ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 830 ผู้บริหารระดับสูง
ตอนที่ 830 ผู้บริหารระดับสูง
อย่างที่เย่เชียนพูดปักกิ่งนั้นเป็นสถานที่ซ่อนตัวของเหล่ามังกรและเสือเอาไว้ ดังนั้นที่เย่เชียนต้องการที่จะลบประวัติการลงทะเบียนก็เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลเพราะครั้งนี้เย่เชียนจะมาในฐานะผู้จัดการสาขาและจุดประสงค์หลักก็เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตผู้จัดการสาขาปักกิ่ง แน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเช่นนี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“สวัสดีครับแผนกฝ่ายบุคคลไปทางไหนเอ่ย” เมื่อเขามาถึงที่แผนกต้อนรับของบริษัทเย่เชียนก็เหลือบมองพนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับและถาม
พนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับก็เงยหน้าขึ้นและตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เชียนเพราะชุดของเย่เชียนดูสบายๆเกินไปที่จะมาในที่แบบนี้โดยสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนส์เรียบง่ายพร้อมรองเท้าผ้าใบ ซึ่งมันแตกต่างจากสภาพแวดล้อมของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปอย่างสิ้นเชิง “คุณมาสมัครงานเหรอคะ?” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับถาม
“ผมเป็นผู้จัดการคนใหม่” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
พนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับก็ขยับแว่นของเธอด้วยความไม่น่าเชื่อเพราะผู้ชายที่ทำงานที่นี่ล้วนสวมชุดสูทและรองเท้าหนังที่ดูเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จกันทั้งนั้นแล้วนับประสาอะไรกับคนระดับผู้จัดการสาขา ซึ่งเธอไม่คิดว่าเย่เชียนจะดูเหมือนผู้จัดการตรงไหนเลยแต่เหมือนพวกอันธพาลข้างถนนเสียมากกว่า
“ผมดูไม่เหมือนเลยหรอ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “แค่ผมแต่งตัวแบบนี้มันทำให้ผมไม่สามารถเป็นผู้จัดการได้เลยหรอ..มันไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวหรอก”
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันขอโทษ..ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งพนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับก็รีบพูดว่า “เอ่อ..เชิญค่ะ..ฉันจะพาคุณไปที่แผนกฝ่ายบุคคล”
รอยยิ้มของเย่เชียนไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เลยเพราะพนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับก็รู้สึกมีความสุขและพอใจอย่างมากเพราะผู้นำและเหล่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัททั่วไปต่างก็มีนิสัยที่เย่อหยิ่งอยู่เสมอและมักจะพูดและทำสิ่งต่างๆด้วยความหยิ่งผยอง พวกเขาไม่เหมือนเย่เชียนเลยเพราะเย่เชียนดูเป็นคนใจดี ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงสิ่งนี้เลยเพราะเย่เชียนไม่ได้ตำหนิหรือติเตียนพนักงานสาวแต่อย่างใดและเดินตามเธอไปที่แผนกฝ่ายบุคคล
“คุณทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว” เย่เชียนถาม
“ฉันเพิ่งจะทำได้สองเดือนเองค่ะ” พนักงานต้อนรับพูด
“แล้วเป็นยังไงบ้าง..คุณคิดอย่างไรกับบริษัทเรา” เย่เชียนถาม
“เครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นหนึ่งในยี่สิบบริษัทชั้นนำของโลกและถึงแม้ว่าสาขาปักกิ่งจะไม่ได้ก่อตั้งมานานนักแต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ฉันได้ทำสิ่งต่างๆที่นี่” หญิงสาวแผนกต้อนรับตอบกลับ
เย่เชียนก็ยิ้มเพราะเขาไม่ได้คิดที่จะนำคำถามเหล่านี้ไปถามกับพนักงานต้อนรับหญิงอย่างจริงจังอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นคำพูดแต่เมื่อสังเกตจากการแสดงออกของเธอแล้วก็รู้สึกว่ามันมีรสชาติที่ชวนให้หลงใหลในนั้น “ว่ากันว่าผู้จัดการคนก่อนของบริษัทเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์หรอ..มันเกิดอะไรขึ้น…คุณพอจะรู้อะไรบ้างมั้ย?” เย่เชียนถามเบาๆ
“คงจะเป็นเรื่องเงินนั่นแหละเพราะมันไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่จะทำให้คนบาดหมางกันถึงขนาดนั้น..เขาปฏิบัติต่อคนอื่นไม่ดีมาเสมอ..ฉันเคยได้ยินคนในบริษัทพูดคุยกันว่าเขาขัดแย้งกับใครบางคนเรื่องเงินดังนั้นคนอื่นจึงตอบโต้เขาและทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์..ฉันไม่แน่ใจว่ามันจริงหรือเปล่า” พนักงานหญิงแผนกต้อนรับพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ใครเหรอ?..เขาขัดแย้งกับใคร?”
พนักงานหญิงที่แผนกต้อนรับเหลือบมองไปรอบๆแล้วเอนตัวเข้าไปหาเย่เชียนอย่างน่าสงสัยและพูดเบาๆว่า “ทุกคนในบริษัทซุบซิบกันว่าผู้จัดการซูน่ะเป็นชู้กับผู้จัดการซือจื้อและเป็นคาแข่งกับรองผู้จัดการชางกวนเจ้อจนพวกเขาก็ขัดแย้งกันมาตลอด..ตลอดเวลาที่ผ่านมารอผู้จัดการชางกวนเจ้อถูกผู้จัดการซูขัดขวางและกดขี่ข่มเหงมาเสมอ..ซึ่งแค่นี้รองผู้จัดการชางกวนเจ้อก็อึดอัดจะแย่แล้วแต่ยังโดนแย่งคนรักไปต่อหน้าต่อตาอีกเขาจะทนได้ยังไง”
“นี่คุณจะบอกผมว่าผู้จัดการซูถูกรองผู้จัดการชางกวนเจ้อฆ่างั้นหรอ?” เย่เชียนถาม
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น..ฉันแค่ฟังคนในบริษัทคุยกันก็เท่านั้นเอง” หนักงานหญิงแผนกต้อนรับพูด “อย่าบอกใครนะว่าฉันเล่าให้คุณฟังไม่อย่างนั้นงานและอนาคตของฉันคงต้องพังทลาย”
เย่เชียนก็ยิ้มจางๆและพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยผมไม่บอกใครหรอก” เมื่อเย่เชียนพูดจบเขาก็ขมวดคิ้วแน่นเพราะดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในบริษัทแห่งนี้จะซับซ้อน แต่แน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ฟังข้อมูลจากพนักงานเหล่านี้นักเพราะผู้หญิงอย่างพวกเธอมักจะไม่ทำอะไรนอกจากชวนกันซุบซิบเรื่องคนอื่นทั้งวัน บางครั้งมันก็เป็นเรื่องง่ายๆที่พวกเธอพูดเกินจริงจนน่าเหลือเชื่อแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่ออยู่ดีเพราะท้ายที่สุดเรื่องราวต่างๆจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากไม่มีมูลความจริงผสมอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขานี้จะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเย่เชียนก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
รองผู้จัดการชางกวนเจ้อและผู้จัดการซูชื่อทั้งสองนี้เย่เชียนได้จดจำเอาไว้อย่างลับๆ ซึ่งหลังจากรายงานและยืนยันตัวที่ฝ่ายบุคคลแล้วเย่เชียนก็เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและฝ่ายบุคลก็ได้แจ้งให้เหล่าผู้บริหารประจำสาขาจัดการประชุมทันที ซ่งหลันนั้นได้บอกว่าผู้จัดการสาขาคนก่อนเพิ่งจะเสียชีวิตไปและราคาหุ้นของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจนเห็นได้ชัดว่ามีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังและจะต้องมีหนอนในเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสาขานี้อย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือวิธีรวบรวมผู้ที่ภักดีเพราะผู้บริหารคือจิตวิญญาณของบริษัทและคุณภาพของพวกเขาก็ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาของบริษัทด้วยจึงจำเป็นต้องจัดประชุมด่วน นอกจากนี้เย่เชียนยังได้รู้ข้อมูลจากพนักงานหญิงแผนกต้อนรับว่าผู้จัดการคนก่อนกับรองผู้จัดการชางกวนเจ้อนั้นขัดแย้งกัน”
“ก่อนผมขอจัดการที่ทำงานของผมก่อน..ห้องมันกว้างขวางมากและการตกแต่งภายในก็ดีมาก..แต่จะพูดยังไงดีล่ะเพราะมันน่าอึดอัดเหมือนกัน” เย่เชียนนั่งลงบนเก้าอี้และเหลือบมองบนโต๊ะอย่างสบายๆจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองหญิงสาวจากแผนกฝ่ายบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเขาและพูดว่า “ให้คนทำความสะอาดที่นี่และทิ้งของไร้ประโยชน์พวกนี้ทิ้งให้หมด ..ผมไม่ชอบใช้ของที่คนอื่นใช้โดยเฉพาะของที่คนตายเคยใช้”
พนักงานจากฝ่ายบุคคลก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วและหันหลังกลับทันทีและเดินออกจากสำนักงานเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของเย่เชียนอย่างเคร่งครัดและไม่นานหลังจากนั้นเย่หานหลินก็มาเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “บอส..เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันมีงานสำคัญที่จะมอบหมายให้นายทำ..นายช่วยไปค้นหาเรื่องซุบซิบของบริษัทมาให้ทีและอย่าปล่อยให้พลาดแม้แต่เรื่องเดียวเพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องซุบซิบหรือความจริงก็ตาม..นายต้องรวบรวมมาให้หมด..เรื่องที่ฉันให้ความสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องของรองผู้จัดการชางกวนเจ้อ” เมื่อเย่เชียนอยู่ในแผนกฝ่ายบุคลก่อนหน้านี้เย่เชียนได้ถามชื่อของทั้งสองคนโดยเฉพาะแล้วแต่เขาแสร้งทำเป็นถามในลักษณะที่ไม่เป็นทางการและเชื่อว่ามันจะไม่สร้างความสงสัยให้กับคนเหล่านี้
“ได้เลย” เย่หานหลินตอบกลับและหันหลังเดินออกไป
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ช่วยยิ้มหน่อยจะได้มั้ย..นายดูน่ากลัวมาก..อย่ากดทันทำตัวผ่อนคลายสบายๆได้เลย..ยิ่งดูเป็นธรรมชาติมากเท่าไหร่มันก็ดีมากเท่านั้น”
เย่หานหลินก็แน่นิ่งไปชั่วขณะแต่รอยยิ้มของเขานั้นดูเย็นชาและไร้ชีวิตชีวาอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็โบกให้เขาและปล่อยให้เขาไปทำธุระของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็ได้ติดต่อเหล่าผู้บริหารจัดการเรียบร้อยแล้วและพวกเขาเหล่านั้นก็ไปรอที่ห้องประชุมกันแล้ว ดังนั้นเขาจึงถามว่าตอนนี้เย่เชียนพร้อมหรือยัง ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าและลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องประชุม เมื่อเปิดห้องประชุมเข้าไปเย่เชียนก็เห็นโต๊ะประชุมใหญ่และน่าจะมีคนไม่ต่ำกว่า 20 คน มีทั้งชายและหญิงทั้งคนแก่และคนหนุ่มสาวและการแสดงออกก็แตกต่างกันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังมีสีหน้าที่ดูวิตกกังวลด้วย
จากนั้นเย่เชียนก็เดินไปที่ตำแหน่งผู้จัดการสาขาตรงกลางและมองดูทุกคน อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ตอบสนองใดๆจนเย่เชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมคิดว่าทุกคนควรลุกขึ้นเพื่อต้อนรับผมไม่ใช่เหรอ?” ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเป็นน้ำเสียงของการพูดแต่ก็เป็นคำสั่งอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนหยุดและยืนขึ้นทีละคนแต่เย่เชียนก็ยังคงจ้องมองไปที่การแสดงออกของพวกเขาโดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกและเห็นได้ชัดว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งในวัยสามสิบต้นๆที่ดูไม่เต็มใจแต่ก็ยังฝืนยืนขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณ..ทุกคนนั่งลงได้” เย่เชียนพูดและนั่งลงจากนั้นก็เหลือบมองทุกคนแล้วพูดว่า “ผมขอแนะนำตัวก่อน..ผมชื่อเย่เชียนที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมเนื้อเจียมตัว..ผู้จัดการสาขาคนก่อนของบริษัทถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะงั้นสำนักงานใหญ่จึงส่งผมมาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการชั่วคราว..จากนี้ไปทุกคนจะร่วมมือกัน..ผมจะบอกความต้องการบางอย่างของผมเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับทุกคนในอนาคต..ธุรกิจทั้งหมดของบริษัทจะต้องผ่านผมก่อนและข้อมูลทั้งหมดจะต้องลงนามโดยผมจึงจะมีผล..ในอนาคตผมจะเรียกทุกคนมาประชุมและหวังว่าทุกคนจะไปมาโดยเร็วที่สุดและต้องละทิ้งสิ่งสำคัญทั้งหมดที่อยู่ในมือไปก่อน..วันนี้เราจัดประชุมกันครั้งแรกและบางคนก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจและล่าช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง..อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นครั้งแรกเพราะงั้นผมสามารถให้อภัยคุณได้..แต่ถ้าครั้งต่อไปมีอีกก็อย่าโทษที่ผมหยาบคายก็แล้วกัน”
ขณะพูดเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่ชางกวนเจ้อที่ด้านข้างและเห็นได้ชัดว่าเขากำลังหมายความว่าเป้าหมายของเขาคือชางกวนเจ้อ
“คุณเย่คุณหมายความว่าผมไม่เต็มใจมาประชุมอย่างงั้นหรือ?..ผมสงสัยว่าคุณเคยบริหารบริษัทและมีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อนหรือเปล่า?..สำหรับบริษัทจดทะเบียนอย่างเราแล้วหลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต้องทันเวลา ในการจัดการกับมันเพราะงั้นถ้าเราล่าช้าไปมันก็จะมีโอกาสมากที่จะทำให้เกิดผลที่ย้อนกลับไม่ได้..หากเป็นเพียงการประชุมแล้วมันเทียบกับการจัดการธุรกิจไม่ได้เลยมันไม่คุ้มกับการสูญเสียเลยแม้แต่น้อย” ชางกวนเจ้อพูด
“คราวหน้าถ้าคุณจะพูดช่วยยกมือขึ้นก่อน..คุณสามารถแสดงความคิดเห็นได้ก็ต่อเมื่อผมอนุญาต” เย่เชียนจ้องมองเขาอย่างเย็นชาและพูด หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ประสบการณ์น่ะเหรอมันไม่สำคัญหรอกเพราะสิ่งสำคัญคือตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าของคุณและคุณก็ต้องฟังผม..ถ้าผมบอกให้คุณทำคุณก็ต้องทำ..คุณมีสิทธิ์แค่ฟังเท่านั้นเข้าใจมั้ย?”