ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 765 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 5
ตอนที่ 765 การประลองของตระกูลเย่ ตอนที่ 5
ด้วยประโยคง่ายๆ เพียงไม่กี่คำกลับทำให้เย่หานหลินสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้ ดังนั้นเย่เจียอู๋จึงเชื่อว่าเย่เชียนนั้นมีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะเย่หานห่าวได้ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดเช่นนั้น ซึ่งนี่คือการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเย่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบทักษะและความสามารถของสมาชิกทุกคนในตระกูลเพื่อพัฒนาตระกูลให้รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
ตระกูลเย่เป็นตระกูลใหญ่และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าถึงสมาชิกทุกคนได้ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้จึงเป็นเพียงวิธีทางที่ผู้อาวุโสของตระกูลจะได้รู้จักลูกหลานและทายาทเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเย่เจียอู๋นั้นไม่ได้ต้องการให้เย่เชียนเอาชนะเย่หานห่าวในทันทีไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเย่หานห่าวนั้นมีความสามารถมากแค่ไหน
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ เพราะอันที่จริงถ้าเป็นไปได้เขานั้นไม่ได้ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้เลยแต่เพราะคำสั่งของอันซือนั้นทำให้เขายากที่จะปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้นแขกทุกคนที่มาที่นี่และแม้แต่คนในตระกูลเย่ก็มีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกับเขาในอนาคต ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่จะเปิดเผยทักษะและความสามารถของเขาต่อหน้าคนเหล่านี้ก่อนเวลาอันควร ดังนั้นถึงแม้จะไม่มีคำสั่งจากเย่เจียอู๋ก็ตามเย่เชียนก็คิดที่จะเอาชนะเย่หานห่าวอย่างง่ายดายเพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาก่อนเวลาอันควร ซึ่งในกรณีที่ทุกคนที่นี่กลายเป็นศัตรูของเขาในอนาคตล่ะก็รายละเอียดทักษะและความสามารถของเขาจะเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
จากระยะไกลอันซือก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการบอกเย่เชียนว่าให้เขาฆ่าเย่หานห่าว แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นเห็นการจ้องมองของอันซือแต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลยและไม่ตอบสนองอะไรใดๆ ในทางกลับกันเย่เหวินนั้นมีท่าทีการแสดงออกที่ดูตื่นเต้นมากบนใบหน้าของเธอและเธอก็ไม่ได้มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงและขุ่นเคืองเหมือนอันซือ แต่มันเหมือนกับความคาดหวังและการให้กำลังใจเย่เชียนก่อนที่จะเริ่มต่อสู้ ความรู้สึกนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกดีอย่างมากและไม่ว่าอันซือจะเป็นยังไงแต่การแสดงของเย่เหวินนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมองว่าตัวเองเป็นพี่ชายของเธอจริงๆ และไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น หรืออาจเป็นเพราะเย่เหวินนั้นไม่เคยเผชิญหน้ากับความกดดันของอันซือมาก่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรความรู้สึกแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวควรมีดังนั้นเย่เชียนจึงรู้สึกสบายใจโดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้สังเกตเช่นกันเพราะจากระยะไกลหญิงวัยกลางคนก็มองสถานการณ์บนเวทีลานประลองอย่างเงียบๆ และไม่มีใครอื่นนอกจากถังซูหยานที่ถูกชะตากับเย่เชียน ซึ่งตั้งแต่ที่เธอเก็บตัวอยู่แต่ที่ศาลากลางน้ำเธอก็หยุดแทรกแซงกิจการของตระกูลเย่และเธอก็ไม่เคยเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมใหญ่ๆ ที่จัดขึ้นโดยตระกูลเย่ในทุกๆ ปีเลย อย่างไรก็ตามคราวนี้เนื่องจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเย่เชียนนั้นหัวใจของเธอที่สงบเสงี่ยมมานานหลายปีก็ถูกปลดปล่อยอีกครั้งและเธอก็อดไม่ได้ที่จะมาชมและจุดประสงค์ก็คือการดูทักษะและความสามารถของเย่เชียนนั่นเอง
ในความเห็นของเธอเย่เชียนเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานและถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ให้กำเนิดเขาเย่เชียนก็ตามแต่เย่เชียนเลือดและเนื้อของเย่เจิ้งหราน ดังนั้นเธอเองก็หวังที่จะดูว่าเย่เชียนจะมีพลังและความสามารถเท่ากับพ่อของเขาหรือไม่ ส่วนเสี่ยวฉุยที่ด้านข้างเมื่อเห็นการแสดงของถังซูหยานแบบนี้เธอก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและรู้สึกอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะถ้าลูกชายของถังซูหยานไม่ได้หายตัวไปตั้งแต่ยังเด็กถังซูหยานก็คงจะไม่กลายเป็นคนเหงาได้ถึงขนาดนี้ใช่ไหม? เมื่อนึกถึงถังซูหยานที่ยังห่วงใยศัตรูหัวใจของเธอและลูกชายที่เกิดมาจากสามีของเธอแล้วเสี่ยวฉุยก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากและรู้สึกเสียใจไปกับถังซูหยานที่ต้องเป็นแบบนี้
แขกที่ยืนบนอัฒจันทร์ก็หันมามองเย่เชียนเช่นกันและแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในตระกูลเย่ที่เคยเห็นเพราะแม้แต่ลูกหลานของตระกูลหลักก็รู้ได้ว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่ทายาทสายตรง ซึ่งก่อนหน้านี้เย่หานหลินจากตระกูลสาขาได้เอาชนะทายาทตระกูลหลักไปแล้วดังนั้นหากเย่เชียนเอาชนะเย่หานห่าวได้อีกครั้งล่ะก็บรรดาแขกจากตระกูลต่างๆ ก็จะยิ่งพึงพอใจอย่างมาก
หยานซื่อฉุยผู้นำของสำนักม่อจื๊อเองก็ให้ความสนใจกับร่างของเย่เชียนเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการสบตาเพียงครู่เดียวแต่เย่เชียนก็สามารถทิ้งความประทับใจไว้ในใจของเธอโดยไม่มีเหตุผลได้ ซึ่งแน่นอนว่าหยานซื่อฉุยเองก็ต้องการรู้เหมือนกันว่าเย่เชียนนั้นมีความสามารถแค่ไหน
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดเย่หานห่าวก็เกลียดเย่เชียนมากเพราะในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเย่แต่เขากลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรแต่ทว่าเย่เชียนที่ไม่รู้ต้นกำเนิดและไม่รู้ที่มาที่ไปกลับสามารถทำให้เย่เจียอู๋สนใจได้ซึ่งยากที่จะยอมรับอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นเย่เชียนที่จะต้องแข่งขันกับเขาเย่หานห่าวก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ ดังนั้นเขาจึงคิดในใจว่าตราบใดที่เขาทำลายศักดิ์ศรีและเหยียบย่ำเย่เชียนอย่างน่าสังเวชในระหว่างการแข่งขันล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้นเย่เจียอู๋จะไม่โปรดปรานเย่เชียนอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนขึ้นมาบนเวทีแล้วเย่เจิ้งเซียงก็เดินไปที่ด้านข้างของเย่หานห่าวและพูดเบาๆ ว่า “พี่ชายและน้องสาวของเอ็งแพ้ไปแล้วเพราะงั้นเอ็งห้ามแพ้อีกรู้มั้ย? ..ถ้าเอ็งแพ้อีกศักดิ์ศรีและหน้าตาในสังคมของตระกูลเย่คงจะเสื่อมเสียอย่างมาก..ระวังเอาไว้นะเพราะพวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องเขามากนัก..อย่าประมาทและถ้ามีโอกาสก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสซะ!..เดี๋ยวฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อรับผิดชอบเรื่องนี้เองเข้าใจมั้ย?”
ถึงแม้ว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่ได้พูดเช่นนั้นก็ตามแต่ถึงยังไงเย่หานห่าวก็จะไม่ยอมปล่อยเย่เชียนไปง่ายๆ อย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้เขาก็มีคำพูดของเย่เจิ้งเซียงสมทบแล้วเขาจึงโล่งใจมากขึ้นและเขาก็ไม่มีความกังวลใดๆ เลย ดังนั้นไม่ว่าเย่เจียอู๋จะให้ความสำคัญกับเย่เชียนมากแค่ไหนแต่ถ้าหากเย่เชียนพ่ายแพ้บนเวทีการประลองศิลปะการต่อสู้นั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าเย่เชียนนั้นไร้ประโยชน์และไม่มีอะไรดี ซึ่งเขาก็เชื่อว่าเย่เจียอู๋จะไม่ขุ่นเคืองใดๆ และเมื่อถึงเวลานั้นก็ยังมีคำพูดของเย่เจิ้งเซียงที่เป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเย่อีก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หานห่าวก็พยักหน้าและก้าวขึ้นไปบนเวทีจากนั้นก็เหลือบมองเย่เชียนอย่างดูถูกเหยียดหยามและอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ซึ่งเย่เชียนเองก็รู้ดีว่าเขานั้นดูไม่ค่อยดีในสายตาของคนเหล่านี้ อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็สามารถเข้าใจได้เพราะถ้าหากลองนึกภาพว่ามีคนอยู่สามคนที่กำลังต่อสู้กันแย่งชิงตำแหน่งความโปรดปรานของเย่เจียอู๋แต่ทว่าตอนนี้กลับมีอีกคนปรากฏขึ้นมาและดูเหมือนว่าเย่เจียอู๋นั้นจะโปรดปรานอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกดดันโดยธรรมชาติและพวกเขาก็ต้องการกำจัดเย่เชียนออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เย่เชียนก็ยิ้มจางๆ เพราะไม่ว่าเย่หานห่าวจะคิดยังไงในตอนนี้แต่เขาก็ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองไปแล้ว ซึ่งก่อนที่เขาจะค้นพบความจริงของข้อเท็จจริงทั้งหมดเขาจะไม่ฆ่าเย่หานห่าวโดยเด็ดขาดไม่เช่นนั้นมันก็จะเหมือนว่าเขาถูกคนอื่นหลอกใช่ไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้เย่เชียนยังสามารถเข้าใจความคิดของเย่หานห่าวได้และถือว่าระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความคับข้องใจอื่นๆ ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเย่หานห่าวในลักษณะศัตรู
“ฉันไม่สนหรอกว่าแกจะมาจากไหนหรือสมรู้ร่วมคิดอะไรกับใครแต่ในเมื่อวันนี้แกอยู่บนเวทีนี้แกก็ควรยอมรับผลที่ตามมาได้..ฉันจะทำให้แกล้มเหลวอย่างน่าสังเวชและอย่าคิดว่าท่านปู่จะช่วยแกล่ะ..นั่นเป็นเพราะเขายังไม่รู้ว่าแกเป็นแค่ขยะไร้ประโยชน์เพราะงั้นหลังจากที่ฉันพิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วแกก็จะถูกขับไล่ออกไปจากที่นี่และคลานออกจากบ้านของตระกูลเย่เหมือนหมา” เย่หานห่าวหัวเราะเยาะอย่างเย้ยหยัน
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและแสยะยิ้มพร้อมกับเจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขาทันทีเพราะคำพูดของเย่หานห่าวทำให้เขาโกรธเกรี้ยวจนอดไม่ได้ที่จะฆ่าเขาตรงนี้ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วเย่เชียนก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะและเขาก็รู้วิธีควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นเย่เชียนจึงฉีกยิ้มแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันจะไปมีประโยชน์อะไรที่จะพูดเรื่องไร้สาระอยู่แบบนี้..ผมล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าคุณจะเอาชนะผมได้ยังไง..ผมขอบอกเอาไว้เลยนะว่าถ้าหากคุณสามารถโจมตีผมได้ภายในห้าสิบครั้งผมจะเป็นฝ่ายขอยอมแพ้เอง”
ทันทีที่เสียงพูดจบลงเย่เชียนก็พุ่งออกไปข้างหน้าทันทีพร้อมกับหมัดของเขาและเป็นมวยไทเก็กที่เป็นทักษะชนิดหนึ่งที่เน้นการตั้งรับอยู่กับที่แต่เย่เชียนเปลี่ยนรูปแบบและผสมผสานเป็นการเคลื่อนไหวเชิงรุก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาใช้ไม่ใช่มวยไทเก๊กต้นตำรับแต่มันถูกผสมผสานกับมวยในยุคใหม่ที่เน้นการใช้กำลังเพื่อจัดการกับศัตรูและเหมาะกับผู้ใช้นั่นเอง แน่นอนว่าศิลปะการต่อสู้ที่เย่เชียนถนัดที่สุดคือมวยปาจี๋ที่ถูกฝึกสอนโดยหลินจินไท่ซึ่งมันสามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมและเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง
อันที่จริงทุกๆ สรรพสิ่งในโลกใบนี้ล้วนขัดแย้งแต่ก็พึ่งพาอาศัยกันและกันแน่นอนว่าศิลปะการต่อสู้เองก็ไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับนักสู้ตำรับโบราณเหล่านี้มวยในสมัยใหม่ถือได้ว่าเป็นแค่ท่าเต้นธรรมดาๆ เท่านั้น ซึ่งหลินจินไท่เป็นปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้แบบโบราณที่ไม่ใช่มือใหม่และถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งนักสู้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้จักศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณมากมายแต่เขาก็ยังขาดแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้และไม่สามารถออกแรงได้ ดังนั้นแน่นอนว่าสิ่งที่เขาส่งต่อไปยังเย่เชียนและไป๋ฮวยนั้นเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวและยังคงเป็นการเคลื่อนไหวที่นักสู้ตำรับโบราณเหล่านี้ปฏิเสธที่จะยอมรับ
อย่างไรก็ตามมันไม่มีความแตกต่างระหว่างศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงกับระดับต่ำในโลกใบนี้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่นโป่วเทียนมันสามารถแสดงพลังอันทรงพลังด้วยมือของเย่เจิ้งหรานได้แต่เมื่อถูกใช้โดยเย่หานรุ่ยแล้วมันกลับกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ธรรมดาๆ เท่านั้น ดังนั้นศิลปะการต่อสู้จึงไม่ได้อยู่ที่การเคลื่อนไหวหรือศาสตร์ระดับสูงและต่ำแต่ขึ้นอยู่ที่คนที่ใช้มากกว่า
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเดาทางง่ายของเย่เชียนแล้วเย่หานห่าวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามและคิดว่าถ้าหากทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนเป็นเช่นนี้ล่ะก็เย่หานห่าวก็ไม่จำเป็นต้องลังเลเลยแม้แต่น้อยและรู้สึกว่าการแข่งขันกับเย่เชียนนั้นช่างเสียเวลาเปล่า
หยานซื่อฉุยบนอัฒจันทร์หลังจากได้เห็นการแสดงของเย่เชียนเธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ “เฮ้อ” ออกมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการสบตากับเย่เชียนเพียงชั่วครู่แต่เธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันทรงพลังของเย่เชียนและไม่ว่าจะยังไงมันก็ไม่ควรที่จะแย่แบบนี้ใช่ไหม? สิ่งนี้ทำให้เธอตกตะลึงและเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ามันเป็นความรู้สึกของเธอเองจริงๆ หรือเปล่า?
เย่หานห่าวก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความไม่สบอารมณ์ของเย่เชียนเลยและเขาเอาแค่ยิ้มอย่างดูถูกและสวนกลับไปด้วยกำปั้น ซึ่งหมัดนั้นก็รุนแรงและเมื่อมันกระทบเข้าไปที่หน้าอกของเย่เชียนมันก็เกิดเสียงปะทะของลมอย่างดัง ซึ่งในตอนนี้เย่หานห่าวแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยเพราะเขากำลังคิดที่จะเอาชนะเย่เชียนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเพื่อที่เขาจะได้แสดงความสามารถอันโดดเด่นของเขาออกมาต่อหน้าผู้ชมทุกคน
.
.
.