ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 837 การต่อสู้ของวัยรุ่นหนุ่มสาว (1)
ตอนที่ 837 การต่อสู้ของวัยรุ่นหนุ่มสาว (1)
พนักงานเสิร์ฟก็เดินไปหานักร้องสาวและกระซิบบางอย่างกับเธอและดวงตาของเธอก็จ้องมองไปที่เย่เชียนเป็นครั้งคราว ดวงตาของนักร้องสาวนั้นไล่ดูเหม่อลอยและเมื่อส่องมาถึงเย่เชียนดวงตาของนักร้องสาวก็ดูงงงวยเล็กน้อยแล้วเธอก็พยักหน้าเบาๆ
ครู่ต่อมานักร้องสาวก็เดินเข้ามาและพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างวางตัวและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
ฉินเยว่ก็มองไปที่เธอและพูดว่า “มาคุยเรื่องราคากันเถอะ”
นักร้องสาวก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คุณหมายความว่าไง?”
“บอกตามตรงว่าเพื่อนของผมคนนี้เขาแอบชอบคุณและคุณจะต้องการเขาจะให้คุณทุกอย่าง” ฉินเยว่พูด
นักร้องสาวเหลือบมองเย่เชียนที่ด้านข้างและพูดเย็นชาว่า “ฉันคิดว่าคุณแตกต่างจากคนอื่นแต่ดูเหมือนว่าผู้ชายทุกคนจะเหมือนๆกันหมด” เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและไม่ได้โต้แย้งใดๆ เขาไม่ได้ต้องการสร้างประกายไฟหรือขัดแย้งกับนักร้องสาวคนนี้และเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องภาพลักษณ์ของเขาเลย
จากนั้นนักร้องสาวก็หันมามองที่ฉินเยว่และพูดว่า “มีบางสิ่งเงินก็ซื้อไม่ได้หรอก..คุณคิดว่าคุณยอดเยี่ยมนักเหรอฉันไม่สนใจเงินของคุณหรอก..คนที่ฉันเกลียดที่สุดคือคนอย่างคุณที่เอาแต่พึ่งพาบารมีและอำนาจของครอบครัวประหนึ่งคนทั้งโลกจะต้องคุกเข่าลงเพื่อบูชาคุณ”
ฉินเยว่ไม่ได้โกรธแต่ยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ทำไมคุณถึงมาที่ปักกิ่งล่ะ?..มันไม่ใช่แค่อยากที่จะมีชื่อเสียงและมีที่ยืนในวงการบันเทิงอย่างงั้นเหรอ..ตราบเท่าที่คุณเห็นด้วยผมสามารถรับประกันได้เลยว่าภายในหนึ่งปีคุณจะเป็นดาราดังอันดับต้นๆของประเทศจีน..ถึงเงินจะซื้อไม่ได้ทุกอย่างแต่มันก็ทำอะไรได้ตั้งมากมายในเมืองนี้..มีคนทุกรูปแบบล้วนแล้วแต่ลำบากเพื่อที่จะหาเลี้ยงชีพแต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเหมือนคุณ..ตราบใดที่คุณยอมคุณก็จะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“โทษทีนะ..ฉันจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อเอาชนะในสิ่งที่ฉันต้องการ” นักร้องสาวพูด “ถ้าคุณมีเงินนั่นมันก็เรื่องของคุณและคุณก็สามารถซื้อความรู้สึกและชีวิตของคนอื่นได้แต่คุณซื้อฉันไม่ได้!”
ฉินเยว่ก็กระดิกนิ้วของเขาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ๆ..ผมไม่ต้องการซื้อความรู้สึกของคุณเพราะผมแค่ต้องการซื้อร่างกายของคุณ..ความรู้สึกมันไม่น่าเชื่อถือและมันก็อ่อนแอเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเงิน..ผมต้องการแค่ร่างกายของคุณเพราะร่างกายเป็นของจริงที่สุด”
“หึ..โทษทีนะฉันไม่อยากคุยกับขยะอย่างคุณ..ลาก่อน!” หลังจากพูดจบนักร้องสาวก็ลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ส่วนฉินเยว่ก็ตกอยู่ในความงงงวยและไม่สามารถฟื้นคืนสติได้เป็นเวลานาน
เย่เชียนก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจและหันไปมองฉินเยว่แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าผมจะชนะ”
“ผมไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนี้โง่หรือเปล่าเพราะมีตั้งกี่คนที่ฝันถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไขว่คว้าไม่ถึง..แต่ครั้งนี้ตราบใดที่เธอยื่นมือออกมาเธอก็สามารถคว้ามันได้แต่เธอกลับไม่ต้องการมัน” ฉินเยว่พูด “เอาล่ะฉันแพ้แล้ว..แบบนี้ฉันต้องทำอะไรต่อ?”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น..ผมแค่อยากจะเตือนอะไรคุณบางอย่างเท่านั้น” เย่เชียนพูด
“อะไร” ฉินเยว่ถามอย่างงุนงง
“ในอนาคตอย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น” เย่เชียนพูดเบาๆ
ฉินเยว่ก็ถึงกับตกตะลึงและไม่สามารถเก็บอาการได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เชียนสัมผัสและรับรู้ได้ว่าเมื่อตอนที่ตนอยู่ในสำนักหยุนหยานเหมินตนกำลังแอบสอดเนมเย่เชียนอยู่ที่ด้านนอกประตู ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากและความหวาดกลัวที่มีต่อเย่เชียนก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น
“ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นใครหรือจุดประสงค์ของคุณคืออะไรแต่สำนักหยุนหยานเหมินเป็นสถานที่ของผู้หญิงของผมและผมก็จะไม่ยอมให้ใครทำอะไรทั้งนั้น..หากคุณอยากเป็นมิตรกับผมคุณก็ควรยกเลิกแผนนั้นไปซะ!..ไม่อย่างนั้นพวกเราจะเป็นได้แค่ศัตรู” เย่เชียนพูด
ฉินเยว่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชื่นชมเหตุผลและความสงบนิ่งนี้และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเยว่ก็พูดว่า “ผมไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องนั้นได้..เราทุกคนล้วนมีสิ่งที่ต้องทำและเราไม่สามารถหยุดได้”
เย่เชียนก็อย่างเฉยเมยและไม่พูดอะไรอีกเพราะเขาได้พูดในสิ่งที่ควรจะพูดไปแล้วและมันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดมากไปกว่านี้ เขาไม่ชอบวิธีการพูดของฉินเยว่เลย ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเย่เชียนก็จะไม่ยอมเป็นเพื่อนกับฉินเยว่อย่างแน่นอน
“นี่มันก็ดึกแล้วผมขอตัวก่อนนะ..จะให้ผมไปส่งมั้ย?” ฉินเยว่ก็ยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือและพูด นี่เป็นเพียงการหลบเลี่ยงของเขาและด้วยเหตุผลบางอย่างความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเขาว่ายิ่งอยู่ห่างจากเย่เชียนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องกลับไปบอกอาจารย์ของเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนี้และให้อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ ตามที่ซงเจิ้งหยวนพูดนั้นการปรากฏตัวกะทันหันของเย่เชียนได้ทำลายแผนการทั้งหมดและเขาก็ต้องขอให้อาจารย์ของเขาเตรียมการและพิจารณาสิ่งต่างๆอีกครั้ง
“ผมอยากนั่งที่นี่ซักพัก” เย่เชียนพูด
ฉินเยว่ก็พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีกและหลังจากบอกลาเย่เชียนแล้วเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากผับบาร์ไป เมื่อเขาไปถึงรถฉินเยว่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพราะเขาไม่เคยรู้สึกกดดันแบบนี้มาก่อนและสถานการณ์ภายในผับบาร์ก็ทำให้เขาหายใจไม่ออกเล็กน้อย ถึงแม้ว่าการแสดงของเย่เชียนจะดูจืดชืดมากแต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูรถการแสดงออกของฉินเยว่ก็หยุดนิ่งไปและรู้สึกถึงอันตรายจากก้นบึ้งของหัวใจและในทันใดนั้นเขาก็หันหลังกลับเพื่อเตะออกไปด้วยการเตะด้านข้าง ซึ่งหลังจากฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณมานานหลายปีนี่จึงเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณและการรับรู้ถึงอันตราย
ด้านหน้าของฉินเยว่นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้ามืดมนโดยไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อยและในมือของเขาก็มีดแปลกๆแทกเข้าไปที่เท้าของฉินเยว่จนฉินเยว่ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและต้องถอยเท้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาฉินเยว่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “คุณเป็นใคร?”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฉันเป็นใครแกแค่ต้องรู้เอาไว้ว่าเย่เชียนเป็นของฉันและไม่มีใครแตะต้องเขาได้นอกจากฉัน!” ชายหนุ่มพูด
“ทำไม?” ฉินเยว่พูดอย่างเดือดดาลเพราะเขาโตมาได้จนถึงทุกวันนี้เขาไม่เคยถูกใครคุกคามมาก่อนแต่กลับมาเจอแบบนี้ที่เมืองปักกิ่ง?
ดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลงอย่างฉับพลันและเจตนาฆ่าก็เพิ่มขึ้นในทันทีจากนั้นร่างกายของเขาพุ่งออกไปและหลังจากได้ยินเสียง “ปัง” เท่านั้น ฉินเยว่ก็ถูกกระแทกอย่างรวดเร็วและไร้ความปรานีจนเขาไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อย เขานั้นฝึกศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณมาตั้งแต่เด็กและเขาแทบไม่เคยพบกับคู่ต่อสู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้เลยแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถแม้แต่จะตอบโต้ชายหนุ่มคนนี้ได้ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจและหวั่นเกรงอย่างมาก
“ฉันรู้ว่าตระกูลฉินของแกน่ะแข็งแกร่งมากแต่ในสายตาของฉันแกมันก็เป็นได้แค่มด..จำสิ่งที่ฉันพูดวันนี้เอาไว้ให้ดีว่าอย่ายุ่งกับเย่เชียนในอนาคตงั้นอย่างนั้น…” ชายหนุ่มจงใจหยุดพูดและเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อ “แกน่าจะรู้ถึงผลที่ตามมานะ”
หลังจากพูดจบชายหนุ่มก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองและทุกๆครั้งที่เย่เชียนตกอยู่ในอันตรายเขาจะปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมเสมอและบางครั้งเขาก็ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่อยู่ในใจของเขาที่ผลักดันให้เขาทำ
เมื่อเห็นด้านหลังของชายหนุ่มที่จากไปฉินเยว่ก็ตกใจเพราะในตอนนี้ชายคนนั้นทำให้เขารู้สึกว่าเขาพบเจออสูรในนรกราวกับว่าเขาก้าวเข้าไปในประตูนรกด้วยเท้าข้างเดียว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดที่จะฆ่าเขาไม่เช่นนั้นเขาอาจจะไปเข้าเฝ้าเทพแห่งความตายไปแล้ว สำหรับฉินเยว่แล้วเขาก็รู้สึกว่าเย่เชียนนั้นลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆและถ้าหากชายหนุ่มคนนี้เป็นเพื่อนของเย่เชียนล่ะก็เย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน? ถึงขนาดมีคนแบบนั้นกำลังช่วยเหลืออยู่อย่างไรก็ตามหากชายหนุ่มคนนี้เป็นศัตรูของเย่เชียนแต่เย่เชียนยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งของเย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน? ฉินเยว่ก็ถึงกับตกตะลึงและความหวาดกลัวในหัวใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในผับบาร์เย่เชียนก็ยังคงดื่มอยู่เงียบๆและโดยธรรมชาติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ชายหนุ่มคนนั้นจากไปอย่างแน่นอน
ด้วยเสียง “ปัง!” ร่างคนหนึ่งคนก็กระเด็นมาที่โต๊ะข้างหน้าเขาและขวดไวน์ก็แตกลงกับพื้นจนเย่เชียนขมวดคิ้วและมองลงไปเห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆนอนอยู่บนพื้น ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียนมัธยมต้นที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆเขา
ฝั่งตรงข้ามมีคนหนุ่มสาวอายุ 20 ปีหลายคนจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างดูถูกและหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “บ้าจริง!..แกกล้าที่จะมองแฟนของฉันงั้นเหรอ..แกอยากตายนักรึไง?..ฉันขอบอกเลยนะว่ามันง่ายพอๆกับการฆ่ามด..เชื่อมั้ยว่าในเมืองหลวงแห่งนี พี่ชายของฉันไม่เกรงกลัวใครเลยแม้แต่คนเดียว!”
“เอาสิวะฆ่าฉันเลยสิ!..ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกเอง!” เด็กหนุ่มพูดอย่างดื้อรั้น “ไอ้พวกขยะที่เอาแต่พูดว่าเก่งนักเก่งหนาในเมืองหลวงแบบนี้มันก็ได้แค่พูด!”
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มอยู่ที่มุมปากทั้งน้ำเสียงและคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ดูเสแสร้งและดูเหมือนว่าครอบครัวของเด็กคนนี้เมืองปักกิ่งอาจจะมีอิทธิพลจริงๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเย่เชียนมากกว่าก็คือความดื้อรั้นของเด็กอีกคนซึ่งคล้ายกับเย่เชียนเมื่อสมัยก่อนมาก เมื่อเห็นเด็กคนนี้แล้วเย่เชียนดูเหมือนจะเห็นอดีตของเขาอย่างไงอย่างงั้น
“นี่แกกล้าว่าฉันงั้นเหรอ?..วันนี้ฉันจะฆ่าแก..คนอย่างแกมันจะไปทำอะไรได้” ชายหนุ่มหน้าตาซีดเซียวสุขภาพไม่ดีก็พูดดูถูกเหยียดหยามและเมื่อเขาพูดจบเขาก็เดินไปหาเด็กหนุ่มในทันที
“พี่ชาย..ขอยืมขวดเบียร์หน่อยนะ” เด็กหนุ่มมองมาที่เย่เชียนและหยิบขวดเบียร์บนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดว่า เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ฉีกยิ้มและพยักหน้าแล้วพูดว่า “จะทำอะไรก็ทำ!”
เด็กหนุ่มก็ยิ้มให้เย่เชียนโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยจากนั้นก็หยิบขวดเบียร์แล้วพุ่งออกไปด้วยแววตาที่ไม่กลัวความตายอย่างสมบูรณ์จนคนที่มองดูอดไม่ได้ที่จะชื่นชม