ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 786 พูดคุยเรื่องราวต่างๆ
ตอนที่ 786 พูดคุยเรื่องราวต่างๆ
เย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวก็รู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งกับคำพูดของเย่เจียอู๋เพราะทั้งสองคนที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากใดๆมาก่อนและไม่สามารถทนทุกข์ได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการบังคับให้พวกเขาไปที่กองทัพมันจึงเป็นเหมือนการทรมานพวกเขาอย่างมาก ส่วนเย่หานซวนนั้นอยู่ในกองทัพมานานมาและไม่ต้องสงสัยเลยว่าทักษะทางการทหารของเย่หานซวนนั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ซึ่งวิธีการพิจารณาดังกล่าวจึงค่อนข้างลำเอียง
เย่เจียอู๋ไม่ได้สนใจสิ่งนี้เพราะที่ทั้งสองเป็นเหมือนทุกวันนี้เพราะพวกเขามักจะพึ่งพาสิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้มาโดยตลอด พวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้และแค่เล่นสนุกกับชีวิตไปวันๆ ซึ่งถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปตระกูลเย่มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆและเย่เจียอู๋ก็ไม่อยากเห็นลูกหลานของตระกูลลำบากเพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นทายาทในสายเลือดของตน
“หึ!” เย่เจียอู๋ตะคอกอย่างรุนแรง “ในบรรดาทายาทของตระกูลเย่ทั้งหมดพวกเอ็งทั้งสองคนเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดเลย..พวกเอ็งเอาแต่ใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ..ถ้าตระกูลเย่ตกอยู่ในมือของพวกเอ็งมันจะเป็นยังไง?..ถึงแม้ว่าการใช้เกณฑ์นี้ในการพิจารณาจะไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเอ็งแต่มันก็เป็นการวัดความสามารถและยังสามารถใช้โอกาสนี้ในการเผชิญกับโลกภายนอก..สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเอ็งในอนาคต..เอาล่ะไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าจะส่งตัวพวกเอ็งไปที่เขตทหารเมืองหนานจิงในอีกไม่กี่วันนี้..จำเอาไว้ว่าอย่าหวังจะใช้ความสัมพันธ์และอิทธิพลของตระกูลเพื่ออำนวยความสะดวกของพวกเอ็ง..ทุกอย่างจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด!”
เย่หานรุ่ยกับเย่าหานห่าวก็ไม่เต็มใจอย่างมากและเมื่อพวกเขากำลังจะเปิดปากและต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเย่เจิ้งเซียงก็รีบขยิบตาให้พวกเขาเพราะสิ่งไหนที่เย่เจียอู๋ได้ตัดสินใจไปแล้วก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทำตัวขี้ขลาดเช่นนี้ยอมตกลงอย่างกล้าหาญเสียยังดีกว่าเพราะอย่างน้อยๆพวกเขาก็อาจจะสามารถสร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยๆให้กับเย่เจียอู๋ได้ ส่วนในอนาคตเย่เจิ้งเซียงจะคิดหาวิธีอื่นเอง
เมื่อเห็นการขยิบตาของเย่เจิ้งเซียงพี่น้องทั้งสองก็ปิดปากไม่พูดอะไรแต่พวกเขายังโกรธอยู่เล็กน้อยโดยดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่เย่เชียนกับเย่หานซวนและเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างรุนแรง ส่วนเย่เชียนกับเย่หานซวนต่างก็ยิ้มให้กันและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
อันที่จริงเย่เจิ้งเซียงก็รู้ดีว่าเย่หานซวนไม่ได้มีเจตนาที่จะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่เลย ดังนั้นจึงไม่เป็นภัยคุกคามต่อลูกชายสองคนของเขา ส่วนเย่เจิ้งเฟิงก็เป็นพี่น้องเขาและเขาก็รู้นิสัยของน้องชายดีเพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ถึงแม้ว่าเย่หานซวนจะเต็มใจต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ตามถึงยังไงเย่เจิ้งเฟิงก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักและบางทีเย่เจิ้งเฟิงกับเย่หานซวนอาจจะยอมถอยให้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นแตกต่างออกไปเพราะเย่เชียนที่ได้รับการโจมตีของตนไปอย่างเต็มที่แต่กลับได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทำให้เย่เชียนโดดเด่นในหมู่ลูกหลานรุ่นใหม่และตัวละครดังกล่าวย่อมเป็นภัยต่อลูกชายของเขาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของเย่เชียนคือสำนักถังของถังซูหยานด้วยเหตุนี้หากสำนักถังสนับสนุนเย่เชียนล่ะก็เย่เชียนจะเป็นศัตรูที่ทรงพลังที่สุดของเขากับลูกชาย
พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วและบรรดาแขกที่มาอวยพรวันเกิดของเขาก็ได้ทยอยออกจากบ้านของตระกูลเย่ไปเมื่อวานนี้และทันทีที่พิธีกราบไว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลงลูกหลานของตระกูลเย่ก็เริ่มจองตั๋วเครื่องบินทีละคนเตรียมจะกลับและแยกย้ายกันไป บุตรของสายหลักประกันไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการรณรงค์ของปรมาจารย์
จากนั้นเย่เจียอู๋ก็พาเย่เชียนไปที่ห้องของเขาเพราะเขาไม่ค่อยได้คุยกับเย่เชียนนักไม่ว่าจะเป็นในฐานะปู่หรือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเย่ก็ตามแต่เย่เจียอู๋ก็ต้องการพูดคุยกับเย่เชียนเพื่อยืนยันความคิดของเขา ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมตอนแรกเย่เชียนถึงได้สบายใจเมื่อคุยกับเย่เจียอู๋เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย บางทีเย่เชียนอาจจะรู้สึกกดดันมากเกินไป
“เสี่ยวเชียนเราไม่ได้พูดคุยกันในฐานะปู่กับหลานมานาน..เรามาคุยกันหน่อยจะได้มั้ย?” เย่เจียอู๋พูด “อย่ารู้สึกกดดันเกินไปมันเป็นแค่การพูดคุยแบบสบายๆกับคนในครอบครัว..ฉันได้ส่งคนไปตรวจสอบเอ็งแล้วและฉันรู้ว่าเอ็งเป็นหัวหน้าองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ย”
แม้ว่าเย่เชียนจะได้ยินความหมายนี้จากคำพูดของเย่เจียอู๋เมื่อเขาอยู่ในโรงพยาบาลแต่ในขณะนั้นมีคนจำนวนมากเกินไปและเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถาม ซึ่งตอนนี้เมื่อเย่เจียอู๋พูดถึงของเรื่องนี้อีกครั้งหัวใจของเย่เชียนก็ค่อนข้างอึดอัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คุณส่งคนมาสืบค้นผมหรอ?”
เย่เจียอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “อย่าเข้าใจฉันผิด..ฉันทำแบบนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเอ็ง..ฉันแค่อยากรู้ว่าเอ็งใช้ชีวิตยังไงในหลายปีที่ผ่านมา..ปรากฏว่าเอ็งเป็นถึงผู้นำองค์กรทหารรับจ้างเพราะงั้นเรื่องนี้ในบฐานะปู่ฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เอ็งสามารถสร้างองค์กรที่ดีได้ด้วยตัวเอง…”
“นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของผมแต่เป็นพี่น้องของผมทุกคนที่ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุความสำเร็จในทุกวันนี้ได้” ก่อนที่คำพูดของเย่เจียอู๋จะจบเย่เชียนก็ขัดจังหวะเขา
หน้าของเย่เจียอู๋ก็ดูไม่มีความสุขเล็กน้อยเพราะเขาเกลียดที่เขาพูดถูกขัดจังหวะแต่อีกฝ่ายก็คือหลานชายของเขาและเป็นหลานชายที่หายตัวไป 20 กว่าปี เขาจึงรู้สึกบีบคั้นหัวใจ “ถึงแม้ว่าเขี้ยวหมาป่าของเอ็งจะไม่ธรรมดาแต่มันก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเหล่านักสู้ตำรับโบราณอย่างพวกเราได้..มันเป็นได้แค่เด็กเล่นนอกจากนี้มันก็อันตรายเกินไป..ตระกูลเย่น่ะมีประวัติศาสตร์มากกว่าพันปีและอิทธิพลของตระกูลก็ได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศจีน..ตลอดหลายปีมานี้ฉันกังวลเสมอว่าใครควรได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลและใครจะสามารถนำตระกูลเย่ไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้” เย่เจียอู๋พูด
“คุณปู่..ผมจะบอกอะไรให้นะ” เย่เชียนพูด “การพัฒนาของตระกูลเย่น่ะหากคุณต้องการการพัฒนาจริงๆคุณก็ต้องดำเนินการปฏิรูปใหม่และนำกฎวิธีการเอาตัวรอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุดไปใช้ไม่เช่นนั้นตระกูลเย่มีแต่จะย่ำแย่ลงเท่านั้น”
“เอ็งหมายความว่าไง” ชายชราถามด้วยความสงสัย
“มันง่ายมากก็แค่ดูว่าใครคือเสาหลักที่แท้จริงของตระกูลเย่และไม่ใช่ตระกูลหลักแต่เป็นลูกหลานตระกูลสาขาที่ชนะการประลองศิลปะการต่อสู้..ภายใต้สถานการณ์แบบนี้คุณก็น่าจะชัดเจนได้แล้วเพราะเมื่อไหร่ที่ตระกูลเย่พบเจอกับวิกฤตล่ะก็คนแบบนี้แหละที่จะนำตระกูลเย่ผ่านมันไปได้..ว่ากันว่าคุณปู่เป็นบุคคลแรกในตระกูลเย่ที่บุกเบิกและนำเย่ออกจากระบบศักดินาพันปีและนำตระกูลเย่ก้าวไปสู่ความทันสมัย..ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณต้องสนใจแยกความแตกต่างระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลสาขาด้วย” เย่เชียนพูดอย่างช้าๆ “คุณมีเพียงสองทางเลือกหนึ่งคือส่งตระกูลเย่ให้ไปอยู่ในมือของทายาทตระกูลหลักแต่ในอนาคตตระกูลจะย่ำแย่ลง..ประการที่สองหากตระกูลเย่ถูกส่งต่อไปยังลูกหลานของตระกูลสาขาตระกูลเย่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพราะนี่คือสังคมสมัยใหม่ที่เน้นสิทธิมนุษยชน..ผมคิดว่าคุณปู่ควรจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม..ดังนั้นผมจึงคิดว่าถ้าหากตระกูลเย่ต้องการพัฒนาจริงๆตระกูลเย่จะต้องดำเนินการปฏิรูปและนำกฎแห่งการอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุดมาใช้!”
คิ้วของเย่เจียอู๋ก็ขมวดเข้าหากันแน่นหากเป็นกรณีก่อนหน้านี้ถ้าเขาได้ยินคำพูดของเย่เชียนปฏิกิริยาแรกของเขาคงจะเป็นการดุด่าสาปแช่งเย่เชียนอย่างดุเดือดอย่างแน่นนอน แต่เนื่องจากเขาได้เห็นเย่หานหลินเอาชนะเย่หานรุ่ยในการแข่งขันการประลองศิลปะการต่อสู้แล้วเขาเองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน “เอาเถอะ!” น้ำเสียงของเย่เจียอู๋ก็ดูสงบมากและการแสดงออกของเขาก็จริงจังมากเช่นกัน
“เนื่องจากพวกเขาพ่ายแพ้ในการแข่งขันการประลองเพราะงั้นสิ่งนี้จะทำให้ทายาทสายตรงของตระกูลเย่สูญเสียความเป็นผู้นำและเกิดความกดดันจนเป็นภัยคุกคามในใจ..เมื่อผู้คนสูญเสียสมาธิและความตั้งใจพวกเขาก็จะสูญเสียแรงจูงใจและกลายเป็นคนไม่เอาไหนและไม่เต็มใจที่จะก้าวหน้าต่อ..ดูจากเย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวทั้งสองเป็นตัวอย่างเพราะในหมู่ทายาทสายตรงพวกเขาไม่มีคู่แข่งและแม้แต่เย่หานซวนที่มีคุณสมบัติมากพอเพียงคนเดียวก็ไม่มีความตั้งใจที่จะแข่งขันเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลเลย..สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาอ่อนแออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เย่เชียนพูด “คุณปู่คุณเป็นคนที่เดินข้ามสะพานและผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าผมเพราะงั้นผมก็เชื่อว่าคุณจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ละเอียดถี่ถ้วนกว่าผม..ในวันข้างหน้าหากตระกูลเย่อยู่ภายใต้เย่หานรุ่ยกับเย่หานห่าวล่ะก็ผมเกรงว่าตระกูลเย่จะเผชิญกับพายุลูกใหญ่..ซึ่งถ้าคุณปู่ยังอยู่มันอาจจะไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใดๆแต่ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่แล้วมันก็ไม่มีใครในตระกูลเย่ที่จะรับมือได้..เอาเถอะครับคำพูดของผมอาจจะดูจริงจังไปหน่อยแต่มันก็เป็นเรื่องจริง”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “จริงๆแล้วตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่นั้นไม่ได้ดึงดูดใจผมเลย..ถ้าไม่ใช่เพราะผมไม่อยากทำให้พี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาต้องเสียใจและไม่ใช่เพราะผมแบกรับความรับผิดชอบมากเกินไปล่ะก็ผมคงจะถอนตัวจากการเป็นผู้นำองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าไปแล้ว..บางทีคุณอาจจะคิดว่าเขี้ยวหมาป่าเป็นแค่องค์กรทหารรับจ้างแต่หารู้ไม่ว่ามันสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศซบเซาหรือแม้แต่ตกต่ำลงได้เลย..นี่คือสังคมสมัยใหม่ถึงแม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ส่วนบุคคลจะมีความสำคัญแต่การทำงานเป็นทีมอย่างสามัคคีก็สำคัญกว่า..เพราะงั้นครอบครัวหรือองค์กรล้วนต้องทำงานร่วมกัน..แต่ในกรณีของตระกูลเย่ในปัจจุบันมันไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นได้และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากเป็นผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวของตระกูลเย่เลย..ซึ่งถึงแม้จะมีตำแหน่งสูงสุดแต่ก็ไร้ความรักจากครอบครัวนี่คือสิ่งที่ผมไม่อยากเห็น”
เย่เจียอู๋ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันและตระหนักถึงสิ่งที่เย่เชียนพูดในใจและเขาก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นเป็นความจริงและมีเหตุผลอย่างมากแต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
.
.
.
.
.
.