ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 783 โลกของคนหนุ่มสาว
ตอนที่ 783 โลกของคนหนุ่มสาว
ตระกูลเย่นั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเย่เชียนและเขาก็ไม่สามารถอยู่กับตระกูลเย่ตลอดไปได้ ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้สึกขอบคุณอันซือที่เหมือนช่วยเหลือเขาในทางอ้อมเกี่ยวกับการตามหาครอบครัวและชี้นำเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งศิลปะการต่อสู้ตำรับโบราณ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงเย่เชียนก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของอันซือและยิ่งไปกว่านั้นยังมีเย่เหวินน้องสาวของเขาอีกคน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าความผิดของอันซือจะมากแค่ไหนแต่สำหรับเย่เหวินแล้วเธอก็ยังเป็นน้องสาวของเขาเสมอ ความรักในครอบครัวมีค่ามากและเย่เชียนก็จะไม่ยอมให้เธอต้องทนทุกข์กับโศกนาฏกรรมเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอย่างแน่นอน
เย่เชียนนั้นไม่ได้คุ้นเคยกับสมาชิกของตระกูลเย่เลยแต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้จักกับเย่เจิ้งเซียงมาเป็นเวลานานแต่เย่เชียนก็เข้าใจบุคลิกและนิสัยของเย่เจิ้งเซียงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าหากเย่เชียนไม่ปล่อยเรื่องไปล่ะก็มันจะส่งผลเสียต่ออันซือและเย่เหวินอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านโดยหวังว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่มายุ่มย่ามกับทั้งสองคนอีกและเพื่อที่จะให้เย่เจียอู๋ทำตามสัญญาเย่เชียนก็ต้องไว้หน้าเขาเช่นนี้ ตราบใดที่ยังมีคำพูดของเย่เจียอู๋เย่เชียนก็เชื่อว่าเย่เจิ้งเซียงจะไม่กล้าทำอะไรใดๆมากเกินไปและอย่างน้อยๆเย่เชียนก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของอันซือกับเย่เหวินอีก
เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างเย่เจียอู๋กับเย่เชียนแล้วม่อหลง,ชิงเฟิงและคนอื่นๆต่างก็งุนงงด้วยประโยคคำว่า ‘ปู่’ ? หมายความว่าอย่างไรหรือนั่นจะหมายความว่าเย่เชียนได้พบญาติของเขาและเขาสามารถอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเช่นนี้ได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครอบครัวของเย่เชียนนั้นเป็นตระกูลที่มีอำนาจไม่น้อยเลย
เย่เจียอู๋ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดว่า “นี่คือเสน่ห์ที่แท้จริงของผู้ชายเลือดนักสู้ในตระกูลเย่ของฉัน..ไม่ต้องกังวลไปเพราะในอนาคตฉันจะทำในสิ่งที่ปู่คนหนึ่งควรจะทำอย่างแน่นอนและฉันจะสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้เอ็ง!”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “คุณปู่ครับผมมีบางอย่างที่อยากจะบอกจริงๆแต่ผมกลัวว่าคุณปู่จะโกรธ”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ..เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” เย่เจียอู๋พูด “ถึงคุณปู่จะแก่มากแล้วแต่ถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยผมก็จะช่วยอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ม่อหลง,ชิงเฟิงและคนอื่นๆก็เข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้วและไม่น่าแปลกใจเลยที่เย่เชียนจะดูคล้ายกับคนเหล่านี้มาก ปรากฎว่านี่เป็นครอบครัวของเย่เชียนจริงๆและเนื่องจากคนเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสของเย่เชียนดังนั้นจึงเป็นผู้อาวุโสของพวกเขาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะแสดงความเคารพ อย่างไรดังนั้นพวกเขาจึงอยู่เงียบๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“คุณปู่ครับคือผมไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่อย่างถาวรเพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างรอให้ผมไปจัดการอยู่เพราะงั้นผมคิดว่าผมจะทันทีเมื่อผมอาการดีขึ้น” เย่เชียนพูด
“ไม่!” เย่เจียอู๋ไม่ได้รอให้เย่เชียนพูดจนจบเพราะเขารีบปฏิเสธทันที “เอ็งเพิ่งจะกลับมาแล้วเอ็งจะออกไปไหนอีก..เราห่างกันมาตั้งหลายปีฉันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะพูดคุยด้วย..เอ็งจะทิ้งไปแบบนี้ได้ยังไง?”
“ไม่ใช่แบบนั้น..ผมไม่ได้ไม่อยากกลับบ้านแต่มันยังมีหลายสิ่งที่ผมต้องไปทำ..ผมคิดว่าคุณปู่คงไม่อยากเห็นลูกหลานของตระกูลเย่พึ่งพาอาศัยแต่ครอบครัวและบรรพบุรุษอย่างเดียวหรอกใช่ไหม..เหมือนลูกหลานที่ไร้ความสามารถที่เอาแต่พึ่งพาพลังและอำนาจของบรรพบุรุษแบบนั้น?” เย่เชียนพูด
“ฉันไม่ต้องการฟังข้ออ้างอะไรทั้งนั้น..ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเพราะงั้นฉันรู้ว่ามันเป็นยังไง” เย่เจียอู๋พูด “คนที่ดิ้นรนด้วยตัวเองต่อให้ตระกูลจะไม่ใช่ตระกูลที่มีฐานะก็ตามแต่มันก็เพียงพอแล้วพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ..แต่ฉันบอกได้เลยว่าถ้าเอ็งอยากได้อะไรฉันก็จะให้เอ็งทุกอย่าง..ถ้าเอ็งต้องการอำนาจหรืออิทธิพลในประเทศจีนมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากอะไร..ทั้งสถานะและการเงินไม่ว่าเอ็งต้องการมากแค่ไหนฉันก็จะให้!”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “คุณปู่ครับคุณไม่เข้าใจที่ผมพูด..ผมไม่ได้ต้องการอำนาจหรือเงินเพราะสิ่งที่ผมต้องการคือเวลาและความท้าทาย..ถ้าคุณให้ทุกสิ่งกับผมแล้วชีวิตนี้มันจะไปมีความหมายอะไร..นอกจากนี้ผมไม่ได้ต้องการแค่อำนาจและเงินเพราะผมยังมีภาระหน้าที่อีกมากมายที่ต้องแบกรับเอาไว้เพราะงั้นคุณคิดว่าผมจะต้องการอะไรอีกงั้นหรอ?”
“ผมขอแนะนำให้คุณรู้จัก..นี่คือพี่น้องของผมและเป็นพี่น้องที่เกิดมาเพื่อตายแทนกันได้!” เย่เชียนพูด “คุณต้องการให้ผมทิ้งพี่น้องเหล่านี้ไปอย่างงั้นหรอ..นี่ไม่ใช่นิสัยของผมและผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่คุณปู่ต้องการจะเห็นใช่มั้ย?”
เย่เจียอู๋ก็หันไปมองม่อหลงและคนอื่นๆที่ยิ้มและพยักหน้าให้กับเขาซึ่งสีหน้าของเย่เจียอู๋ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักและเขาก็หันกลับมาที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “ฉันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลและฉันก็ไม่ต้องการให้เอ็งเป็นคนที่ไร้สาระที่มักจะอาศัยแต่บารมีของครอบครัว..เพียงแต่ว่าถ้าหากฉันรู้ว่าลูกหลานไปทำสิ่งที่อันตรายแบบนั้นฉันจะรู้สึกโล่งใจได้อย่างงั้นเหรอ”
เย่เชียนก็กำลังจะเปิดปากพูดแต่พอเห็นว่าถังซุหยานขยิบตาให้เขาเย่เชียนก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงไป จากนั้นถังซูหยานก็ก้าวออกมาแล้วพูดว่า “คุณพ่อคะ..คนหนุ่มสาวสมัยนี้มีความคิดเป็นของตัวเองและเราก็ทำได้เพียงแค่เป็นห่วงในฐานะผู้อาวุโสเพราะงั้นสิ่งที่เสี่ยวเชียนพูดนั้นไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ..แต่เสี่ยวเชียนอย่างน้อยๆก็อยู่ที่บ้านต่ออีกสักสองสามวันแล้วคุยกับคุณปู่สักหน่อยก็ยังดี”
ตั้งแต่ถังซูหยานพูดเช่นนี้เย่เชียนกับเย่เจียอู๋ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เย่เจียอู๋หันไปมองม่อหลงและคนอื่นๆจากนั้นก็พูดว่า “พวกเอ็งเป็นพี่น้องของเย่เชียนใช่ไหม..พวกเอ็งเป็นลูกผู้ชายตัวจริงและพวกคุณจะต้องพักดีกับเย่เชียนตลอดไป..เป็นพี่น้องที่ดีและร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นตายไปด้วยกันและไม่ทิ้งกัน!”
ม่อหลงก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยและพูดว่า “ครับผม..คุณคือผู้อาวุโสของบอสเพราะงั้นคุณก็คือผู้อาวุโสของพวกเราด้วย..เราร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นตายกับบอสมาหลายปีแล้วและเราจะไม่มีวันทิ้งกัน..เราจะไม่ล้มเลิกความพยายามแต่เราหวังว่าความสำเร็จของเราจะเกิดขึ้นด้วยมือของพวกเราเองและไม่ใช่ถนนที่ผู้ใหญ่วางเอาไว้เพราะถึงแม้ว่ามันจะราบรื่นและง่ายดายแต่มันก็ขาดความสนุกในการผจญภัย..วันใดที่เรายืนอยู่บนยอดจุดสูงสุดได้สำเร็จจริงๆเราจะสามารถมองย้อนกลับไปและพบว่านี่คือสิ่งที่เราพยายามด้วยตัวเอง!”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะม่อหลงก็พูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณอาจไม่อยากได้ยินคำเหล่านี้และคุณอาจคิดว่านี่เป็นความคิดที่ไร้สาระของหนุ่มๆอย่างพวกเราแต่พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะเข้าใจและปล่อยคนรุ่นใหม่อย่างพวกเราผจญภัยกันเอง”
คำพูดของม่อหลงสมเหตุสมผลอย่างมากจนเย่เจียอู๋ถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินมันและมีสัมผัสที่ตื้นตันเล็กน้อยในหัวใจของเขาและเขาพยักหน้าอย่างลับๆพร้อมคิดว่า ‘นี่แหละลูกผู้ชาย!’ ในฐานะผู้นำของตระกูลเย่รุ่นก่อนและเป็นคนแรกที่บุกเบิกในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆแล้วเขาเองก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดีแต่เหตุผลที่เขาไม่ปล่อยให้เย่เชียนไปทำสิ่งที่อันตรายเพียงเพราะเขากลัวที่จะสูญเสียหลานชายของเขาไปอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเย่เจียอู๋ไม่ต้องการให้ลูกหลานของเขาเป็นคนไร้ความสามารถที่พึ่งพาบารมีและอำนาจของบรรพบุรุษเพื่อทำสิ่งต่างๆ
“พวกเอ็งสมกับเป็นลูกผู้ชายตัวจริง..ฉันดีใจมากที่เสี่ยวเชียนมีพี่น้องแบบนี้..ฉันเองก็รู้ถึงความคิดของคนหนุ่มสาวเช่นกันและรู้ว่าพวกเอ็งชอบอิสระและไม่ชอบการถูกควบคุม” เย่เจียอู๋พูดต่อ “เอาเถอะเพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทุกอย่างก็ต้องรอเป็นไปตามโชคชะตาอยู่ดี..แต่อย่างน้อยๆก็ต้องรอจนกว่าอาการบาดเจ็บจะหายดีก่อนใช่มั้ย?”
เนื่องจากเย่เจียอู๋พูดแบบนี้แล้วเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปเขาจึงยิ้มให้ม่อหลงแล้วพูดว่า “พวกพี่ทุกคนก็กลับไปกันก่อนและไปทำธุระของตัวเองซะ..รอจนกว่าอาการบาดเจ็บของผมจะหายแล้วค่อยเจอกันทีหลัง..พี่ม่อหลงพี่ต้องอดทนและอย่าทำอะไรวู่วามรู้มั้ย?”
ม่อหลงก็พยักหน้าเล็กน้อยและตกลงและเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วเย่เจียอู๋ก็ตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจว่า “แซ่สกุลของเอ็งคือม่ออย่างงั้นเหรอ??”
“ใช่ครับ..ม่อหลง!” ม่อหลงพูด
“ฉันเองก็มีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ชื่อม่อเหมือนกันแต่น่าเสียดายที่เขาจากไปเมื่อหลายปีก่อน..คิดๆดูแล้วฉันก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ไม่หาย” เย่เจียอู๋ถอนหายใจเล็กน้อยและมีร่องรอยของความเศร้าและความเหงาปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเขา
ม่อหลงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและเมื่อเขากำลังจะเปิดปากของเขาและกำลังจะพูดจู่ๆเย่เชียนก็ขยิบตาให้เขาอย่างเร่งรีบ แต่ไม่ใช่ว่าเย่เชียนไม่เชื่อในตัวของเย่เจียอู๋แต่เป็นความลับในตัวตนของม่อหลงที่ละเอียดอ่อนในตอนนี้เพราะถ้าหากเรื่องของเขาในฐานะหลานชายของอดีตผู้นำสูงสุดของสำนักม่อจื๊อถูกแพร่กระจายออกไปมันก็จะเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อเห็นสัญญาณเตือนจากเย่เชียนแล้วม่อหลงก็หยุดการกระทำของเขาไปในทันที
ในฐานะนักแม่นปืนหรือพลสไนเปอร์ระดับแนวหน้าขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าแล้วความอดทนของม่อหลงนั้นจึงแข็งแกร่งอย่างมากเพราะเขาถึงกับสามารถอยู่นิ่งๆทั้งวันทั้งคืนในที่เดียวและควบคุมอารมณ์ของเขาได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากในการควบคุมอารมณ์เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักม่อจื๊อที่ทำให้เขาสนใจและปลุกเร้าอารมณ์ของเขาอย่างมากเขาก็จะไม่แสดงอาการแบบนี้อย่างแน่นอน
“กลับกันไปก่อนเถอะ..อย่าลืมโทรมารายงานนะเพราะผมอยากรู้ข่าวและข้อมูลโลกภายนอกทั้งหมด” เย่เชียนพูด “แจ็ค!..นายต้องทำงานหนักขึ้นเพราะตอนนี้พี่ม่อหลงเขามีงานของเขาเองเขาเลยไม่สามารถไปช่วยนายได้”
.
.
.
.
.
.
.