ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 840 พลเรือเอก
ตอนที่ 840 พลเรือเอก
ถนนภายในทั้งหมดถูกปูด้วยอิฐบลูสโตนและไม่มีปัญหากับรถ 2 คันที่วิ่งสวนทางกันและเมื่อเทียบกับถนนอื่นๆในเมืองปักกิ่งนั้นมันกว้างขวางกว่ามาก
บ้านภายในยังเป็นอาคารเก่าเหมือนกับคฤหาสน์หลังใหญ่ในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ อย่างไรก็ตามผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญของประเทศจีนทั้งนั้นและสามารถเขย่าแผ่นดินจีนได้เลย ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่าพ่อของเขาจะรู้มีพ่อทูนหัวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อฟังน้ำเสียงของเย่เจียอู๋แล้วตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิตไปดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายชราผู้ทรงศักดิ์คนนี้กับตระกูลเย่นั้นจะไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเย่เชียนจึงคิดในใจว่าถ้าเย่เจียอู๋ไม่ต้องการให้เย่เชียนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชายชราคนนี้ล่ะก็เขาคงจะไม่พูดแบบนั้นอย่างแน่นอน
บางครั้วคนเฒ่าคนแก่เหล่านี้มักจะดื้อรั้นมากและมีอุดมการณ์และทัศนคติของตนเสมอและเป็นคนที่ไม่สนใจความตายอีกต่อไป
เมื่อเขามาถึงประตูเย่เชียนก็ยื่นจดหมายทักทายโดยระบุตัวตนของเขาและแน่นอนว่าตัวตนที่เขาอ้างถึงคือสมาชิกของตระกูลเย่ไม่ใช่ราชาแห่งทหารรับจ้างเพราะเย่เชียนจะต้องยืมตัวตนของตระกูลเย่แต่ถ้าหากเขาบอกว่าเขาเป็นราชาทหารรับจ้างล่ะก็เขาจะถูกจับกุมและโดนสอบปากคำทันที
ทหารยามที่ประตูมองไปที่เย่เชียนอย่างระมัดระวังและดูจดหมายแล้วพูดว่า “รอที่นี่ก่อน..เราขอรายงานและยืนยันตัวตนสักครู่” หลังจากพูดเสร็จเขาก็หยิบวิทยุสื่อสารออกมาและเริ่มพูด
ในขณะนั้นรถ Jeep Land Rover ได้ขับช้าๆและหยุดอยู่ข้างๆเย่เชียนจากนั้นคนขับก็ชะงักไปครู่หนึ่งและเหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ เขาถูกลิขิตให้มาพบกับจากที่ไกลๆหลายพันไมล์จนใกล้ถึงขนาดนี้เพราะเขากำลังจะต้องสืบค้นเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียนอยู่พอดี
จากนั้นประตูรถก็ถูกเปิดออกและเด็กหนุ่มก็รีบออกจากรถไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กที่ชื่อหม่าห่าวยู่ที่เย่เชียนช่วยชีวิตเอาไว้ที่ผับบาร์ “ห๊ะ..ทำไมพี่ชายถึงมาที่นี่?” เด็กน้อยรีบวิ่งไปด้านข้างของเย่เชียนด้วยความตกตะลึงแล้วถามอย่างสงสัย “นี่พี่ชายมาหาผมงั้นหรอ..ผมก็ชวนพี่ชายมาแล้วก่อนหน้านี้แต่พี่ชายไม่ยอมมา..เอาเถอะมากับผมสิเดี๋ยวผมจะพาเข้าไปเอง”
หลังจากพูดจบเด็กหนุ่มก็คว้าแขนของเย่เชียนและกำลังจะเดินเข้าไปแต่ทหารยามที่ประตูก็หยุดเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “นายน้อย..ตามกฎแล้วเราจะค้นตัวเขาก่อน”
“ตรวจค้นร่างกาย..ตรวจร่างกายอะไรนี่คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร?..เขาเป็นพี่ชายของผมและเป็นผู้ช่วยชีวิตของผมเพราะงั้นจะไปตรวจค้นร่างกายเขาทำไม..นี่คุณกำลังทำให้ผมเสียเวลาใช่มั้ย?” หม่าห่าวยู่เหลือบมองที่ยามแล้วพูด
“ผมต้องขอโทษจริงๆแต่เพื่อความปลอดภัยของหัวหน้าแล้วเราต้องทำแบบนี้” ทหารยามพูดอย่างดื้อรั้น
“นี่คุณล้อผมเล่นงั้นหรอ..แบบนี้ต้องตรวจค้นผมด้วยมั้ย?..คุณกลัวว่าผมจะไปทำร้ายคุณปู่อย่างงั้นเหรอ” หม่าห่าวยู่พูด “คุณไม่ควรมาอยู่ตรงนี้..นี่แสดงว่าคุณไม่เคยออกรบหรือต่อสู้เลยใช่มั้ย?..ผมอยากให้คุณรู้จริงๆว่านักสู้และทหารที่แท้จริงนั้นคืออะไร”
ไม่มีใครกล้าทำร้ายราชามารน้อยตัวนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงดื้อรั้นหยุดอยู่ตรงหน้าเพราะหน้าที่ของพวกเขาและปฏิเสธที่จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปโดยไม่ตรวจสอบและตรวจค้นเสียก่อน ซึ่งพวกเขายืนกรานที่จะตรวจค้นตัวของเย่เชียนจนสิ่งนี้ทำให้หม่าห่าวยู่โกรธมาก ในตอนนี้ดวงตาของหม่าห่าวยู่จ้องเขม็งเหมือนตาของวัวและเหมือนจะกลืนกินทหารยามเหล่านั้นในคำเดียว
จากนั้นคนขับรถก็ก้าวลงจากรถและชำเลืองมองไปที่ทหารยามแล้วพูดว่า “เขาเป็นคนช่วยชีวิตนายน้อยเอาไว้และหัวหน้าก็สั่งเอาไว้ว่าให้พาเขามาที่นี่เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องตรวจค้นเขา..ที่เหลือฉันจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง” แน่นอนว่าคนขับรถคนนี้นั้นไม่ใช่คนขับรถธรรมดาแต่มีศักดิ์เป็นทหารยศพันเอกที่มีสามดาวสองขีดอยู่บนบ่าของเขาและเป็นคนที่หัวหน้าที่คนเหล่านี้กล่าวถึงสั่งให้เขาพาหม่าห่าวยู่ออกจากสถานีตำรวจและสืบข้อมูลของเย่เชียน
เมื่อได้คำพูดแล้วนั้นพวกทหารยามก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถอยห่างและปล่อยไปจากนั้นหม่าห่าวยู่ก็มองหน้าพวกเขาอย่างดุร้ายแล้วพูดว่า “พวกคุณเหมือน รปภ.ที่มักดูถูกผู้คน..ให้ผมพูดดูชัดๆอีกครั้งนะว่านี่คือพี่ชายของผมและต่อจากนี้ไปที่นี่ก็จะเป็นบ้านของเขาเช่นกัน..ต่อไปถ้าพวกคุณขัดขวางเขาอีกผมจะขอให้คุณปู่สั่งย้ายพวกคุณทั้งหมดไปที่เขตชายแดน”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นก็ตบหัวหม่าห่าวยู่แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะยศอะไรถึงยังไงพวกเขาก็เป็นทหารและพวกเขาก็คู่ควรแก่การเคารพเข้าใจมั้ย..คราวหน้าถ้าเอ็งจะพูดอะไรก็ระวังด้วย”
ทหารยามที่ประตูก็ยิ้มอย่างขอโทษแล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณลำบาก”
หม่าห่าวยู่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเย่เชียนก็มักจะเป็นเด็กดีเสมอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เลยพี่ชายผมจะจำเอาไว้”
สิ่งนี้ทำให้ทหารยามที่ประตูถึงกับตกตะลึงและมองเย่เชียนด้วยความแปลกใจ ซึ่งเขาไม่ได้คาดหวังว่ามารตัวน้อยที่ดื้อรั้นจะเชื่อฟังเย่เชียนได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยและพวกเขาก็ชื่นชมเย่เชียนและแอบเดาว่าเย่เชียนจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตและทรงอิทธิพลอย่างมาก
“พี่ชายเข้าไปในบ้านของผมกันเถอะ..คุณปู่ของผมต้องการพบพี่ชายและต้องการขอบคุณเป็นการส่วนตัว” หม่าห่าวยู่คว้ามือเย่เชียนแล้วพูด
“ไม่..ฉันจะไปหาใครสักคนก่อนเดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง” เย่เชียนพูด
“พี่ชายจะไปหาใคร..ผมคุ้นเคยกับที่นี่มากเดี๋ยวผมจะพาไปเอง” หม่าห่าวยู่พูด
“ฉันจะไปหาหม่าเต๋อหง” เย่เชียนพูด
คนขับรถยศผู้พันที่อยู่ข้างๆถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่งและเหงื่อหยดออกจากหน้าผากของเขาและเขาก็คิดในใจว่า ‘พ่อหนุ่มคนนี้กล้าเรียกชื่อหัวหน้าห้วนๆเลยราวกับว่าเขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆเหรอ’
“ปู่?..มาสิเดี๋ยวผมจะพาพี่ชายไปหาเขาเอง..หากไม่มีผมล่ะก็มันไม่ง่ายเลยที่พี่ชายจะไปพบกับเขา” หม่าห่าวยู่พูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า นอกจากนี้ที่นี่เย่เชียนก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นักและไม่สะดวกที่จะตามหาใครสักคนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าเย่เชียนตกเป็นเป้าหมายของคนที่นี่ในฐานะสายลับล่ะก็เย่เชียนคงจะไม่สามารถต่อสู้กับทหารยามอาวุธครบมือกระสุนจริงเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
ประตูทางเข้าทาด้วยสีแดงและมีกระเบื้องสีเขียว ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับบ้านหรูๆเหล่านั้นแต่ความสง่างามนี้ดูสบายตามาก เมื่อหม่าห่าวยู่พาเดินเข้าไปและขณะที่เขาเดินเขาก็ตะโกนว่า “คุณปู่หม่า..มีคนกำลังตามหาคุณอยู่..ออกมาพบกับผู้มีพระคุณของผมหน่อยสิ”
“โหวกแหวกโวยวายอะไรของเอ็งเดี๋ยวฉันจะตีให้เข็ดเลย” ภายในบ้านเสียงของชายชราก็ดังขึ้น
จากนั้นหม่าห่าวยู่ก็ดึงเย่เชียนเข้าไปในบ้านโดยตรงและพบชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นซึ่งนั่งแบบทหารที่กำลังนั่งตัวตรงและข้างหน้าเขาก็มีชุดน้ำชาร้อนๆ ซึ่งชายชราผู้นี้สวมเครื่องแบบทหารโดยมีสัญลักษณ์ข้าวสาลีห้าดาวอยู่บนบ่าของเขา นี่คือพลเรือเอก? เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ชายชราค่อยๆเงยศีรษะขึ้นและเมื่อเขาเห็นหม่าห่าวยู่รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและดวงตาของเขาหันไปจ้องมองที่ร่างของเย่เชียนและการแสดงออกของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดนิ่งไปแต่ก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
“ปู่ครับนี่คือพี่ชายที่ผมบอก..ผู้มีพระคุณของผม” หม่าห่าวยู่วิ่งไปด้านข้างชายชราแล้วพูด
เย่เชียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งแต่เขาเดาถูกจริงๆว่าเด็กคนนี้เป็นหลานชายของหม่าเต๋อหงจริงๆและดูเหมือนว่าโลกใบนี้มันจะแคบมาก “สวัสดีครับท่าน!” เย่เชียนพูดพลางก้มหน้าเล็กน้อย
หม่าเต๋อหงก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “มานั่งสินั่งลงก่อน..คุณเป็นคนช่วยชีวิตห่าวยู่เพราะงั้นคุณจึงไม่ใช่คนนอก..ผมประทับใจคุณมาก..ว่าแต่ผมคงไม่ได้จำคุณผิดใช่มั้ย?”
“คุณปู่รู้จักพี่ชายด้วยเหรอ” หม่าห่าวยู่ตกตะลึงเล็กน้อยและถาม
เย่เชียนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างว่างเปล่าแล้วพูดว่า “ท่านรู้จักผมด้วยหรอครับ?”
หม่าเต๋อหงก็พูดด้วยเสียงหัวเราะว่า “ฮ่าๆ..แน่นอนสิฉันรู้เพราะฉันเคยเห็นข้อมูลของคุณในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ..เอกสารข้อมูลของคุณมันมีเยอะมาก..คุณคือราชาหมาป่าเย่เชียน!..ผู้นำองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ยล่ะ!..เมื่อสองสามปีก่อนคุณ ดูเหมือนจะวางมือไปแล้ว..ก่อนหน้านี้คุณเคยรับหน้าที่ฝึกฝนกองกำลังพิเศษให้กับรัฐบาลกลางและทางเบื้องบนก็มอบยศจอมพลให้กับคุณเป็นพิเศษ”
“ราชาหมาป่าเย่เชียน?..ว้าวนั่นเป็นชื่อที่เท่มาก..พี่ชายเป็นทหารรับจ้างอย่างงั้นเหรอ..ผมดูหนังและหนังสือเกี่ยวกับทหารรับจ้างมาเยอะมากและมันก็ยอดเยี่ยมมาก..พี่ชายผมขอเป็นทหารรับจ้างในกองทัพของพี่ชายในอนาคตได้มั้ย” หม่าห่าวยู่ดูตื่นเต้นราวกับว่าทหารรับจ้างเป็นอาชีพที่สนุกสนานอย่างมาก
“การเป็นทหารรับจ้างไม่ใช่เกมแต่เป็นการเอาหัวไปแขวนเอาไว้แล้วชีวิตเอ็งก็จะตกอยู่ในอันตรายทุกๆเมื่อ..เอ็งเกิดมาในครอบครัวที่ดีเพราะงั้นคุณควรจะเป็นทหารจริงๆ” เย่เชียนพูด
หม่าห่าวยู่ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยและรู้สึกผิดหวังแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อหม่าเต๋อหงที่อยู่ข้างๆเห็นเหตุการณ์นี้สีหน้าของเขาก็ดูตกตะลึงอย่างมากเพราะเขาจำสิ่งที่ผู้พันที่ขับรถพูดทางโทรศัพท์ได้เมื่อกี้ดูเหมือนจะจริงว่าหลายชายตัวน้อยของเขานั้นได้เกรงกลัวและเคารพชายหนุ่มผู้นี้อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า “จอมพลงั้นหรอมันไม่คู่ควรกับผมเลยเพราะงั้นไม่มีประโยชน์อะไร..ไม่มีทั้งสิทธิ์และอำนาจใดๆทั้งสิ้น..ถ้าพูดตรงๆมันก็แค่ชื่อเรียกแต่ชื่อนี้กลับอยู่ในสายตาของท่านมันทำให้ผมไม่รู้จะเป็นเกียรติหรือกังวลดี”
การแสดงออกของหม่าเต๋อหงก็ตกตะลึงไม่หยุดแต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีสิทธิ์ในฐานะจอมพลก็จริงแต่นี่ก็เป็นเกียรติที่ประเทศชาติมอบให้คุณและคุณควรรู้สึกภูมิใจ..เมื่อตอนที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีหูวพูดถึงข้อเสนอนี้ออกมาผมก็ค่อนข้างที่จะคัดค้านเพราะคุณเป็นแค่ทหารรับจ้างที่ไม่กลัวตาย..ดังนั้นการให้ยศดังกล่าวแก่คุณย่อมไม่ยุติธรรมกับทหารคนอื่นๆในกองทัพของเราอย่างไม่ต้องสงสัย..ผมขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันว่าถ้าท่านรองหูวและผู้อำนวยการหวงฟู่ไม่ได้ปกป้องคุณเอาไว้ล่ะก็ผมคงจะส่งกองทัพเรือไปจัดการคุณแล้ว”
หม่าห่าวยู่นั้นยังสามารถรับรู้สึกถึงกลิ่นของดินปืนและความตึงเครียดได้อย่างชัดเจนและสีหน้าของเขาก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดจนเขาหันไปมองมาที่หม่าเต๋อหงและพูดว่า “คุณปู่..พี่ชายเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้นะแล้วปู่จะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ได้ยังไง..ถ้าปู่ทำอะไรเขาล่ะก็ปู่ไม่ต้องมาเรียกผมว่าหลานอีกต่อไปและนับจากนี้เราจะแยกทางกันและยุติความสัมพันธ์ของครอบครัว!”