ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 769 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 2
ตอนที่ 769 มิตรสหายและพี่น้อง ตอนที่ 2
เย่หานซวนนั้นรับใช้ชาติในเขตทหารของเมืองเฉิงตู ซึ่งเขาออกจากบ้านของตระกูลเย่ไปอาศัยอยู่ในกองทัพเมื่ออายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทายาทของตระกูลเย่และมีสิทธิ์ในการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ก็ตามแต่เขาก็เลือกที่จะอาศัยอยู่ในกองทัพตลอดทั้งปีและเมื่อเทียบกับพี่น้องอย่างเย่หานรุ่ยแล้วบุคลิกภาพของเย่หานซวนนั้นดูน่าเกรงขามกว่าอย่างมาก
นอกจากนี้เขายังไม่เข้าใจพฤติกรรมของพี่น้องเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่หานรุ่ยที่มักจะอาศัยความจริงที่ว่าพ่อของเขาเป็นผู้นำของตระกูลเย่จนทำตัวหยิ่งผยองในตระกูลเย่และไม่สนใจใครราวกับว่าทุกคนจะต้องฟังคำสั่งของเขา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงทายาทคนอื่นๆเลยยกเว้นเย่หานซวนเพราะทุกคนต่างก็หยิ่งและทำตัวโออ่าอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ก็เป็นพี่น้องและสมาชิกของตระกูลเย่เหมือนกันดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเย่เชียนเช่นนี้เย่หานซวนก็ต้องยืนเคียงข้างเย่หานรุ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นคนนอกก็อาจจะล้อเลียนและหัวเราะเยาะว่าตระกูลเย่นั้นไม่สามัคคีใช่ไหม?
เย่เชียนไม่ได้ไร้เหตุผลนักและเขาก็รู้ด้วยว่าจุดประสงค์ของหยานซื่อฉุยคือการรอดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่นี่แต่เย่เชียนนั้นไม่ต้องการแสดงทักษะและความสามารถที่แท้จริงของเขาต่อหน้าเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเย่หานรุ่ยก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลเย่ดังนั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งแต่มันก็ไม่ได้มีเหตุผลมากพอที่จะกำจัดเขาหรือทำอะไรมากเกินไป ไม่เช่นนั้นถ้าหากเย่เจียอู๋รู้เรื่องนี้มันก็จะเป็นผลเสียต่อทุกคน จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่เย่หานซวนแล้วพูดว่า “เรื่องที่เขาดูถูกผมน่ะผมจะปล่อยมันไปแต่เขาต้องขอโทษหานหลินตรงๆ..คุณเกิดมามีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆแต่ผมไม่เห็นว่าคุณจะมีอะไรดีเลยสักอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลเย่แต่กลับทำตัวเหมือนอันธพาลมันช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเหลือบมองเย่หานรุ่ยที่ด้านข้าง
การแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้ในวันนี้ทำให้เย่หานรุ่ยเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลเย่แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับสมาชิกของตระกูลสาขาที่ผู้คนไม่รู้จักทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก ในกรณีนี้มันเป็นความผิดของเย่หานหลินหรือไม่? นี่เป็นเรื่องน่าขันอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดเย่หานรุ่ยก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความโกรธและเมื่อเขากำลังจะทำบางอย่างเย่หานซวนก็รีบดึงเขาเอาไว้และพูดเบาๆว่า “พี่ใหญ่ตอนนี้บ้านของเรามีงานสำคัญและตอนนี้ก็มีคนนอกอยู่ด้วยเพราะงั้นอย่าสร้างปัญหาเลย..ไม่งั้นเราจะลำบากและเสียหน้ามากกว่าเดิม” ในขณะที่พูดเย่หานเซียงก็เหลือบมองหยานซื่อฉุยที่อยู่ข้างๆด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
เย่หานรุ่ยนั้นก็เหมือนจะไม่ฟังอะไรเลยเพราะเขาเพียงรู้สึกว่าหากวันนี้เขาไม่สามารถระบายความโกรธหรือแก้แค้นได้เขาก็จะไม่มีหน้ายืนอยู่ในตระกูลเย่ในอนาคต อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าหากเขาทำเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลเขาจะยิ่งเสียหน้าและทำให้ตระกูลเสื่อมเสียมากขึ้นไปอีก เมื่อคิดเช่นนั้นเย่หานรุ่ยก็สะบัดมือของเย่หานเซียงออกอย่างโกรธเกรี้ยวและพูดกับเย่เชียนว่า “อยากให้ฉันขอโทษสุนัขรับใช้งั้นเหรอ?..หืมฝันไปเถอะ..มันโกงฉันบนสังเวียนการประลองเพราะงั้นถ้ามันไม่คุกเข่าขอโทษฉันต่อหน้าล่ะก็แกจะไม่มีชีวิตออกไปจากที่นี่ได้..นี่คือบ้านของตระกูลเย่และฉันสามารถทำทุกอย่างที่ฉันพูดได้!”
เมื่อเห็นเช่นนี้เย่เชียนก็พูดอย่างเย้ยหยันว่า “นี่แกยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ?..ชัยชนะของการประลองศิลปะการต่อสู้บนสังเวียนนั้นมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแกเอง..ถ้าแกไม่แข็งแกร่งพอแก็จะพ่ายแพ้แต่แกกลับหน้าด้านโทษคนอื่น..ถ้าตระกูลเย่มีลูกหลานอย่างแกตระกูลคงจะเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก..แกไม่คู่ควรกับการเป็นทายาทของตระกูลเย่และไม่คู่ควรกับการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ของเย่เจิ้งหรานเลย”
“ฉันเนี่ยนะจะแพ้คนอย่างมัน?..ฉันเป็นถึงหลานชายคนโตสายตรงของตระกูลเย่และมันเป็นเพียงแค่มดที่อยู่ตรงหน้าฉัน..ถ้าไม่ใช่เพราะมันโกงฉันจะแพ้มันงั้นเหรอ?” เย่หานรุ่ยพูด
“การแข่งขันมักจะพูดกันแต่เรื่องแพ้หรือชนะโดยไม่คำนึงถึงวิธีการเพราะงั้นถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะใช้วิธีการอะไรก็ตามแล้วถ้าแกไม่สามารถรับมือได้ล่ะก็นั่นก็หมายความว่าแกไร้ความสามารถเอง..อย่ามองตัวเองว่าสูงส่งกว่าใครและอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป..การที่สถานะของอีกฝ่ายต่ำต้อยกว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทักษะและความสามารถของเขาจะด้อยกว่าแกเสมอไป..เพราะฉะนั้นสาเหตุของความล้มเหลวในวันนี้แกควรจะไปหาสาเหตุจากตัวของแกเอง” เย่เชียนพูดต่อ “ถ้าท่านปู่รู้พฤติกรรมของแกในวันนี้แกคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง?..ถ้าแกไม่มั่นใจแกก็ลองดูสิ..แกจะได้รู้สักทีว่าคนอื่นไม่ได้อ่อนแออย่างที่แกคิด!”
“แม่งเอ๊ย..แก..แกคิดว่าฉันกลัวงั้นเหรอ!” เย่หานรุ่ยตะโกน อย่างไรก็ตามน้ำเสียงของคำพูดดูขาดความมั่นใจไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าตอนที่เขาสู้กับเย่หานหลินนั้นเย่หานหลินไม่ได้ใช้กลโกงใดๆแต่เป็นทักษะที่แท้จริง ซึ่งในความเห็นของเย่หานรุ่ยแล้วเหตุผลที่เย่หานหลินสามารถชนะได้ในตอนนั้นก็เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเย่หานหลินที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนทำให้เขาลังเลว่าจะรับมืออย่างไร แต่ในตอนนี้มีอยู่บทเรียนหนึ่งและเขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขารู้ดีว่าเย่หานหลินกับเขานั้นมีช่องว่างระหว่างการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณที่แตกต่างกันอยู่
“มันไม่มีปัญหาหรอกถ้าจะประลองกันอีกครั้งแต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ!” เย่เชียนพูด “ก่อนหน้านี้บนสังเวียนการประลองเขาได้เอาชนะแกไปแล้วและเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปสู้กับแกอีก..แต่เนื่องจากแกไม่ยอมถ้างั้นฉันก็จะให้โอกาสแกอีกครั้ง..ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีค่าใช้จ่ายเสมอเพราะงั้นถ้าหานหลินเอาชนะแกได้อีกแกต้องคุกเข่าและยอมรับความผิดพลาดและความล้มเหลวของแกต่อหน้าผู้คนมากมายเข้าใจมั้ย?”
“ฉันต้องคุกเข่ายอมรับความล้มเหลวของฉันงั้นเหรอ?..เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้!” เย่หานรุ่ยปฏิเสธ
“ถ้าแกไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร..แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องประลองอะไรกันอีกและนั่นหมายความว่าแกไม่มีโอกาสได้แก้มือและกู้คืนศักดิ์ศรีและหน้าตาในสังคมและลบล้างความอับอายของแกอีกต่อไป..แกจะต้องจมปลักไปกับความผิดหวังในอนาคตและเสียงหัวเราะเย้ยหยันการดูถูกของคนอื่น..แกในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลเย่แต่กลับไม่กล้ามองหน้าคนอื่นๆ” เย่เชียนแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากนั้นรู้มั้ยว่าผลที่ตามมาของความล้มเหลวในสังเวียนของแกจะเป็นยังไง?..บอกตรงๆเลยว่าท่านปู่ไม่พอใจอย่างมากเพราะงั้นถ้าแกลบล้างความอัปยศนี้ไปไม่ได้ล่ะก็นั่นหมายความว่าแกจะไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้อีกต่อไป”
“หึ..ตระกูลสาขาเป็นได้แค่สุนัขนับใช้ของตระกูลหลัก..การให้สุนัขรับใช้มีสิทธิ์มันก็เหมือนเรื่องตลก..เอาเถอะฉันตกลงเพราะฉันอยากเห็นพวกแกแพ้ฉันแทบจะไม่ไหวแล้ว” เย่หานรุ่ยพูดโดยไม่ลังเล
ทันทีที่คำพูดของเย่หานรุ่ยจบลงรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เชียนทันที ส่วนเย่หานเซียงที่ด้านข้างก็ส่ายหัวเล็กน้อยเพราะเขานั้นรู้ถึงการฝึกฝนของเย่หานหลินและเย่หานรุ่ยอย่างชัดเจน ซึ่งบางทีการฝึกฝนของเย่หานหลินอาจไม่ดีเท่ากับของเย่หานรุ่ยแต่เย่หานรุ่ยนั้นหยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเองมากเกินไป นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของเย่หานหลินค่อนข้างที่จะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและมันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เย่หานรุ่ยจะแพ้เย่หานหลิน ซึ่งตราบใดที่เย่หานรุ่ยยังมีทัศนคติแบบนี้เกรงว่าเขาคงจะต้องล้มเหลวอีกครั้งเป็นแน่
หยานซื่อฉุยเองก็ฉีกยิ้มที่มุมปากเช่นกันเพราะหลานชายคนโตของตระกูลเย่ในสายตาของเธอเป็นเพียงแต่คนโง่เขลาที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งในตระกูล ซึ่งนี่เป็นผลดีสำหรับสำนักม่อจื๊อของเธอย่างยิ่งเพราะถ้าหากบุคคลดังกล่าวสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ล่ะก็แน่นอนว่าตระกูลเย่จะยิ่งตกต่ำลงนับตั้งแต่นี้ไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็หันไปเหลือบมองเย่หานหลินพร้อมกับตบไหล่ของเขาเบาๆแล้วพูดว่า “จำสิ่งที่ผมพูดกับคุณเอาไว้ให้ดีล่ะ”
เย่หานหลินก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นเพราะเขารู้ดีว่าคำพูดของเย่เชียนหมายถึงอะไร ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการเตือนตัวเองว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ไม่ได้อยู่ที่ความงดงามของท่วงท่าการเคลื่อนไหวแต่เป็นการโจมตีแบบตรงไปตรงมาที่สุดซึ่งมักจะได้ผลมากกว่า หากว่ากันว่าครั้งแรกที่เย่หานหลินเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเย่เชียนนั้นค่อนข้างไม่สมบูรณ์เพราะมีแค่รูปแบบการโมตีเท่านั้นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของมัน ดังนั้นหลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของเย่เชียนอีกครั้งอย่างชัดเจนเขาก็รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้เย่เชียนปกป้องเขาในลักษณะนี้เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเผชิญหน้ากับทายาทสายตรงของตระกูลเย่และเขาจะไม่มีวันทำให้เย่เชียนต้องผิดหวัง นั่นเป็นเพราะความพากเพียรนี้เองที่ทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
เขายังได้ยินการสนทนาของเย่เชียนกับเย่หานรุ่ยอย่างชัดเจนในตอนนี้และเขาก็มีความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียนและถึงแม้ว่ามันจะคลุมเครือมากแต่เขาก็พอจะเข้าใจ ซึ่งมันกลับกลายเป็นว่าเย่เชียนนั้นเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานแต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจนั้นก็คือทำไมเย่หานรุ่ยถึงพูดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเย่เชียนจริงๆ? หรือว่าถังซูหยานไม่ใช่แม่ของเย่เชียนอย่างงั้นหรือ? เพราะสิ่งที่เขาได้ยินจากการสนทนาและสิ่งที่เขาเข้าใจก็คือเย่เชียนนั้นเป็นลูกชายของเย่เจิ้งหรานกับถังซูหยานนั่นเอง
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้เพราะสิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเอาชนะเย่หานรุ่ยและเขาต้องไม่ปล่อยให้ความคาดหวังของเย่เชียนที่มีต่อเขาต้องพังทลาย เมื่อคิดเช่นนั้นเย่หานหลินก็ก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวและเหลือบมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “เอาล่ะนะ!” ทันทีที่เสียงจบลงเย่หานหลินก็พุ่งออกไปข้างหน้า ซึ่งมวยที่เย่หานรุ่ยใช้มันก็ยังคงเป็นมวยแบบเดิมโดยมีช่องโหว่ขนาดใหญ่และการเคลื่อนไหวนั้นก็แข็งกระด้างและเดาทางง่ายอย่างมาก
แต่ทว่าเย่หานรุ่ยกลับหลบหลีกได้อย่างง่ายดายและบางครั้งก็ปัดการโจมตีของเย่หานหลินเพราะเขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เย่หานหลินใช้ท่านั้นทีเผลอ ดังนั้นการโจมตีของเขาจึงไม่รุกมากเกินไปเพื่อป้องกันไม่ให้เย่หานหลินใช้ท่านั้นอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องหลบหลีกและป้องกันอยู่ตลอดเวลาและผลที่ตามมาก็คือเขาไม่สามารถที่จะโจมตีอย่างบ้าคลั่งได้อีกและเย่หานหลินจึงได้เปรียบโดยธรรมชาติ
ฉากนี้ทำให้เย่หานห่าวและเย่หานถิงที่ด้านข้างต้องตกตะลึงเพราะมันไม่เหมือนกับการแข่งขันการประลองครั้งก่อนที่เย่หานรุ่ยเป็นฝ่ายรุก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเย่หานหลินเปลี่ยนเชิงมวยโดยกะทันหัน ดังนั้นหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเย่หานรุ่ยจะต้องแพ้อีกครั้ง
“พี่ใหญ่!..นี่พี่กำลังทำอะไรอยู่..รีบๆตั้งใจจัดการไอ้สุนัขรับใช้สิ..จะไปมัวแต่ตั้งรับการโจมตีทำไม?” เย่หานถิงตะโกนจากด้านข้าง
“หึ!” เย่เชียนถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์และมองไปที่เย่หานถิงพร้อมกับเจตนาฆ่าอันเย็นยะเยือกในดวงตาของเขาจนทำให้เย่หานถิงถึงกับตัวสั่นในทันทีและเธอก็ปิดปากของเธอไปโดยไม่รู้ตัวและไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก
ส่วนเย่หานซวนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาแทบไม่อยากที่จะดูอีกต่อไปเพราะตอนจบและผลลัพธ์นั้นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
.
.
.
.