบรรดาแขกได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีการตำหนิแต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่รุนแรงเกินไปแต่ถ้าหากเป็นเวลาปกติเย่เจียอู๋ก็คงจะเดินไปตบหน้าเย่เจิ้งเซียงแล้ว ถึงแม้ว่าอารมณ์ร้อนและโทสะของเย่เจียอู๋จะลดลงไปตามอายุของเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถอารมณ์เสียได้
เมื่อเห็นว่าเย่เจียอู๋โกรธมากเย่เจิ้งเซียงก็ถึงกับตัวสั่นและกลัวจนต้องพูดอย่างเร่งรีบว่า “ผมขอโทษครับท่านพ่อ..ผมแค่กลัวว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาในงานเลี้ยงวันเกิดจนทำให้บรรดาแขกหัวเราะเยาะตระกูลเย่ของเรา..ผมไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่นเลย”
เย่เจิ้งเฟิงก็เห็นด้วยอย่างเร่งรีบโดยพูดว่า “ใช่ครับท่านพ่อมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากที่พี่ใหญ่ทำแบบนั้น..ดังนั้นโปรดยกโทษให้พี่ใหญ่สักครั้งเถอะ..บางทีวิธีการของพี่ใหญ่อาจไม่เหมาะสมเล็กน้อยแต่เขาก็เห็นแก่ตระกูลเย่..ซึ่งวันนี้เป็นวันเกิดปีที่แปดสิบของท่านพ่อเพราะงั้นอย่าเสียอารมณ์ไปเลย”
“ฉันจะไม่ยกโทษให้กับคนที่ไม่ยอมรับความผิด..ถ้าแกรู้ว่าผิดแกก็ควรจะรีบแก้ไขเพราะนี่ควรเป็นคุณสมบัติที่ลูกหลานของฉันในตระกูลเย่ควรจะมี..เจิ้งเซียงฉันคิดว่าแกควรจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดใช่มั้ย?” น้ำเสียงของเย่เจียอู๋ก็เบาลงเล็กน้อยแต่เผยให้เห็นถึงการตักเตือนการกำชับในกฎระเบียบ
เย่เจิ้งเซียงก็สามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของเย่เจียอู๋ได้เป็นอย่างดีและถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่เนื่องจากเป็นคำสั่งของผู้เป็นพ่อเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเย่เจิ้งเซียงก็เหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษ..ฉันต้องขอโทษสำหรับสิ่งที่ฉันทำลงไป”
“ไม่ครับปรมาจารย์เย่ไม่ควรขอโทษผม..แต่ควรจะขอโทษตัวเองเพราะการกระทำของคุณไม่ได้ทำร้ายผมแต่ทำลายชื่อเสียงของตระกูลเย่ต่างหาก..ในฐานะผู้นำของตระกูลเย่แล้วผมคิดว่าคุณควรพิจารณาเรื่องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของตระกูลเย่ก่อนเสมอ..ผมแค่หวังว่าในฐานะผู้นำของตระกูลเย่คุณควรจะตระหนักและพิจารณาสิ่งต่างๆให้มากขึ้นในอนาคตและอย่าลืมประเมินผลลัพธ์ต่างๆด้วย..ท้ายที่สุดแล้วคุณไม่ได้อยู่คนเดียวแต่เป็นตัวแทนของตระกูลเย่ทั้งหมด” น้ำเสียงของเย่เชียนก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่เขาไม่ได้ให้อภัยโดยตรงแต่เขาไม่เคยคิดที่จะโกรธเพราะเหตุการณ์นี้เพราะมันเป็นความหยิ่งผยองของเย่เจิ้งเซียงเองที่ขมขู่เขาจนทำให้เย่เชียนรู้สึกอึดอัดอย่างมากดังนั้นเย่เชียนจึงต้องการใช้เหตุการณ์นี้เพื่อตอบโต้เย่เจิ้งซียง
เย่เจิ้งเซียงในฐานะผู้นำที่สง่าผ่าเผยของตระกูลเย่แต่กลับต้องมาขอโทษชายหนุ่มคนหนึ่งต่อหน้าคนจำนวนมากเขาจึงรู้สึกอึดอัดและเสียหน้าอย่างมาก แต่นั่นก็เป็นเพียงความขุ่นเคืองที่มีต่อเย่เชียนที่ลึกลงไปในใจของเขาและอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆ ว่าถ้าหากเย่เชียนเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานจริงๆล่ะก็เกรงว่ามันจะไม่เพียงแต่เป็นทายาทในอนาคตเท่านั้นแต่ตัวเขาเองก็จะค่อยๆสูญเสียตำแหน่งในตระกูลเย่ไปทีละนิดใช่ไหม? เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าความพิเศษของเย่เชียนนั้นคืออะไรและอะไรที่สามารถทำให้เย่เจียอู๋ผู้เป็นพ่อของเขาโปรดปรานได้ถึงขนาดนี้ แต่เย่เจิ้งเซียงนั้นก็รู้ดีว่าเย่เชียนคงจะมองเขาเป็นอุปสรรคในอนาคตอย่างแน่นอน
ทางด้านของเย่เจิ้งเฟิงก็เงียบมากและเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากเพราะเขาเพิ่งจะเห็นเย่เจิ้งเซียงถูกเย่เชียนพาขึ้นเขียงจนเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อยและอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้นั้นไม่ธรรมดา ด้วยระยะเวลาอันสั้นชายหนุ่มคนนี้กลับสามารถทำให้พ่อของเขาโปรดปรานได้ถึงขนาดนี้และสิ่งที่เย่เชียนพูดออกมาเพื่อรับมือกับเย่เจิ้งเซียงนั้นก็น่าชื่นชมมากเพราะเมื่อเทียบกับรุ่นลูกรุ่นหลานของตระกูลเย่แล้วเขาก็ยิ่งดูโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการที่เย่เจียอู๋จะโปรดปรานนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ
งานเลี้ยงวันเกิดก็สิ้นสุดลงและหลังจากผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงยกเว้นการเผชิญหน้าตาต่อตาที่โต๊ะของเย่เชียนแล้วที่เหลือก็สงบและไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆเกิดขึ้น อาหารสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดนั้นอุดมสมบูรณ์และหรูหราอย่างมากแต่สำหรับตระกูลโบราณที่คุ้นเคยกับการรับประทานอาหารอันโอชะทั้งอาหารป่าและทะเลนั้นไม่ค่อยน่าดึงดูดใจมากนัก อันที่จริงเหล่าตระกูลนักสู้โบราณเหล่านี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารมากนักเพราะในความเห็นของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใดก็ตามมันมักจะผสมกับสิ่งเจือปนมากมายและถ้ากินมากเกินไปก็จะไม่ดีต่อร่างกายของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณอย่างพวกเขา
การขัดเกลาและฝึกฝนพลังชี่นั้นมักจะต้องการให้ร่างกายของคนๆหนึ่งสะอาดราวกับหยกและยิ่งสิ่งสกปรกในร่างกายน้อยมากเท่าใดมันก็ยิ่งมีประโยชน์ในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ถึงจุดที่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้นอาหารก็ยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพวกเขาและคนส่วนใหญ่ก็มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องทำโดยสัญชาตญาณมากกว่าที่จะไปหมกมุ่นและเพลิดเพลินไปกับมัน
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดเย่เจิ้งเซียงก็ยุ่งอีกครั้งเพื่อทักทายแขกในช่วงเวลาพักสั้นๆเพราะช่วงบ่ายจะเป็นการแข่งขันการประลองระหว่างสมาชิกของตระกูลเย่ ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดเตรียม อีกด้านหนึ่งก็ต้องทักทายบรรดาแขกและอีกทางหนึ่งต้องให้กำลังใจลูกชายทั้งสองคนเพื่อไม่ให้แพ้สมาชิกคนอื่นๆในตระกูล
เย่เจียอู๋นั้นต้องการดึงเย่เชียนเพื่อพูดคุยเรื่องเก่าๆเพราะเขาเพียงรู้สึกว่าเขามีอะไรที่อยากจะพูดกับเย่เชียนมากมายและอยากให้เย่เชียนอยู่เคียงข้างเขาทุกวัน นี่อาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นของเขาและเขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นหนี้เย่เชียนมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะใกล้ชิดกับเย่เชียนให้มากขึ้น
ทันทีที่งานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลงเย่เชียนก็สังเกตเห็นดวงตาของอันซือและเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการเรียกตัวเองไปหาและเย่เชียนก็รู้ดีว่าอันซือนั้นต้องการจะทำอะไรและไม่มีอะไรมากไปกว่าการถามถึงสิ่งที่เขาเพิ่งพูดกับเย่เจียอู๋และคนอื่นๆ จากนั้นก็จะสั่งให้ตนฆ่าคนเหล่านั้นในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ค่อยชอบตระกูลเย่มากนักยกเว้นเย่เจียอู๋กับถังซูหยานแต่มันก็ไม่ถึงขนาดที่ต้องฆ่าพวกเขา ถึงเย่เชียนจะเคยฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาก็ตามแต่มันก็ไม่มีใครตายอย่างโจ่งแจ้งต่อสาธารณชน ดังนั้นถ้าหากเขาถูกสั่งฆ่าลูกหลานของตระกูลเย่ในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ล่ะก็เย่เชียนก็คงไม่สามารถทำได้
มนุษย์ทุกคนควรมีหลักการและจุดยืนของตนเองและเย่เชียนปฏิบัติตามหลักการและจุดยืนของตนเองเสมอ ดังนั้นการแข่งขันก็คือการแข่งขันและแน่นอนว่าเขาไม่สามารถพรากชีวิตของใครได้เว้นแต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดงานเลี้ยงวันเกิดแล้วเย่เชียนก็สังเกตเห็นดวงตาของอันซืออย่างชัดเจนแต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยและออกจากห้องโถงไปพร้อมกับเย่เจียอู๋
เมื่อเห็นเย่เชียนกับเย่เจียอู๋เดินจากไปพร้อมๆกันถึงแม้ว่าอันซือจะโกรธแต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงปล่อยไปก่อน อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดๆดูแล้วเย่เจียอู๋ก็ดูมีความสุขมากที่ได้รับความอบอุ่นจากเย่เชียน เมื่อตระหนักเช่นนี้ตราบใดที่เย่เชียนเกลี้ยกล่อมเย่เจียอู๋ให้เชื่อใจได้โอกาสที่เธอจะแก้แค้นตระกูลเย่ให้สำเร็จได้ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อออกจากห้องโถงไปเย่เชียนก็เหลือบมองเย่เจียอู๋แล้วพูดว่า “ท่านปู่..ผมขอเดินชมวิวรอบๆคนเดียวได้หรือเปล่าครับ?”
เย่เจียอู๋ก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นไปได้เหรอที่จะเดินไปคนเดียวโดยที่ไม่รู้ทาง?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมแค่อยากจะเดินไปไหนมาไหนรอบๆด้วยตัวเองคงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่มีหรอกๆ..แต่เอ็งต้องจำเอาไว้ว่าเอ็งห้ามมาเข้าร่วมการแข่งการประลองสายน่ะ” เย่เจียอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“ครับ!” เย่เชียนพยักหน้าตอบ “งั้นผมขอตัวก่อนเอาไว้เจอกันครับ”
“ได้!” เย่เจียอู๋ตอบด้วยรอยยิ้มและยืนนิ่งมองเย่เชียนเดินจากไป เย่เจียอู๋นั้นไม่ได้กลัวว่าเย่เชียนจะเสแสร้งหรือเย่เชียนจะสร้างปัญหาอะไรต่อตระกูลเย่เมื่อเขามาที่นี่เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ของเขาและสมาชิกตระกูลส่วนใหญ่ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมการแต่ทว่าการป้องกันของตระกูลเย่นั้นก็ไม่ได้หละหลวมเลย ยิ่งไปกว่านั้นเย่เจียอู๋ยังคงมีพลังลึกลับอยู่ในมือที่แม้แต่เย่เจิ้งเซียงก็ยังไม่รู้ว่ามันคอยปกป้องตระกูลเย่อยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่ใครจะสร้างปัญหาอะไรในบ้านของตระกูลเย่
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 80 ปีของเขาดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการวุ่นวายกับปัญหามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงอดทนกับมันชั่วคราวเกี่ยวกับสิ่งที่ซงเจิ้งหยวนทำ ด้วยเหตุนี้เย่เจียอู๋จะคุยกับเหล่าผู้นำตระกูลของเซงเจิ้งหยวนในภายหลังและบอกให้พวกเขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เย่เชียนก็เดินไปอย่างไร้จุดหมายและรู้สึกกระวนกระวายในใจอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ที่ศาลากลางน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจและเมื่อมองออกไปเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างลับๆว่า “ฉันมาที่นี่ทำไมกัน?..ฉันอยากพบเธอมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ความรู้สึกของเย่เชียนนั้นไม่ได้หลอกลวงและผู้คนสามารถหลอกคนอื่นได้แต่ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ ดังนั้นการกระทำของเย่เชียนเพิ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขานั้นโหยหาถังซูหยานแต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมหรือบางทีถังซูหยานสามารถทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและสงบอย่างมากก็เป็นได้
.
.
.