ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 97 หมาป่าในคราบแกะ
เย่เชียนนั้นได้ทานอาหารจากที่บ้านของหลินโรโร่วมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ค่อยหิวเท่าไหร่นัก เขาเลยมีเวลาเฝ้าดูพฤติกรรมการกินอย่างบ้าคลั่งของคนทั้งสี่ตรงหน้า
เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้หญิงทั้งสามคน ฉินหยูดูจะเป็นคนที่มีมารยาทบนโต๊ะอาหารมากที่สุด
“เย่เชียน… ทำไมคุณถึงทำอาหารเก่งขนาดนี้ล่ะ ? คุณไม่ได้ไปเรียนทำอาหารมาหรอกใช่มั้ย ?” หูวเค่อถามขณะที่เธอยังคงยัดอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่หรอก… ผมทำได้แค่บะหมี่เต้าเจี้ยวกับอาหารแคริบเบียนพวกนี้เท่านั้นแหละ ผมไม่ได้ไปเรียนมาหรืออะไรเลย อาจเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ ผมต้องอดอยากมามาก… ผมก็เลยหัดทำอาหารเมื่อโตขึ้น” เย่เชียนพูดอย่างเรียบง่าย
หลังจากตอบคำถามเสร็จ เย่เชียนก็รินไวน์แดงให้ฉินหยูและคนอื่น ๆ รอบโต๊ะ แต่เมื่อเขากำลังจะรินไวน์ให้กับฉินเฟิง ฉินหยูก็พูดขึ้นมาว่า “เขายังเด็กอยู่… อย่ารินให้เขาเลย”
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แหมพี่… ผมอายุตั้งยี่สิบแล้ว ผมไม่เด็กนะครับ”
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ… โอกาสพิเศษทั้งทีให้เขาดื่มนิดดื่มหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยขณะพูด
“แก้วเดียวเท่านั้นนะ” ฉินหยูพูดกับฉินเฟิงหลังจากที่เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินเฟิงหัวเราะอย่างซุกซนและยิ้มให้เย่เชียนด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“สุขสันต์วันเกิด!” เย่เชียนยกแก้วไวน์ขึ้นและโบกมือให้ฉินหยูขณะที่เขาพูด
“ขอบคุณนะทุกคน!” ฉินหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนและชนแก้วของเธอกับเย่เชียน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยกแก้วขึ้น พากันอวยพรวันเกิดให้เธอไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารค่ำกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เย่เชียนก็นำเค้กที่ซื้อมาจากร้านเบเกอรี่ออกมาเพื่อให้ฉินหยูขอพรและเป่าเทียน
พวกผู้หญิงกินเค้กกันไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่พวกเธอใช้เวลาไปกับการเล่นและหยอกล้อกันเสียมากกว่า ใบหน้าและร่างกายของพวกเธอเลอะไปด้วยครีมจากเค้ก ยกเว้นฉินเฟิงที่ดูจะกินเค้กไปเยอะที่สุดแต่เปื้อนครีมเค้กน้อยที่สุด
ดู ๆ แล้วฉินเฟิงน่าจะเป็นคนที่สนุกที่สุด แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างอื่นได้ เขาจึงดื่มเพียงแค่ไวน์แดงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็เมามากทีเดียว เขาดึงเย่เชียนเข้ามาใกล้และเริ่มคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระต่าง ๆ พร้อมกับเรียกเย่เชียนว่า ‘พี่เขย’ เอาเสียดื้อ ๆ
มันจะง่ายดายไปไหมนี่ ? การถูกเรียกว่าพี่เขยนั้นมันทำให้เย่เชียนรู้สึกมีความสุขมาก และในท้ายที่สุดฉินเฟิงก็เดินออกไปที่โซฟา เขาเมาหมดสติอยู่ตรงนั้น
เมื่อเย่เชียนเห็นฉินเฟิงนอนเมาไม่ได้สติอยู่ที่โซฟา เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางคิดในใจว่าเด็กคนนี้ เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้น่ารำคาญอย่างที่คิดเลย อันที่จริงเขาน่ารักมากทีเดียว แต่อาจเป็นเพราะเขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะจึงกลายเป็นคนที่หยิ่งผยอง แต่ลึก ๆ แล้วเด็กแบบนี้ก็มีช่วงเวลาน่าสงสารอยู่เช่นกัน
เย่เชียนเองก็ดื่มไปมากเช่นเดียวกัน เขาหัวเราะออกมาเสียงดังและเริ่มวิ่งเล่นกับหญิงสาวทั้งสามคน เขาอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะแอบคิดในใจว่า ‘นี่เรากำลังก่ออาชญากรรมอยู่หรือยังไง ?’ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มีความวุ่นวายอยู่ไม่น้อยเลย
ฉินหยูนั้น เมื่อเมาได้ที่ก็ไม่มีพฤติกรรมเหมือนกับตัวเธอตามปกติ ฉินหยูที่เป็นดั่งราชินีแห่งภูเขาน้ำแข็งพันปีในเวลาเมาแบบนี้ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย ตอนนี้เธอเป็นเหมือนเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่น่ารักและร่าเริง
ส่วนจ้าวหยา เธอคนนี้เมาหนัก ยัยเด็กนี่ถึงขั้นดึงเขามากอดและโวยวายว่าตัวเธอเองเป็นคู่หมั้นของเขาแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยทำสิ่งดี ๆ ให้เธอเหมือนที่เขาทำให้กับฉินหยูเลย ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเริ่มร้องห่มร้องไห้ขณะที่เดินไปทั่วบ้าน
แน่นอนว่าเย่เชียนที่กำลังเมาอยู่ไม่ต่างกันก็ไม่สามารถรับมือกับจ้าวหยาได้ ในขณะที่หูวเค่อ เธอเป็นคนเดียวที่ยังคงควบคุมสติของตัวเองได้ดีเช่นเคย แต่เธอเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมามากเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ จะแตกต่างกันก็ตรงที่เธอเพียงแค่นั่งเฝ้ามองเย่เชียนด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและยิ้มไปกับพฤติกรรมของคนทั้งหมด เธอนั่งดูการโหวกเหวกโวยวายของจ้าวหยาและยิ้มให้จ้าวหยาเป็นครั้งคราว หรือในบางครั้ง เธอก็เข้าร่วมกับฉินหยูและจ้าวหยาในการหยอกเล่นกันด้วย
ในที่สุดทุกคนก็หมดฤทธิ์ ต่างคนต่างเมามาก สุดท้ายผล็อยหลับกันไปทั้งอย่างนั้น
……
“ห๊ะ…!”
“อ๊า…!”
“อ๊ายยยยยยย…!”
เมื่อถึงตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นไปทั่วบ้าน
เย่เชียนลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงุนงงและจ้องมองหญิงสาวทั้งสามที่อยู่ในท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เมื่อเขามองไปรอบ ๆ เขาก็ต้องตกตะลึงอย่างมาก เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่บนเตียงเดียวกันกับผู้หญิงทั้งสามโดยไม่รู้ตัว
“นี่นาย…! ไอ้คนฉวยโอกาส เมื่อคืนนายทำอะไรลงไปห๊ะ ?!” จ้าวหยาคว้าผ้าห่มมาคลุมหน้าอกของเธอขณะที่เธอถามอย่างแตกตื่น
เย่เชียนก้มหน้าลงและคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำได้แค่ว่าตัวเองหยอกล้อวิ่งเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับพวกเธอทั้งสามคนเพียงแค่นั้น ส่วนที่เหลือมีแต่ความว่างเปล่า ในหัวสมองไม่มีอะไรอีกแล้วที่เขานึกออก
‘มันจะเป็นไปได้ไหมที่พวกเราเมากันมากจนเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ผู้ชายหนึ่งและผู้หญิงสามรุมกันทำเรื่องอย่างว่า… แต่เอ๊ะ…! ทำไมเราถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ ?’ เย่เชียนพยายามคิดแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
เย่เชียนก้มหน้าลงอีกครั้ง เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของเขายังคงอยู่ดี มีเพียงเสื้อโค้ทเท่านั้นที่ถูกถอดออกไป เขามองไปที่จ้าวหยาอย่างไร้เดียงสาและพูดว่า “ฉันจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้”
“นี่นาย… นายยังแสร้งทำเป็นโง่อยู่อีกเหรอ…? เมื่อคืนนายจงใจมอมให้พวกเราเมากันหมด แล้วนายก็ทำอะไรที่มันต่ำช้าอย่างงั้นสินะ! นายมันไร้ยางอาย… นายมันหน้าด้านจริง ๆ!” จ้าวหยาที่กำลังเสียใจพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
เย่เชียนรู้สึกผิดอยู่ในใจของเขา เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตัวฉันเองก็เมามากจริง ๆ นี่นา ฉันไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ฉัน… ฉันจะฆ่านาย… ฉันจะฆ่านายทิ้งซะเดี๋ยวนี้แหละ!!!” จ้าวหยาไม่พูดเปล่า เธอโน้มตัวเองไปที่เย่เชียนอย่างโกรธแค้น ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะเกลียดเย่เชียนอย่างที่สุดจนถึงขั้นต้องการที่จะขย้ำและหักกระดูกของเขาให้แตกคามือ
“หยาเอ๋อร์! หยุดได้แล้ว!” ฉินหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
“เจ๊หยู…! ทำไมเจ๊ถึงยังปกป้องเขาอยู่อีกล่ะ! บางทีเมื่อคืนเขาอาจจะใส่ยาลงไปในไวน์ก็ได้นะ! เขาคงวางแผนเอาไว้ทุกอย่างแล้ว” จ้าวหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจ
ท้ายที่สุดฉินหยูก็สามารถทำให้จ้าวหยาใจเย็นลงได้ อันที่จริงตอนที่ตัวเธอเองเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เธอก็ตื่นตระหนกเช่นกัน แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าตัวเองยังคงมีเสื้อผ้าครบดีอยู่และร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงมั่นใจว่าเมื่อคืนเย่เชียนไม่ได้ทำอะไรพวกเธอเลย ทุกคนน่าจะเมากันมากก็เลยเผลอนอนบนเตียงเดียวกันด้วยกันทั้งสี่คนแล้วหลับไปก็แค่นั้น
“สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง… เราทุกคนเมากันมากเมื่อคืน” ฉินหยูตอบอย่างจริงจัง
“เจ๊จะรู้ได้ยังไงล่ะ ? เจ๊หลงกลหลงเชื่อเขาไปแล้วเหรอ เขาเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะน้อย เขาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่สวมหนังของมนุษย์อยู่นะเจ๊!” จ้าวหยาพูดอย่างโกรธเคือง
เย่เชียนฝืนยิ้มอย่างขมขื่น อันที่จริงเขาแอบเสียใจอยู่นิด ๆ เพราะการที่จ้าวหยาเรียกเขาว่าหมาป่านั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่การเรียกเขาว่าสัตว์เดรัจฉานมันรุนแรงเกินไป เขาจึงจ้องมองจ้าวหยาและพูดกับเธอ
“จ้าวหยา เธอ! เธอคิดว่าฉันอยากทำอะไรกับเธอมากงั้นเหรอ ? รู้มั้ยว่าตลอดทั้งคืนเธอน่ะเหมือนปลาที่เน่าตาย แค่ยังไม่มีกลิ่นเท่านั้น!”
“นี่นาย…!” จ้าวหยาไม่สามารถอดกลั้นกับความคับแค้นในใจของเธอได้อีกต่อไป เธอจึงเริ่มร้องห่มร้องไห้อย่างหนักหน่วงจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วครู่และคิดย้อนกลับไปว่าคำพูดที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปนั้นทำร้ายจิตใจเธอมากเกินไปหรือเปล่า เดิมทีเขาคิดว่าจ้าวหยาเข้มแข็งขึ้นมากแล้วและจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีก แต่นี่เธอร้อง…
ให้ตายสิวะ! ตอนนี้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว
หูวเค่อที่ตอนนี้นิ่งสงบที่สุด พยายามปลอบจ้าวหยาอย่างอ่อนโยน ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างมีเหตุผลและไหวพริบที่ดีทีเดียว เห็นได้ชัดว่าเธอรู้และเข้าใจว่าเมื่อคืนนี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ
ฉินหยูมองเย่เชียนและดูเหมือนว่าอยากจะตำหนิเย่เชียนที่เขาพูดแรงเกินไป
ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของฉินหยูนั้น จ้าวหยาก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ได้รับการเลี้ยงดูประคบประหงมมาอย่างดี เลยทำให้เธอนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนิสัยของจ้าวหยาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ดีและซื่อสัตย์คนหนึ่ง มีเพียงการพูดการจาของเธอเท่านั้นที่ยังเหมือนเด็กน้อย
เย่เชียนรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ อย่างขมขื่นสองสามครั้ง จากนั้นก็โน้มตัวเองเข้าไปหาจ้าวหยาแล้วพูดว่า “เรามาดีกันเถอะนะหยาเอ๋อร์… ฉันขอโทษ… หยุดร้องไห้ได้แล้วนะ… ไม่งั้นเธอจะกลายเป็นแมวน้อยขี้แยถ้าเธอยังไม่หยุดร้องไห้ เมี๊ยว ๆ”
เย่เชียนทั้งพูดปลอบจ้าวหยาด้วยความตั้งใจสรรหาคำพูดสุด ๆ อีกทั้งเขายังพยายามทำหน้าตลกจิ้มลิ้มไปด้วย หากใครก็ตามที่รู้ถึงสถานะตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนได้มาเห็นเขาในตอนนี้ พวกเขาก็คงจะแน่นิ่งไปและอาจจะถึงขั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างของพวกเขาไปด้วย
ใครจะไปคิดล่ะว่าราชาหมาป่าเย่เชียนที่สง่าผ่าเผยและยิ่งใหญ่ของพวกเขา จะกำลังทำหน้าตาตลกเพื่อปลอบโยนเด็กผู้หญิงอย่างนี้…