ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 232 งานชุมนุม (4)
บทที่ 232 งานชุมนุม (4)
เฉินอวิ๋นเซียงคล้ายกับสนิทกับเหอเซียงจื่อมาก ไม่นานทั้งสองก็คุยกันอย่างออกรส คนที่เหลือแทรกไม่ได้
เหล่าสตรีจากสำนักหยกกังวานโอภาปราศรัยกับเหอเซียงจื่อสักพัก ค่อยหาที่นั่งเพื่อนั่งลงพักผ่อน ทั้งสั่งกับข้าวสองสามอย่าง
“ข้าได้ยินเรื่องของเฟยหวงจื่อแล้ว…” เฉินอวิ๋นเซียงแสดงสีหน้ารังเกียจ “คิดไม่ถึงเขาจะเป็นคนแบบนี้ เสียทีที่เมื่อก่อนข้าชื่นชมเขา”
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว” เหอเซียงจื่อกล่าวอย่างจนปัญญา
“กล่าวตามจริง สำนักหยกกังวานของพวกเรามีพวกเจ้าคอยสนับสนุนอยู่ตลอด ครั้งนี้ถ้าพวกเจ้าต้านทานไม่ไหว พวกเราเองก็คงอเนจอนาถเหมือนกัน เหอเซียงเจ้าบอกข้าตามตรง พวกเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะจัดการได้” เฉินอวิ๋นเซียงถามเบาๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้…” เหอเซียงจื่อตอบอย่างจนใจ “วันนี้ดีที่มีศิษย์…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงอีกเสียงตัดบท
“อ้าว นี่มันเหอเซียงจื่อแห่งสำนักมารกำเนิดนี่ ยังไม่ล่มสลายอีกหรือ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้าสวะเฟยหวงจื่อทรยศไปแล้ว ไม่แปลกนัก สำนักที่แม้แต่ทรัพยากรก็ให้ไม่ได้ เข้าไปแล้วมีประโยชน์อะไร” มีคนอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นโรงเตี๊ยมมา บุรุษที่อยู่ด้านหน้าหัวเราะเยาะเย้ย
“สำนักจุดพิสดาร…หลี่ตู้!” พอเหอเซียงจื่อเห็นคนผู้นี้ หน้าตาก็ซีดเซียวอยู่บ้าง
เฉินอวิ๋นเซียงที่อยู่ด้านข้างรีบยื่นมือมาปลอบเหอเซียงจื่ออย่างแผ่วเบา ส่ายหน้าให้นาง ขณะเดียวกันก็กระซิบบอกกับลู่เซิ่งว่า
“งานชุมนุมครั้งก่อน เหอเซียงแพ้คนผู้นี้ แขนสองข้างถูกฟันขาด…น่าอนาถมาก”
ลู่เซิ่งพยักหน้า ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
งานชุมนุมใกล้จะมาถึง แต่ละสำนักต่างมาพักที่เมืองกระดิ่งขาวเพื่อรอให้งานชุมนุมเริ่ม นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็เจอสหายเก่ากับคู่อริเก่าของสำนักมารกำเนิดแล้ว
ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายเหน็บแนบสองสามประโยคแล้วนั่งลงโดยไม่แสดงท่าที เขากับเหอเซียงจื่อไม่ได้โต้ตอบ
เนื่องจากอาจารย์และศิษย์ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ในฐานะเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสใหญ่ต้องไปยังที่ตั้งของงานชุมนุมก่อนตามลำพัง พวกเขาในฐานะศิษย์ หลังแยกตัวแล้วก็ให้ผู้นำเป็นคนนำกลุ่ม จะรุกหน้าหรือถอยหลังก็ต้องทำตาม ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นการทดสอบบารมีและความสามารถในการนำกลุ่มของผู้นำได้ดีที่สุด
บวกกับอาณาเขตของที่นี่เป็นสถานที่รวมตัวกัน ซึ่งได้รับความเห็นชอบอย่างลับๆ จากสำนักระดับสามขั้นล่าง การเจอคู่ต่อสู้เก่าในเวลาสั้นๆ แบบนี้ถือว่าอยู่ในความคาดหมาย
ลู่เซิ่งแค่ไม่อยากให้การสืบทอดขาดสะบั้น เลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก เขาไม่อยากทำตัวเด่นเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเปิดเผยสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย
คนของสำนักจุดพิสดารมาถึงแล้ว พักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เช่นกัน
สักพักหนึ่งพี่น้องตระกูลจ่านก็มาถึง เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักมารกำเนิด แม่เฒ่าชิงคงจึงจัดให้ผู้นำ นำกลุ่มไปพร้อมกับขบวนของสำนักมารกำเนิด จะได้ดูแลกันสะดวก
แต่ในความจริงแล้ว ใครๆ ก็ดูออกว่านางคิดจะดูแลศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อ
“เหอเซียง สหายลู่” จ่านข่งหนิงประสานมือพลางกล่าวกับลู่เซิ่งและเหอเซียงจื่อด้วยรอยยิ้ม “เสียเวลาระหว่างทาง จึงมาช้าไปบ้าง ขออภัยๆ”
“สหายจ่านเกรงใจแล้ว” ลู่เซิ่งลุกขึ้น บุ้ยใบ้ให้พวกเขามานั่งลงใกล้ๆ
พี่น้องตระกูลจ่านนำคนของสำนักสวนปลอดโปร่งนั่งลงด้านข้าง ที่นั่งชั้นสองเต็มแล้ว
สำนักมารกำเนิด สำนักสวนปลอดโปร่ง ยังมีสำนักหยกกังวาน และสำนักจุดพิสดารที่มาถึงก่อนนั่งเต็มชั้นสองพอดี
สำนักสวนปลอดโปร่งไม่คุ้นเคยกับสำนักหยกกังวาน ทว่าเพราะมีเหอเซียงจื่อแนะนำ บวกกับคนของสำนักหยกกังวานส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม จึงทำให้ท่าทีของศิษย์บุรุษในสำนักสวนปลอดโปร่งค่อนข้างเป็นมิตร บรรยากาศครึกครื้นขึ้นชั่วขณะ
ลู่เซิ่งโบกมือให้คนของพรรควาฬแดงลงไปก่อน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาจะเข้าร่วมได้อีกแล้ว
ต่อให้คนที่นั่งอยู่อ่อนแออย่างไร เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างพรรควาฬแดง พลังสายเลือดของคนในสำนักก็ยึดครองความได้เปรียบชนิดบดขยี้อย่างเด็ดขาดได้อยู่ดี เป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิง
คนของพรรควาฬแดงอยู่ที่นี่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ กลับเตะตา เขาจึงให้พวกเขาออกไปก่อน
ทุกคนกินพลางคุยพลาง เหอเซียงจื่อเริ่มเล่ารายละเอียดที่เกี่ยวกับงานชุมนุมส่วนหนึ่งให้ลู่เซิ่งฟัง
“กระบวนการของงานชุมนุมแบ่งออกเป็นสามส่วน คือต่อสู้ภายใน รุกภายนอก ปกป้องผลงาน”
“ต่อสู้ภายในซึ่งเป็นขั้นตอนแรก คือระดับสามขั้นบน สามขั้นกลาง และสามขั้นล่างชิงการจัดอันดับภายในส่วนที่ตัวเองอยู่ รุกภายนอกซึ่งเป็นขั้นที่สองคือ สามอันดับแรกที่เก่งกาจที่สุดหลังจากการต่อสู้ภายในมีคุณสมบัติท้าทายสำนักอันดับท้ายที่สูงกว่าขั้นหนึ่ง ถ้าหากว่าสำเร็จ จะท้าสู้เพื่อชิงการจัดอันดับใหม่ได้เรื่อยๆ อันดับสามก็คือปกป้องผลงาน หลังจากชิงการจัดอันดับใหม่ได้ ก็คือการรักษา รักษาอันดับที่ตนได้มาใหม่ รับการท้าทายสามครั้งจากสำนักอื่นๆ ที่อยู่ต่ำกว่า”
เหอเซียงจื่อบรรยายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ลู่เซิ่งพอฟังก็เข้าใจทันที
“ถ้าอย่างนั้น สำนักที่มียอดฝีมือหลายคนคงจะได้เปรียบมากกระมัง”
“ถูกต้องแล้ว พลังกายของคนคนหนึ่งมีจำกัด สำนักหนึ่งมีผู้นำได้แค่คนเดียว สุดท้ายก็ยากจะได้อันดับที่สูงกว่าเดิม ทว่าเป็นเพราะถ้าพลังแข็งแกร่งก็คงไม่อ่อนแอมาก นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ร้อยเส้นสายทดสอบ การได้ศิษย์ดีๆ สักคนไม่นับว่าแย่ กระนั้นก็ไม่นับว่าดีมาก นอกเสียจากมีศิษย์มากมายที่แข็งแกร่ง นี่จึงเป็นสำนักที่ร้ายกาจ” เหอเซียงจื่ออธิบาย
“นอกจากนี้ทรัพยากรก็แบ่งตามอันดับด้วย” เฉินอวิ๋นเซียงแห่งสำนักหยกกังวานกล่าวเสริม
“ศิษย์พี่ใหญ่ สำนักหยกกังวานของพวกเราอันดับไม่สูง แล้วทำไมถึงมีทรัพยากรมากมายนักเล่า” เด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งลุกขึ้นถามอย่างสงสัย
เฉินอวิ๋นเซียงได้ยินก็แก้มแดง ท่ามกลางคนมากมาย นางคงบอกไม่ได้กระมังว่าเป็นคนรักเก่าของเจ้าสำนักส่งให้
แม้ทุกคนจะรู้อยู่แล้ว ทว่าการบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาสุดท้ายก็ดูไม่ดีนัก
ปล่อยความกระอักกระอ่วนให้ทางสำนักหยกกังวานไปก่อน
“คู่ต่อสู้อันดับหนึ่งของพวกเราในครั้งนี้สมควรเป็นหลี่ตู้จากสำนักจุดพิสดาร” เหอเซียงจื่อเตือนขึ้นด้านข้างลู่เซิ่งเบาๆ
“ถ้าหากสู้เสมอ ก็น่าจะรักษาอันดับในครั้งนี้ไว้ได้ เพียงแต่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…ถ้าเป็นเฟยหวงจื่ออาจพอมีทาง” เหอเซียงจื่อกล่าวอย่างจนปัญญา
“สู้เสมอกับเขาหรือ ง่ายดายมาก ข้าจัดการเอง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ เฟยหวงจื่อก็แค่ระดับเบญจลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด เท่ากับยอดฝีมือระดับจตุลักษณ์ของสำนักอื่นๆ
ระดับแบบนี้สำหรับลู่เซิ่งเป็นตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา
คนที่เขาเป็นห่วงไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกนี้ หากเป็นเทพสัญจร มือมืดที่อาจจะโผล่มาในที่ลับ
เหอเซียงจื่อรู้แล้วว่าลู่เซิ่งมีพลังแข็งแกร่งกว่านาง แต่ก็ยังคงวิตกอยู่บ้าง
“ศิษย์น้อง การแข่งขันนี้ใช้ได้แต่วิชาลับของสำนักมารกำเนิด ข้ารู้ว่าก่อนเจ้าเข้าสำนักก็มีความสามารถอยู่แล้ว แต่นั่นไม่นับ…”
“ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “วางใจเถอะ” ตอนนี้สิ่งที่เขาวางแผนก็คือ รักษาอันดับของสำนักมารกำเนิด ไม่ให้การสืบทอดขาดสะบั้นก็พอ ขอแค่ไม่เด่นเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ก้าวเดินอย่างมั่นคง รักษาอันดับเอาไว้ นี่เป็นแผนการของเขา
กินข้าวเสร็จ ทุกคนก็เข้าห้องพักผ่อน ส่วนที่ไปเดินเล่นด้านนอกก็ออกไป
โรงเตี๊ยมนี้เป็นกิจการของร้อยเส้นสาย อยู่ที่นี่สามารถพูดจาได้ตามที่ใจอยาก ในความจริงแล้วสถานที่หลายแห่งของเมืองกระดิ่งขาวเป็นกิจการของสำนักหรือไม่ก็ตระกูลขุนนาง
ลู่เซิ่งกินข้าวเสร็จ รู้สึกว่ายังไม่อิ่ม จึงคิดอาศัยข้ออ้างว่าไปเดินเล่นเพื่อหาอะไรกินเพิ่ม ถือโอกาสแวะติดต่อขอโอสถสำหรับบำรุงจากบริวารในพรรควาฬแดง
เหอเซียงจื่อไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนเขา ตั้งใจถกกลยุทธ์กับเฉินอวิ๋นเซียงในโรงเตี๊ยม
ลู่เซิ่งเพิ่งเดินมาถึงประตูโรงเตี๊ยม พี่น้องตระกูลจ่านก็ติดตามออกมา คล้ายรอใครบางคนอยู่
“สหายลู่ พวกเรากำลังรอศิษย์พี่ฟางถานจากสำนักประกายปัญญาศิลา ถ้าสหายลู่ไม่มีธุระ รอด้วยกันดีหรือไม่” จ่านข่งหนิงเสนออย่างเป็นมิตร
“สำนักประกายปัญญาศิลาหรือ” ลู่เซิ่งจำได้ว่ารายชื่อบอกไว้ว่าสำนักนี้อยู่ในระดับสามขั้นกลาง อันดับก็คล้ายอยู่ค่อนไปด้านหน้า คิดไม่ถึงว่าจ่านข่งหนิงจะติดต่อกับระดับชั้นนี้ได้
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก จ่านข่งหนิงมีพลังไม่เลว อยู่ในแวดวงระดับสูงก็เข้าใจได้
“ไม่เป็นไร ข้าอยากไปเดินเล่นคนเดียว” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
“สหายลู่ เวลาเดินเล่นคนเดียวมีมากมาย แต่ศิษย์พี่ฟางมีนิสัยน่าคบ ตอนนี้อยู่ในช่วงงานชุมนุมที่สำคัญ ทำความรู้จักไว้ก่อนอาจจะมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงก็ได้” จ่านข่งหนิงเกลี้ยกล่อม
ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดอยู่ในช่วงสำคัญในการรักษาอันดับ การมีผู้นำสนับสนุนเพิ่มมา อาจจะมีส่วนช่วยเหลือเล็กน้อยในเวลาสำคัญก็ได้
“ไม่เป็นไร ข้าชอบไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่สนใจ “เช่นนั้นขอลาก่อน”
จ่านข่งหนิงจนปัญญาเล็กน้อย ได้แต่ประสานมือ “ก็ได้ สหายลู่รีบไปรีบกลับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราอาจต้องไปที่ตั้งงานชุมนุม”
“ได้!” ลู่เซิ่งหมุนตัว เดินไปยังถนนที่ขายของกิน
จ่านหงเซิงมองเงาหลังของลู่เซิ่ง ยิ่งมายิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้น่ารังเกียจ
“คนอะไรกัน! พวกเรากำลังช่วยเขาอยู่แท้ๆ ท่านพี่อุตส่าห์ช่วยหาเส้นสายให้ ดูทำตัวเข้า! ไม่มีความสามารถก็ว่าไปอย่าง แต่ยังไม่รู้จักตัวเอง นึกว่าตัวเองร้ายกาจ ผลลัพธ์ปรากฏค่อยรู้ว่าไม่รู้จักประมาณตัว” นางย่นคิ้วงาม กล่าวอย่างไม่พอใจ
“สหายลู่อาจจะมีแผนการของตัวเองก็ได้” จ่านข่งหนิงกล่าวอย่างจนใจ
จ่านหงเซิงยังคิดพูดอีก กลับเห็นบุรุษสวมอาภรณ์เขียวหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยเดินเข้ามาหา
บุรุษผมยาวที่สูงกว่าหล่อเหลาเย็นชา แขวนหอกสั้นเล่มหนึ่งไว้ที่เอว ด้านหลังสะพายหอกยาวเล่มหนึ่ง ดวงตากระจ่างเย็นเยียบ ใบหน้าค่อนข้างงดงาม คล้ายกับไม่ว่ามองใครต่างก็ทำท่าเย็นชา
พอมองเห็นพี่น้องตระกูลจ่านไกลๆ ในส่วนลึกของดวงตาก็ปรากฏความยินดี แต่ก็ปิดบังอำพรางไว้อย่างว่องไวทันที
รอจนเข้าใกล้แล้ว
“สหายฟางสบายดีหรือ” จ่านข่งหนิงเข้าไปทักทาย
แม้อีกฝ่ายจะอยู่ในระดับฉลักษณ์เหมือนกับเขา แต่พลังในความเป็นจริงจะมีความแตกต่างตามความแข็งแกร่งอ่อนแอของวิชาลับในสำนัก ความแตกต่างนี้ถึงขั้นเกี่ยวข้องกับความแตกต่างของจำนวนลักษณ์เหมือนกับสำนักมารกำเนิดกับสำนักอื่นๆ
ในฐานะผู้นำ พลังฝึกปรือของสำนักระดับสามขั้นกลางกับสามขั้นบนจะอยู่ระหว่างฉลักษณ์และสัตตะลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากแตกต่างกันไม่มาก และหยุดอยู่ในระดับนี้เป็นเวลานาน ดังนั้นพวกผู้นำจึงมีการแบ่งอย่างละเอียดในด้านการเปรียบเทียบพลัง
ระหว่างฉลักษณ์ถึงสัตตะลักษณ์ พวกเขาแบ่งย่อยๆ ออกเป็นผู้นำทั่วไป ผู้มีพลัง และระดับสุดยอด
ความจริงแล้วระดับสามระดับนี้เป็นการแบ่งตามผลงานการต่อสู้และชื่อเสียง
ฟางถานในวันนี้เป็นผู้มีพลังตัวจริง พูดชื่อของเขาไป สำนักอื่นๆ จะวิจารณ์กันว่าคนผู้นี้มีพลังไม่เลว ไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา
และนี้ก็เป็นผลลัพธ์ที่เขากราบเข้าสำนักประกายปัญญาศิลาและฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี
“ศิษย์พี่ฟางไม่เจอกันนาน” จ่านหงเซิงยิ้มอย่างไร้เดียงสาพลางเดินเข้าไปหา
“หงเซิง บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ฟางก็พอ” ฟางถานสีหน้าเย็นชาสงบนิ่ง แต่ในใจกลับยินดี
“พี่ข้าอยู่ข้างๆ เรียกท่านพี่ใหญ่เดี๋ยวเขาจะหวงเอา” จ่านหงเซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จ่านข่งหนิงลูบจมูกอย่างจนปัญญา
“จริงสิสหายฟาง อู่เฮ่าจื่อคู่ต่อสู้ของท่านในครั้งนี้ได้ยินว่าเลื่อนระดับแล้ว คิดจะรักษาอันดับก่อนหน้าไว้ ท่านต้องระวังตัวให้ดี”
“อู่เฮ่าจื่อหรือ” ฟางถานสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “สู้กับเขา สามหอกก็พอแล้ว” ใบหน้าของเขาเฉยชา เผยมาดยอดฝีมือผู้ร้ายกาจออกมาจางๆ
“แต่เขาก็ทะนงตนได้ ในสำนักระดับสามขั้นกลาง คนที่รับมือข้าได้สามหอกมีไม่มากหรอก” เขากล่าวเบาๆ
จ่านหงเซิงที่เห็นดังนั้น ดวงตาอดปรากฏความนับถือไมได้
“ยังเป็นศิษย์พี่ฟางร้ายกาจ ไม่เหมือนบางคน”
“อ้อ? หงเซิงหมายถึงบุรุษที่เพิ่งผละไปคนนั้นหรือ” ดวงตาฟางถานเป็นประกายเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ลู่เซิ่งจากสำนักมารกำเนิดนั่น เป็นคนที่มาจากแดนเหนือ ดูเหมือนจะนึกว่าตัวเองเก่งกาจมาก ครั้งนี้สำนักมารกำเนิดต้องการตั้งหลัก ข้าว่าน่าจะล้มเหลว” จ่านหงเซิงห่อปากพร้อมกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “พี่ข้าช่วยเขาขนาดนี้ เขากลับไม่รู้จักรับไว้ สำนักมารกำเนิดทรุดโทรมถึงขนาดนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“งั้นหรือ” สีหน้าของฟางถานไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับจดจำชื่อลู่เซิ่งไว้
……………………………………….