ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 845 ไม่ใช่ศัตรูไม่ใช่มิตรสหาย
ตอนที่ 845 ไม่ใช่ศัตรูไม่ใช่มิตรสหาย
“ทัศนคติของคุณไม่ธรรมดาเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและหยิบนามบัตรออกมาจากเสื้อของเขาแล้วยื่นให้และพูดว่า “นี่คือนามบัตรของผม..คุณสามารถไปทำงานที่สถานบันเทิงภายใต้บริษัทเครือน่านฟ้ากรุ๊ปได้ทุกที่..ถ้าใครถามก็แนะนำตัวไปแล้วผมจะไปจัดการให้เอง..ถ้าคุณยังสามารถอดทนกับวงการบันเทิงสกปรกๆแบบนี้ได้ผมก็จะช่วยคุณเอง”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เพิกเฉยต่อท่าทางที่ดูสงสัยของนักร้องสาวและลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป แม้กระทั่งชื่อของเธอเย่เชียนก็ไม่ได้ถามเลยและเย่เชียนก็ไม่ต้องการอย่างอื่นเพราะเขาเพียงเพื่อให้เธอสามารถรักษาความพากเพียรและทัศนคติของเธอในแวดวงบันเทิงนี้ต่อไปได้ หากเธอยังสามารถทำได้เย่เชียนก็เต็มใจที่จะช่วยเธอและหลังจากนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเอง
หลังจากออกจากประตูบาร์เย่หานหลินก็บอกลาเย่เชียนและเดินจากไปแต่เย่เชียนก็ไม่ได้ถามเขาว่าจะไปไหนหรือทำอะไรเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญสำหรับเย่เชียนแต่เย่เชียนแค่รู้ว่าเย่หานหลินกำลังจะจัดการกับหูชิฟาน ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเย่หานหลินจะใช้วิธีการแบบใดเพราะแค่ต้องการบรรลุผลที่เขาพอใจก็เท่านั้น
ขณะที่เย่เชียนกำลังจะจากไปเย่เชียนก็เหลือบมองอย่างไม่ได้ตั้งใจและเห็นเสียงที่คุ้นเคยแล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาและคิดว่าโลกนี้ช่างเล็กจริงๆเพราะในที่สุดเขาก็ได้พบกับซือจื้อที่นี่ดังนั้นเย่เชียนจึงฉีกยิ้มและเมื่อเขากำลังจะเดินเข้าไปเขาก็เห็นชายหนุ่มสองสามคนกำลังเดินไปทางซือจื้อพอดี
มุมปากของเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่มีความสุขเพราะดูเหมือนว่าพระเจ้ากำลังเข้าข้างเขาเช่นกัน ซึ่งโอกาสที่จะได้เป็นฮีโร่ทำความดีในเวลาที่เหมาะสมนั้นเป็นโอกาสที่หายากมาก
ชายหนุ่มสองสามคนเดินไปที่ด้านข้างของซือจื้อและในไม่ช้าพวกเขาก็ถกเถียงกันแต่การแสดงออกของซือจื้อนั้นไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่น้อยและดูเหมือนว่าเธอคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้อย่างมาก นอกจากนี้เธอยังคงได้รับการสนับสนุนจากชางกวนเจ้อ ในเมืองปักกิ่งอีกด้วยอิทธิพลของตระกูลชางกวนแล้วก็น่าจะมีอยู่ไม่กี่คนที่กล้ารุกรานเธอ
เมื่อเห็นว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมแล้วเย่เชียนก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและเตะชายหนุ่มที่กำลังเดินไปหาซือจื้อโดยไม่บอกไม่กล่าวใดๆ มีเพียงเสียง “ปัง” และชายหนุ่มก็กระเด็นออกไป
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองซือจื้อและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าเราถูกลิขิตให้มาพบกันจริงๆ”
ซือจื้อก็ฉีกยิ้มเบาๆและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่ามันคือโชคชะตาหรือมีใครที่จงใจจัดฉากเอาไว้หรือเปล่า..ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีถ้าหากมีสุภาพบุรุษฮีโร่ออกมาปกป้องแบบนี้แต่มันก็ดูล้าสมัยไปหน่อย”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าซือจื้อจะเข้าใจผิดว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของเขาเอง เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจผมผิดไปนะ..ถึงแม้ว่าผมอยากจะเข้าใกล้คุณจริงๆก็ตามแต่ผมก็ไม่คิดที่จะใช้วิธีที่โง่เง่าแบบนั้นอย่างแน่นอน”
ซือจื้อก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและไม่พูดอะไรอีก
“ในเมื่อเรามีชะตากรรมร่วมกันแบบนี้คุณก็ไม่ควรจะปฏิเสธนะ..คุณต้องไปดื่มกับผม” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์
“ได้สิ” ซือจื้อยิ้มเล็กน้อยและตกลง อันที่จริงแล้วเธอยังต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้เธอจะไม่ต้องการแต่เย่เชียนก็น่าสนใจมากสำหรับเธอ ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ตอนนี้เสน่ห์ของเย่เชียนนั้นมีผลต่อเธออย่างมาก
การโจมตีของเย่เชียนไม่ได้รุนแรงนักและชายหนุ่มก็พยายามจะลุกขึ้นและมองดูเย่เชียนอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วพูดว่า “เฮ้ยแก..กล้าทำฉันงั้นเหรอ?”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมจะไม่กล้า?..เมืองหลวงนี้ไม่ใช่เมืองของนาย..นายคิดว่าทุกคนจะต้องกลัวนายงั้นเหรอ..เธอคือผู้หญิงของฉันถ้านายกล้าแตะต้องเธอล่ะก็นายจะโดนมากกว่านี้”
“แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร..ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีใครกล้าท้าทายตระกูลชางกวน..ฉันชางกวนหยานยู่” ชายหนุ่มพูดด้วยความโกรธ
ชางกวนหยานยู่? นั่นไม่ใช่น้องของชางกวนเจ้อเหรอ? คนที่เย่เชียนคุยกับฉีเยว่เมื่อกี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซือจื้อกับพี่ชายของเขาเลยเหรอ? เขามารุกรานแฟนของพี่ชายตัวเองซึ่งมันตลกจริงๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ซือจื้อไม่ได้เป็นภรรยาของชางกวนเจ้อแต่เป็นแค่แฟนสาว เขาไม่เคยแนะนำน้องชายให้ซือจื้อรู้จักเลยงั้นหรือ? แน่นอนว่าซือจื้อนั้นไม่ได้ถือว่าชางกวนเจ้อเป็นแฟนของเธอเลยเพราะสำหรับเธอแล้วผู้ชายทุกคนเป็นเพียงเครื่องมือที่เธอใช้และไม่ว่าจะเป็นสำหรับความต้องการทางร่างกายของเธอหรือความต้องการด้านอาชีพการงานของเธอก็ตามเพราะในเมืองนี้ทุกคนควรจะรู้วิธีเอาตัวรอดและสำหรับเธอความรักก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ขาดไม่ได้เท่านั้นแต่ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องโหยหามัน หากปราศจากความรักเธอก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระมากขึ้น ดังนั้นสำหรับเธอแล้วเธอจึงถือว่าชางกวนเจ้อนั้นเป็นแค่ตัวหมากของเธอเท่านั้น
เย่เชียนยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ว่ากันว่าเมืองหลวงแห่งนี้เป็นที่ซ่อนของเหล่ามังกรและเสือแต่ฉันก็ไม่เคยพบมังกรและเสือมาก่อนเลย..ฉันเคยเจอแต่ปลาตัวเล็กๆเท่านั้น..คนอย่างนายมักจะคิดว่า.. ‘ฉันเก่งที่สุดในโลก’..ถ้านายยังพูดแบบนั้นวันนี้ฉันจะจัดการแกซะ..ฉันอยากรู้จริงๆว่าแกจะทำอะไรได้บ้าง”
ตระกูลชางกวนได้ประกาศสงครามกับเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สนใจว่าพวกเขาจะรู้รายละเอียดของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปมากแค่ไหนเพราะเนื่องจากคนอื่นๆได้เคลื่อนไหวแล้วเย่เชียนก็จะเริ่มเคลื่อนไหวบ้างและต้องโต้กลับอย่างดุเดือด ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากชางกวนหยานยู่ได้ถูกส่งมายังหน้าประตูเช่นนี้แล้วถ้าเย่เชียนไม่ใช้โอกาสนี้เย่เชียนก็คงจะเสียใจในกับพระเจ้าที่จัดเตรียมเหตุการณ์เหล่านี้มาให้ นี่ถือได้ว่าเป็นการตักเตือนตระกูลชางกวนไม่ให้เย่อหยิ่งอีกในอนาคต
“คุณจะรังเกียจมั้ย?” เย่เชียนหันไปมองซือจื้อและถาม เห็นได้ชัดว่ามันมีความหมายบางอย่างอยู่และซือจื้อก็เข้าใจโดยธรรมชาติแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันชอบผู้ชายแข็งแกร่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ฉีกยิ้มและหันไปมองที่ชางกวนหยานยู่ ซึ่งรอยยิ้มที่มุมปากของเขาทำให้ผู้คนมองมาที่เขาและเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ ตระกูลชางกวนเป็นหนึ่งในแปดตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในโลกศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตระกูลชางกวนไม่ได้อ่อนแอเลย นอกจากนี้เนื่องจากเป็นตระกูลโบราณดังนั้นทักษะการต่อสู้ของชางกวนหยานยู่ก็คงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะฝึกศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณมาตั้งแต่เด็กแต่ความสามารถของเขานั้นยังไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้เขายังชอบอยู่เฉยๆตลอดทั้งวันและมักจะดื่มไวน์เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เชียนได้อย่างไร?
ทุกครั้งที่เย่เชียนย่างก้าวมาที่ผับบาร์แห่งนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีเรื่องดีๆเลย เย่เชียนรู้สึกว่าเขานั้นมีความขัดแย้งกับผับบาร์แห่งนี้อย่างจริงจังและไม่ควรมาที่แบบนี้อีกในอนาคต
ขณะที่เขากำลังจะเริ่มเคลื่อนไหวจู่ๆรถหลายคันก็มาจอดอยู่ที่หน้าร้านและทหารอาวุธครบมือพร้อมกระสุนจริงก็กระโดดลงจากรถและวิ่งเข้าไปในผับบาร์ทันที เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว โดยไม่ต้องคาดเดาเย่เชียนก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นคนของหม่าเต๋อหงอย่างแน่นอนและดูเหมือนว่าอิทธิพลของหม่าเต๋อหงในเมืองปักกิ่งแห่งนี้จะไม่ธรรมดาเลย เมื่อคิดๆดูแล้วเขาก็เป็นถึงพลเรือเอกและเขาก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดา
ทันทีที่เหล่าทหารลงจากรถพวกเขาก็เล็งปืนไปที่ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นและทำให้พรรคพวกของชางกวนหยานยู่ตกใจและหวาดกลัวและพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนซือจื้อที่อยู่ด้านข้างก็หยุดไปชั่วขณะและเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเย่เชียนเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเธอก็คิดว่าผู้จัดการคนนี้มีอำนาจมากกว่าคนก่อนๆอย่างมาก
“แก?..แกต้องการจะทำอะไร?” ชางกวนหยานยู่พูด
“ตระกูลชางกวนอย่างงั้นเหรอ?..ถ้าแกกล้าที่จะท้าทายฉันจะกำจัดตระกูลของแกเอง” ขณะที่เสียงนั้นจบลงชายชราคนหนึ่งก็เดินออกจากรถและชายชราคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหม่าเต๋อหงและข้างหลังของเขาก็คือหม่าห่าวยู่
เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็แน่นิ่งไปชั่วขณะและถึงแม้เย่เชียนจะรู้ว่าหม่าเต๋อหงจะต้องมาในไม่ช้าแต่เขาจะไม่ยอมให้น้ำหนักและเกียรติกับเย่เชียนเช่นนี้ แต่หลานชายอย่างหม่าห่าวยู่นั้นแตกต่างกันและดูเหมือนจะเข้ากับเย่เชียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการนำหม่าห่าวยู่มาด้วยนั้นน่าจะทำให้อะไรๆหลายอย่างง่ายขึ้น
เมื่อเห็นหม่าเต๋อหงแล้วชางกวนหยานยู่ก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งตัวเพราะในเมืองปักกิ่งแห่งนี้ถึงแม้ว่าอิทธิพลของตระกูลชางกวนของเขาจะไม่อ่อนแอแต่ตระกูลชางกวนก็เป็นตระกูลในแวดวงธุรกิจในขณะที่ตระกูลหม่านั้นเป็นตระกูลของทหารและทางการ ดังนั้นเมื่อเทียบกับตระกูลหม่าแล้วเห็นได้ชัดว่าตระกูลชางกวนนั้นด้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“กล้าแตะต้องพี่ชายฉันงั้นเหรอ?” หม่าห่าวยู่วิ่งไปหาเย่เชียนอย่างโกรธเกรี้ยวและพูดกับพรรคพวกของชางกวนหยานยู่
ตอนนี้พรรคพวกของชางกวนหยานยู่ก็ตื่นตระหนกอย่างมากและพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำให้คนระดับนี้ขุ่นเคือง ซึ่งต่อหน้าบุคคลระดับนี้พวกเขาจะไปกล้าพูดอะไรและกลัวว่าจะเผลอพูดอะไรผิดไปแล้วผลที่ตามมาจะยิ่งแย่ลงไปอีก พวกเขารู้ดีว่าความคับข้องใจในวันนี้ต้องถูกระงับเอาไว้แต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าที่จะฆ่าพวกเขาในที่สาธารณะเช่นนี้อย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่ข่มขู่เท่านั้นเพราะท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ว่าอำนาจและอิทธิพลของตระกูลชางกวนจะไม่แข็งแกร่งเท่าตระกูลหม่าแต่ถ้าหากพวกเขากระทำการใดๆในที่สาธารณะเช่นนี้มันก็หลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้อยู่ดี
“หยุด!” เมื่อมองดูทหารที่กำลังจะพุ่งออกไปเย่เชียนก็ตะโกนเสียงดัง “ผมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและจะไม่ยืมแรงของใคร” จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองหม่าห่าวยู่แล้วตบหัวเขาจากนั้นก็พูดว่า “เอ็งยังจำที่ฉันพูดได้มั้ย?..ไม่ว่าครอบครัวของเอ็งจะมีอำนาจมากแค่ไหนแต่ถ้าเอ็งยังเอาแต่ใช้อำนาจของครอบครัวอยู่แบบนี้เอ็งก็จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นลูกหลานที่ไร้ความสามารถที่เอาแต่พึ่งอำนาจและบารมีของครอบครัว”
หม่าห่าวยู่พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและพูดว่า “ผมเข้าใจ..เราต้องแข็งแกร่งด้วยตัวเองเท่านั้น”
เย่เชียนก็ยิ้มและหันไปมองชางกวนหยานยู่และพูดว่า “ไปให้พ้น..ถ้ามีโอกาสเราได้เจอกันแน่!..คราวหน้านายจะไม่โชคดีขนาดนี้”
ชางกวนหยานยู่ไม่สนใจสิ่งอื่นใดในเวลานี้และเขาก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากที่เขาสามารถหลบหนีไปจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ เขาอยากที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้โดยเร็วที่สุด ซึ่งถ้าหากเย่เชียนไม่ปล่อยเขาไปล่ะก็เขาจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องไห้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไปและรีบบอกพรรคพวกของเขาจากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปในทันที