ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 276 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (6)
บทที่ 276 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (6)
ลู่เซิ่งรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด ความตื่นตระหนก ความสิ้นหวัง และความสับสนที่ฉายออกมาจากในดวงตาดวงนั้น
“สวัสดี” ลู่เซิ่งคิดจะคุยกับอีกฝ่าย
“เจ็บเหลือเกิน…” เสียงที่ไม่รู้ว่าใช้ภาษาอะไร แต่กลับทำให้เขาเข้าใจได้อย่างน่าประหลาดตอบกลับมาจากในร่องแยก
“ท่านพูดอะไร” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “เปิดประตูได้ไหม”
“เจ็บ…”
แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี แต่ยังคงเป็นคำตอบที่แหบแห้งทุ้มต่ำ
“มีวิธีอะไรเปิดประตูได้บ้าง ข้าช่วยท่านออกมาได้นะ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม เขาคิดจะทำการติดต่อกับอีกฝ่าย
“เจ็บ..”
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับประตูใหญ่ เริ่มออกแรงผลัก แต่ว่าบานประตูหนักอึ้งอย่างเหนือความคาดหมาย ต่อให้เป็นพละกำลังของเขาก็เปิดไม่ได้
น้ำในธารหมอกพิษยังคงไหลเรื่อยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของธารหมอกพิษแท้ๆ แต่กลับถูกประตูที่น่าประหลาดเหลือแสนขวางทางไว้
“ข้ามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ หวังว่าจะเจอต้นกำเนิดของสายน้ำสายนี้ ท่านบอกข้าได้ไหมว่าสายน้ำนี้มาจากที่ใดกันแน่ ข้ามองไม่เห็นจากมุมของข้า” ลู่เซิ่งลองถามอีกฝ่ายตรงๆ “ข้าสามารถใช้ของจากด้านนอกเป็นค่าตอบแทนได้”
“…เจ็บเหลือเกิน…” คนผู้นี้คล้ายตอบได้แค่คำเดียว คือคำว่าเจ็บ
ตุบๆๆ
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง
เขาหมุนตัวกลับ เห็นเพียงเงาของคนผู้หนึ่งปรากฏแวบขึ้นตรงประตูทางเชื่อมตอนมา
“รอเดี๋ยว!” อุตส่าห์ได้เจอคน ลู่เซิ่งย่อมไม่ยอมคลาดไป สาวเท้าไล่ตามไป ใช้วิชาแสงมายากระทืบพสุธาในฉับพลัน พุ่งไปหลายสิบหมี่แทบจะในพริบตา จนไล่ทันทางเลี้ยวที่เงาหายไป
ทว่าพอมาถึงอุโมงค์ตรงมุมเลี้ยว เขาก็ยังคงเห็นแค่เงาเล็กๆ ของอีกฝ่าย
คนผู้นั้นมีรูปร่างเล็ก เหมือนจะเป็นเด็ก วิ่งลับมุมโค้งจนเหลือเพียงเงาพอดี
“รอก่อน!” ลู่เซิ่งไล่ตามไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่คลาดแล้ว ในอุโมงค์ที่มืดมิดเต็มไปด้วยหมอกสีเทา ลู่เซิ่งได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ
ฮือๆๆ…
เขามองไปตามเสียง
เห็นเด็กผู้หญิงอ้วนจ้ำม่ำสวมเสื้อขาดๆ นั่งยองๆ อยู่มุมหนึ่งของอุโมงค์ ก้มหน้าร้องไห้อย่างโศกเศร้าโดยหันหลังให้แก่เขา
“บอกข้าได้ไหมว่าจะเข้าไปในประตูใหญ่บานนั้นได้ยังไง แล้วก็ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่” ลู่เซิ่งไม่ได้ประมาทเข้าใกล้เกินไป ทุกสิ่งของที่นี่ผิดปกติเล็กน้อย เขาไม่ใช่คนชอบเสี่ยง
เด็กผู้หญิงไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย ยังคงนั่งร้องไห้อยู่ตรงมุมนั้นต่อไป
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว โบกมือปล่อยมารหยินตัวหนึ่งออกมา เป็นกระทิงปวดร้าวพอดี ปราณมารกลุ่มใหญ่มากมายรวมตัวกันกลายเป็นร่างของกระทิงสี่เขา
ฟู่ว!
กระทิงปวดร้าวพ่นลม มองลู่เซิ่งด้วยดวงตาดุร้ายก่อน หลังจากสั่นกลัวทีหนึ่งก็เลื่อนสายตาไปจับจ้องเด็กผู้หญิงตรงมุมนั้น
มอ!
กระทิงปวดร้าวพุ่งใส่อีกฝ่าย ร่างกายอันหนักอึ้งก่อให้เกิดเสียงกีบเท้าดังก้อง
ตูม!
ทุกอย่างสงบลงในชั่วพริบตา กระทิงพุ่งหายเข้าไปในผนังหินเหมือนกับภาพลวงตา เด็กผู้หญิงยังคงนั่งร่ำไห้อยู่ที่เดิม แม้แต่อิริยาบทก็ไม่เปลี่ยนแปลง
‘นี่…’ ลู่เซิ่งลังเล เขาลังเลอยู่ว่าจะหยั่งเชิงอีกฝ่ายต่อดีหรือไม่ ปัจจุบันพละกำลังของกระทิงปวดร้าวได้รับการยกระดับด้วยความเร็วสูงเพราะปราณมารกำเนิดของเขาเพิ่มระดับขึ้น ไม่ทราบแข็งแกร่งกว่ามารหยินของร่างมารสดับสงัดในฉบับเดิมขนาดไหน แต่เมื่อครู่ถึงกับหายไปเสียเฉยๆ เลยหรือ
“ในเมื่อเจ้าโผล่ขึ้นมาต่อหน้าข้า อย่างนั้นจะต้องมีเป้าหมายของตัวเองกระมัง” เขาเกร็งร่าง เดินเข้าหาเด็กผู้หญิงอย่างช้าๆ โดยเตรียมเปลี่ยนเป็นร่างเดิมทุกเวลา
“แต่เจ้าเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะทำอะไรกันแน่” เขาพยายามทำให้ตัวเองอ่อนโยนขึ้นส่วนหนึ่งขณะที่เข้าใกล้อีกฝ่าย
“เจ็บ…” เด็กผู้หญิงพลันส่งเสียง
“อะไรนะ” ลู่เซิ่งได้ยินไม่ชัด เข้าใกล้อีกสองสามก้าว
“ข้าบอกว่า…เจ็บเหลือเกิน…” เด็กผู้หญิงค่อยๆ เบือนหน้ามา เสียงของนางเปลี่ยนจากเสียงของเด็กที่อ่อนวัยเป็นเสียงอันน่ากลัวที่แก่ชราทุ้มหนักอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดลู่เซิ่งก็เห็นหน้านางแล้ว
นั่นเป็นใบหน้าที่กำลังละลายเหมือนเทียนไขสีขาว
ของเหลวเหนียวหนืดสีขาวหยดจากคางของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของนางละลายตลอดเวลา ทว่าสิ่งที่ประหลาดก็คือหลังจากใบหน้าละลายไปแล้ว ส่วนที่ควรจะเหลือแค่กระดูกและเลือดเนื้อยังมีใบหน้าที่สองอีก
ข้างใต้ใบหน้าเป็นใบหน้าอีกใบ วนเวียนไปมา ละลายเป็นของเหลวเหนียวๆ หยดลงมาตลอดกาล
“เจ็บ…เจ็บเหลือเกิน…” เด็กผู้หญิงร้องไห้อย่างเจ็บปวด ทว่าเสียงกลับอ่อนแอแก่ชราอย่างคนแก่
ฟิ้ว!
ชั่วขณะนั้น ในพริบตาที่ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย นางก็พุ่งเข้าหาส่วนศีรษะของเขาอย่างกะทันหัน
ลู่เซิ่งยกมือขึ้นคว้าใส่โดยไม่แม้แต่จะคิด
การเคลื่อนไหวของเขาเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งถึงตัว เขาก็จับคอนางไว้ แล้วพ่นปราณมารใส่
ตูม! เด็กหญิงระเบิดเป็นของเหลวข้นสีดำนับไม่ถ้วน
ทุกอย่างสงบลง
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น เห็นส่วนที่สัมผัสกับอีกฝ่ายไม่รู้มีรอยสีดำจุดหนึ่งเพิ่มมาตอนไหน
ในการปะทะกันเมื่อครู่ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ออกแรง อีกฝ่ายชนใส่ฝ่ามือของตนเอง เหมือนกับฆ่าตัวตาย
‘เหมือนนางกำลังร้องขอความตาย…’
ลู่เซิ่งสลัดความประหลาดใจทิ้ง เดินไปถึงข้างของเหลวเหนียวสีดำที่สาดกระเซ็นอยู่บนพื้น แล้วนั่งลงตรวจสอบ
ของเหลวเหนียวหนืดยิ่ง เหมือนกับน้ำมันสีดำที่ถูกต้มมานานมาก และส่งกลิ่นประหลาดเข้มข้น เป็นกลิ่นเหมือนเลือดเนื้อไม่ได้รับการทำความสะอาดผสมกับน้ำมันจากพืช
‘นี่คืออะไร…’ อยู่ๆ สีหน้าลู่เซิ่งก็เปลี่ยนแปลง
น้ำมันสีดำนี้ทำให้ปราณมารกำเนิดในตัวเขาพลุ่งพล่านเล็กน้อย เขายื่นนิ้วไปแตะ จากนั้นก็ลองใช้ไฟหยินเผาสกัดดู
ไม่นาน ปราณมารกำเนิดที่เข้มข้นถึงขีดสุดขนาดใหญ่สายหนึ่งก็ไหลเข้าสู่ด้านในร่างกาย สีสันของไฟหยินที่กำลังลุกไหม้ไม่ได้เป็นสีม่วงบริสุทธิ์อีกต่อไป แต่เป็นสีดำม่วง
เพียงแต่ปราณมารกำเนิดที่เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้…
ลู่เซิ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรถึงรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แม้จะสัมผัสได้ว่าพลังด้านในปรวนแปรอย่างรุนแรงมาก แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ทว่าเขาก็รู้สึกผิดปกติอยู่ดี
ไม่ได้มีอันตรายกับตนเอง แต่รู้สึกว่าพลังชนิดนี้แตกต่างกับธารหมอกพิษเมื่อก่อนหน้า
‘ที่นี่พิลึกอยู่บ้าง แต่กลับเป็นต้นกำเนิดของน้ำในธารหมอกพิษ’ ลู่เซิ่งกลับมาถึงหน้าประตูอีกครั้ง ยื่นมือไปลูบไล้รากไม้ด้านบนอย่างแผ่วเบา
ซู่…
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าแค่ลูบเบาๆ พลังอาวรณ์ที่เข้มข้นสุดเปรียบปานสายหนึ่งก็ไหลบ่าจากรากไม้เข้ามา
แกร่กๆ…
รากไม้บนประตูเริ่มขยับ พลังอาวรณ์มากกว่าเดิมเหมือนกับได้เจอช่องทางระบาย พวกมันไหลบ่าเข้ามาหาลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
‘ถึงแม้สถานที่จะแปลกไปหน่อย แต่ขอแค่มีพลังอาวรณ์ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา!’ ลู่เซิ่งแสยะยิ้มน้อยๆ เผยให้เห็นฟันแหลมคมแน่นขนัด
พลังอาวรณ์ยิ่งมาก ก็ยิ่งหมายความว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความรู้สึกที่สิ่งมีชีวิตฝากไว้มากมาย
หนึ่งร้อยหน่วย สองร้อยหน่วย สามร้อยหน่วย…ครั้งนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
ทว่าลู่เซิ่งยิ่งดูดซับพลังอาวรณ์ ก็ยิ่งเกิดความกริ่งเกรงต่อสิ่งของด้านในประตู
เนื่องจากนี่หมายถึงสิ่งของที่อยู่ด้านหลังประตูมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงขีดสุด สิ่งที่แบกรับอยู่ก็หนักอึ้งถึงขีดสุดเช่นกัน…
ดูดไปเกือบสี่ร้อยกว่าหน่วย พลังอาวรณ์บนประตูก็ค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น
พอดูดพลังอาวรณ์เสร็จ ลู่เซิ่งก็เตรียมจะชักมือกลับ ทว่าเขารู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อยได้ทันที ประตูบานนี้ยังคงให้กำเนิดพลังอาวรณ์ใหม่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แม้จะอ่อนแอยิ่ง และมีความเร็วช้ามาก หนึ่งวันไม่แน่ว่าจะได้ถึงครึ่งหน่วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของที่ให้กำเนิดพลังอาวรณ์ใหม่ด้วยตัวเองได้
‘ประตูบานนี้คืออะไรกันแน่…’ เขาดูดซับวัตถุมีพลังอาวรณ์มามากมาย แต่ไม่เคยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน
‘กลับไปก่อนค่อยว่ากัน…’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าที่นี่ผิดปกติอยู่บ้าง ตัดสินใจกลับสำนักมารกำเนิดก่อน ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาเผชิญกับคันฉ่องของสำนักไตรอริยะ
ไม่ใช่ความอ่อนแอแข็งแกร่งของพลัง แต่เป็นความรู้สึกทางอารมณ์อันบริสุทธิ์ เหมือนกับสิ่งที่เขาเผชิญคือสิ่งของอันล้ำค่าที่บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเจือปน
ถึงอย่างไรก็ได้พลังอาวรณ์ที่มากพอจากที่นี่แล้ว พอให้ยกระดับวิชาสามหยินได้ชั่วคราว
หลังตัดสินใจ ลู่เซิ่งก็ไม่รั้งอยู่อีก กลับทางเดิม พริบตาที่ไปถึงปากทางเชื่อม เขาพลันรู้สึกว่ามีอะไรหลุดออกมา ร่างกายเหมือนเบาโหวงขึ้นมา
กระนั้นไม่ว่าเขาจะตรวจสอบอย่างไร ก็หาไม่เจอว่าสิ่งใดหลุดจากร่างตนไปกันแน่
เขากลับทางเดิมด้วยความเร็วสูงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
…
ลานกว้างสีทองเหลืองอร่าม
ในอุโมงค์ที่ลึกลับ
ฮือๆๆ…
เด็กผู้หญิงสวมเสื้อซอมซ่อยังคงร้องไห้นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ในหมอกขมุกขมัวคล้ายมีอะไรลอยผ่านไป
…
แดนเหนือ
ในป่าสีเขียวเข้มอันวังเวง
ซู่
กิ้งก่ามหึมาสีเขียวขนาดคนหนึ่งคนค่อยๆ คลานลงจากต้นไม้ยักษ์
หัวกิ้งก่าหันไปด้านล่าง ลูกตาที่ปูดโปนหมุนกลอกกลิ้ง มันแลบลิ้นสีแดงอมเทาตลอดเวลา ผิวหนังหยาบสีเขียวมรกตบนร่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาซึ่งเป็นสีของเปลือกไม้
“มีคนแตะต้องต้นกำเนิดแห่งความเจ็บปวดอีกแล้ว” กิ้งก่ากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ตอนนั้นพวกเราจงใจปล่อยหนึ่งในประตูอริยะออกไป เพื่อสร้างโอกาสดึงดูดความสนใจของมารให้ไปโจมตีต้าซ่ง แต่ไม่มีใครคาดได้ว่าจะมีมนุษย์แตะต้องต้นกำเนิดแห่งความเจ็บปวดเข้า! ”
“นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าในตอนนั้น และพวกเจ้าก็เป็นคนเลือกตำแหน่งปล่อยประตูแห่งมลพิษกับประตูแห่งความเจ็บปวดออกไป หรือว่าตอนนั้นพวกเจ้าไม่คิดถึงผลลัพธ์ในตอนนี้” กวางยักษ์สีดำสนิทที่สวมหน้ากากสีขาวตัวหนึ่งค่อยๆ เดินไปถึงด้านล่างกิ้งก่า เงยหน้ากล่าวเสียงทุ้ม
“ประตูแห่งมลพิษนำพาเผ่ามารมา ด้านในประตูแห่งความเจ็บปวดคืออะไรกันแน่ ไม่มีใครล่วงรู้ ถึงอย่างไรสงครามก็อุบัติขึ้นระหว่างมนุษย์กับเผ่าปีศาจ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเรา กลัวอะไร แค่ผ่านครั้งนี้ไปได้ก็พอ” กิ้งก่าพูดอย่างไม่สนใจ
“ราชาจิ้งจอกน้ำแข็งไม่คิดแบบนี้” กวางตัวผู้ส่ายเขาขนาดมหึมาที่ยาวถึงห้าหกหมี่บนศีรษะ “ประตูอริยะทั้งสามถูกเปิดไปแล้วสองบาน ยังเหลือบานสุดท้าย พวกเราสะกดได้อีกไม่นาน ทั้งยังรวบรวมของสำรองเกือบครบแล้ว สมควรเลือกได้แล้วว่าจะโยนไปย่อยสลายที่ไหน”
“ข้าจะรีบเลือกตำแหน่งโดยเร็วที่สุด” กิ้งก่าเอ่ยอย่างราบเรียบ
……………………………………….