ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 285 ไฟ (1)
บทที่ 285 ไฟ (1)
“หุบเหวมารหรือ” ลู่เซิ่งจ้องมองเสือดาวอสรพิษ น้ำลายไหลย้อยจากมุมปากหยดใส่พื้นตลอดเวลา น้ำลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเป็นกรดรุนแรงกัดกร่อนพื้นดินเป็นรูมากมาย
“มนุษย์มารที่ถูกความปรารถนากลืนกินเรอะ…” เสือดาวอสรพิษส่ายศีรษะขนาดยักษ์พลางพิจารณาสัตว์ประหลาดตรงหน้า
ถูกต้อง ลู่เซิ่ง ณ เวลานี้เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดในสายของเขา
ร่างสูงหกหมี่กว่าๆ เกราะเกล็ดที่มีขนกับหนามกลับด้านทั่วร่าง หนามกระดูกแถวหนึ่งด้านหลัง ปากที่ฉีกทึ้งสิ่งมีชีวิตใดๆ ได้เหมือนกับมังกร ขนาดร่างกายแบบนี้ไม่ได้จะเจอในพวกมารได้บ่อย
“มาเป็นข้ารับใช้ของข้า บุกทะลวงโจมตีข้าศึกแทนข้า ให้โลกมนุษย์ตกอยู่ในลมหนาวฝนโลหิต ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีกว่าหรอกหรือ อาหารที่กินได้ในโลกมนุษย์มีมากมายเหลือคณนา มากพอจะให้เจ้ากินจนอิ่มหนำ ไม่จำเป็นต้องกินพวกเดียวกันที่นี่” เสือดาวอสรพิษสัมผัสความแข็งแกร่งของลู่เซิ่งได้ แม้อีกฝ่ายจะมีแก่นมารไม่มาก อย่างมากสุดก็มีแค่หนึ่งในห้าส่วนของเขา แต่ว่ากลิ่นอายพิเศษที่แผ่ซานออกจากในร่างอีกฝ่ายกลับทำให้เขาสนใจ
นั่นคล้ายเป็นกลิ่นอายพลังของระดับราชามารถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะเป็นเจ้าแห่งมาร
“พวกเดียวกันหรือ” ลู่เซิ่งเดินเข้าใกล้อีกฝ่ายทีละก้าวๆ
ฟ้าว!
ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหางใส่เสือดาวอสรพิษ
ตูม!
พละกำลังอันมหาศาลระเบิดอย่างกึกก้องระหว่างทั้งสอง หากยักษ์ของลู่เซิ่งฟาดใส่สองแขนของเสือดาวอสรพิษอย่างหนักหน่วง จุดแสงสีดำที่เหี้ยมหาญกระจายออกมาจากการปะทะกันระหว่างปราณมารและปราณมาร นั่นเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ ที่กระเด็นออกมาเพราะแก่นมารถูกพละกำลังอันเหลือล้นเสียดสีและพุ่งกระแทก
ใบหน้าของเสือดาวอสรพิษที่ฝืนจับหางลู่เซิ่งไว้ ได้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย อีกฝ่ายมีพละกำลังมากเกินไป แทบเทียบเท่าเขาแล้ว ถ้ารับมืออย่างประมาท เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะได้รับบาดเจ็บ
“ในเมื่อไม่ยอมสยบ เช่นนั้นก็จะจัดการเจ้าให้สยบเอง!”
ร่างกายอันมหึมาของเขาพุ่งเข้าไประดมมือเท้าใส่ลู่เซิ่ง
“มฤตยูตัดเท้า!”
เสียงหนึ่งดังกึกก้องกัมปนาท
มือเท้าหลายสิบคู่บนร่างเสือดาวอสรพิษ ยิงกรงเล็บลวงตากึ่งโปร่งแสงออกไปสายหนึ่งพร้อมกัน กรงเล็บจำนวนมากกระจายแน่นขนัด พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งเหมือนตะขาบ
นี่คือกระบวนท่าต่อสู้อันเหี้ยมหาญที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด ซึ่งเขาสรุปออกมาได้จากการอาละวาดในโลกมารมามากกว่าพันปี
กรงเล็บลวงตามากมายนี้มีความสามารถแตกต่างกันไป บ้างก็มีผลทำให้เลือดไหลจากการติดเชื้อ บ้างก็มีผลพิษธาตุร้อนที่ยากทนทาน บ้างก็มีผลพิษธาตุเย็น ยังมีผลสร้างภาพลวงตาคอยรบกวน
ผลด้านลบหลากหลายรูปแบบทั้งหมดสามารถหาเจอได้ที่นี่
มฤตยูตัดเท้าไม่เพียงมีพละกำลัง ความเร็ว และการโจมตีทางกายภาพที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดเท่านั้น ยังมีความสามารถด้านลบมากมายไว้คอยค้นหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ด้วย
สามารถโจมตี ป้องกัน และหยั่งเชิง นี่เป็นกระบวนท่าที่เสือดาวอสรพิษภาคภูมิใจที่สุด
ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว บุกเข้าใส่โดยไม่ถอย เขายกแขนสองข้างขึ้นพร้อมกับกระพือปีกด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง พัดกระแสปราณมารจำนวนมากไปด้านหลัง เพื่อสร้างแรงผลักที่รุนแรงกว่าเดิมให้ตนเอง
ตูม!
เพิ่งจะสัมผัสกัน เกราะผิวบนสองแขนของลู่เซิ่งก็แหลกสลาย เลือดซึมออกมาเป็นจุดๆ พื้นบริเวณใหญ่ข้างใต้เขาระเบิดออก บนผนังถ้ำที่อยู่ด้านหลังปรากฏรอยหลายสิบรอยเพราะโจมตีไม่โดน
“ฮ่าๆๆ!” เสือดาวอสรพิษหัวเราะลั่น แขนหลายสิบข้างของเขาสับเฉือนแขนของลู่เซิ่งไปมาคล้ายกับเลื่อย
ฉัวะ!
เสียงเสียดสีระคายหูดังมาต่อเนื่อง
สองแขนกับสองขาของลู่เซิ่งปรากฏวงกลมสีแดงเข้มวงหนึ่ง นั่นเป็นผลด้านลบแต่ละอย่างที่มฤตยูตัดขามอบให้คู่ต่อสู้ สิ่งที่เขาโดนไปคือถ้อยคำแห่งความพิการที่ยุ่งยากที่สุด สามารถลดความเร็วแขนขาและความคล่องแคล่วของคู่ต่อสู้ได้มากถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งรับมือไม่ทัน ถูกฟันจนต้องถอยหลังติดต่อกัน แต่แทนที่จะลนลานเขากลับดีใจ เขาไม่กลัวใครในการต่อสู้ระยะประชิดที่มีระยะใกล้ขนาดนี้!
สองขาขยายใหญ่อย่างรุนแรงในพริบตา เขาเตะออกด้วยสภาพหยางโชติช่วง
พละกำลังในสภาพหยางโชติช่วงที่แข็งแกร่งกว่าร่างหลักหลายเท่ากระแทกใส่เอวของเสือดาวอสรพิษอย่างกึกก้องดังดาวตก
ตูม!
“โดนถ้อยคำแห่งความพิการไปแล้วยังเร็วขนาดนี้อีก!?” เสือดาวอสรพิษอุทาน ต่อให้ถูกเตะใส่จนเกราะแตก ความเสียหายระดับนี้สามารถฟื้นฟูได้ในกี่อึดใจ
สองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดในถ้ำที่เล็กแคบ
ไม่ว่าจะเป็นเสือดาวอสรพิษหรือลู่เซิ่งต่างก็ตกตะลึงในความเร็วและพละกำลังของอีกฝ่าย ลู่เซิ่งไม่เจอคู่ต่อสู้ที่ได้ความมานานเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ได้แต่ฝืนรับได้ไม่กี่กระบวนท่า หลังจากการต่อสู้กับหงฟางไป๋ในครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยระเบิดพลังทั้งหมดของตัวเองโดยสมบูรณ์อีกเลย
ทว่าในครั้งนี้ หมัดต่อหมัด ฝ่ามือต่อฝ่ามือ สองฝ่ายมีพละกำลังมากมายและน่าสะพรึงกลัว บนร่างเสือดาวอสรพิษยังมีความสามารถการฟื้นฟูด้วยความเร็วสูงที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดด้วย
เปรี้ยง
ลู่เซิ่งปะทะฝ่ามือกับมือเท้าจากด้านข้างตรงๆ เกราะเกล็ดของเขาค่อยๆ ปรากฏรอยแตก ส่วนเกราะของเสือดาวอสรพิษระเบิดแหลกในพริบตา เผยให้เห็นเนื้อหนังสีขาวโพลนข้างใต้
ทว่าต่อจากนั้น ใช้เวลาแค่สองลมหายใจก็ฟื้นฟูเกราะที่เพิ่งแตกกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
ไม่มีกระบวนท่า ไม่มีวิชาลับ อาศัยแค่กายเนื้อต่อสู้กันตามสัญชาตญาณ
ซู่ม!
ดวงตาบนปีกสองข้างของลู่เซิ่งยิงสนามพลังจิตไร้รูปร่างสองสายออกมา สนามพลังโดนตัวเสือดาวอสรพิษเหมือนกับลำแสง
“ไร้ความหมาย ของแบบนี้ไร้ความหมาย” เสือดาวอสรพิษหัวเราะร่า เขาอาละวาดในหุบเหวมารมาหลายปี มารแต่ละชนิดที่ดูดซับ แม้ไม่ถึงหมื่นก็มีถึงแปดพัน หนำซ้ำผู้ที่ถูกเขาคัดเลือกดูดซับ ล้วนไม่ใช่มารชั้นต่ำ
บนตัวมารเหล่านี้จะมากจะน้อยก็มีพิษร้ายและความสามารถด้านลบที่รุนแรงถึงขีดสุดหลากหลาย
แค่สนามพลังรบกวนจิตใจเล็กๆ คิดจะก่อให้เกิดประสิทธิผลกับเขา น่าขำโดยแท้
เขาอาศัยช่องว่างนี้ ใช้มือเท้าคว้าปีกลู่เซิ่งไว้ แล้วจับฟาดอย่างรุนแรง
ตูม!
ร่างของลู่เซิ่งถูกฟาดจมเข้าไปในผนังด้านข้างเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่
ต่อให้ผนังของที่นี่จะปนเปื้อนปราณมารจนแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน แต่ก็ยังคงรับการโจมตีที่ดุร้ายแบบนี้ไม่ได้ มันระเบิดเป็นหลุมใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่ในพริบตา
“หนามเงาพิษ!” เสือดาวอสรพิษเลื้อยเข้าไป “ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย! เจ้าเป็นของชั้นเลิศที่หาได้ยาก” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ จุดแสงสีดำนับไม่ถ้วนรวมตัวด้านหน้า แล้วรวมกันกลายเป็นหนามแหลมเรียวยาวแท่งหนึ่ง
ฟิ้ว!
หนามแหลมหายไปอย่างฉับพลัน ก่อนจะโผล่ขึ้นด้านหน้าหว่างคิ้วลู่เซิ่ง และทิ่มแทงลงด้านล่าง
เคร้ง
ลู่เซิ่งยื่นมือมาคีบหนามแหลมที่โผล่ขึ้นมา ในพริบตาเมื่อครู่นี้ ตาข่ายโลหิตรอบๆ ร่างกายเขาถูกทะลวง เยื่อดำโดนเจาะ เกิดระลอกคลื่นกึ่งโปร่งแสงกระเพื่อมขึ้นหลายระลอก
ก่อนจะถึงเวลานี้ ความรู้สึกถึงวิกฤติการณ์อันเล็กน้อยค่อยเตือนเขา
“เจ้าแข็งแกร่งมาก” ลู่เซิ่งบีบหนามเงาพิษเบาๆ จนแหลก แล้วสลัดร่างลงมาจากผนัง พร้อมกับกลืนเลือดในปากกลับไป
“แต่ว่า ข้าแข็งแกร่งกว่า!”
ตูม!
เกิดเสียงดังอึงอล ควันสีดำนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นจากทั่วร่างเขา จากนั้นร่างก็ขยายขึ้นจากสูงหกหมี่ไปถึงสิบกว่าหมี่ในทันที
ร่างกายมโหฬารที่ยิ่งใหญ่หนักอึ้ง ถึงขั้นอ้วนฉุอยู่บ้าง ยกขวาขวาที่บวมพอง แล้วก้าวไปด้านหน้า
ตูม!
อากาศ พื้น และปราณมารระเบิดคลื่นกระแทกออกมาหลายระลอก
“สภาพหยางโชติช่วง! ตาย!” เปลวไฟสีดำอมม่วงนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากทั่วร่างลู่เซิ่ง ควันพิษหนาแน่นลอยออกมาด้านหลัง ร่างกายขนาดสิบหมี่พุ่งเข้าใส่เสือดาวอสรพิษ
“เงามารตัดขาด! นี่คือร่างจริงของเจ้าหรือ ยอดเยี่ยมมาก! ฮ่าๆๆ!” เสือดาวอสรพิษกู่ร้อง ร่างกายเริ่มขยายใหญ่จนถึงยี่สิบหมี่ในพริบตา เหมือนกับลูกหนังเป่าลม แทบจะสูงถึงยอดถ้ำ
มองแต่ไกล เหมือนกับตะขาบระดับสุดยอดที่มหึมายิ่งกว่าลู่เซิ่ง
เขาสะบัดหางออกไป โดนฝ่าเท้าของลู่เซิ่งที่เหยียบลงมา
สัตว์ยักษ์มโหฬารสองตัวที่เหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ปะทะกันเสียงดังกึกก้อง ถ้ำเริ่มสั่นไหว ผนังแตกร้าว หินก้อนยักษ์นับไม่ถ้วนถูกกระแทกกระจายไปทั่วเหมือนกับลูกแก้ว
ทว่าควันพิษกับไฟมารจำนวนมากกว่าเดิมพรั่งพรูออกไปจากประตูผนึกทั้งบนและล่าง กลายเป็นเสาเพลิงสีดำอมม่วงหลายต้น
…
แท่นบูชาของราชาเงามืด
แผ่นดินสั่นไหว กรวดหินดินทรายนับไม่ถ้วนร่วงตกลงมาจากรอบๆ ถ้ำ
‘อ้าวๆๆ สู้กันอีกแล้ว จำได้ว่าแท่นบูชาข้างใต้ไม่มีการเคลื่อนไหวมานานแล้ว คล้ายจะถูกมารโบราณสองตัวนั้นดูดซับแก่นมารไป ทำให้ราชามารหลายตนหลับลึก ตอนนี้เหตุใดจึงอึกทึกขนาดนี้’
ราชาเงามืดสงสัย จริงๆ แล้วเขาคาดหวัง คาดหวังว่าผนึกด้านล่างจะถูกทำลายในการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้
ผนึกทั้งหมดเชื่อมต่อกัน หากอันใดอันหนึ่งถูกทำลาย ที่เหลือจะอ่อนแอลงไปด้วยเพราะการเชื่อมต่อกันนั้น
ฟู่ม!
ในตอนนี้เอง เสาเพลิงสีดำอมม่วงต้นหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากประตูผนึกด้านล่างอย่างฉับพลัน
เสาเพลิงที่มีพิษรุนแรงกับพลังกัดกร่อน ฉีกพื้นดินให้ขยายออกอย่างต่อเนื่อง ควันพิษอันน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นแม้แต่มารก็รับไม่ไหว มารที่อ่อนแอในซอกหลืบกลายเป็นน้ำหนอง ถึงขั้นที่หลบหนีไม่ทัน
‘สู้กันแล้วๆ! กลิ่นอายนี้ เป็นมารโบราณแน่นอน! ฮ่าๆ ฆ่ากันเลยๆ ยิ่งผนึกที่แข็งแกร่งเสียหายมากเท่าไหร่…’ เขาลิงโลด หลังจากรอมานาน ในที่สุดโอกาสหลุดจากการจองจำก็จะมาถึงแล้ว
…
เรือนสุดประจิม
“ทุกท่าน วันนี้พวกเรามาอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งได้ดื่มสุราและพูดคุยอย่างสนุกสนาน เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ เพื่อเพิ่มความคึกคัก ผู้แซ่จ้าวได้หาพลุประหลาดบางส่วนมาจากดินแดนตะวันออกไกล หวังว่าทุกท่านจะชอบ” จ้าวจื้อนั่งบนที่นั่งประธาน ด้านล่างเป็นเจ้าสำนักสิบเก้าคน ในนี้มีหลายคนที่อยู่ในระดับสามขั้นบนเหมือนกัน มีระดับสามขั้นกลางกับสามขั้นล่างมากที่สุด แต่ว่าเจ้าสำนักแตกต่างจากสมาชิกสำนัก เจ้าสำนักที่อยู่ที่นี่อย่างต่ำสุดล้วนเป็นระดับอสรพิษ พวกเขาเป็นผู้ถืออาวุธที่มีสิทธิ์ใช้งานอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในสำนัก ดังนั้นต่อให้แต่ละสำนักจะแข็งแกร่งอ่อนแอแตกต่างกัน แต่เจ้าสำนักได้รับการปฏิบัติไม่ต่างกันมากนัก
“ผู้ครองเรือนสุดประจิมเกรงใจแล้ว ถ้าหากบอกว่างานชุมนุมเป็นงานการประชุมที่ใหญ่ที่สุดของร้อยเส้นสาย และเป็นโอกาสที่พวกเราร้อยเส้นสายจะได้ปรึกษาถึงการพัฒนาในอนาคต อยางนั้นงานชุมนุมย่อยนี้ก็เป็นการประชุมระดับสูงสุดที่พวกเราสิบเก้าสำนักจะได้กำหนดรูปแบบและความมั่นคงของเมืองทั้งเก้า ผู้ครองเรือนสุดประจิมอาสารับภารกิจนี้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ถือเป็นแบบอย่างที่พวกเราควรเอาอย่าง” เจ้าสำนักระดับสามขั้นกลางคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง สำนักส่วนใหญ่ล้วนเอาแต่ฝึกฝน ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก อย่างไรเรื่องยุ่งยากแบบนี้ก็ทำให้การฝึกฝนเสียเวลา คนส่วนใหญ่ไม่อยากเสนอตัวรับหน้าที่นี้ ส่วนคนที่เสนอตัวก็มีความสามารถแต่กลับไร้บารมี เหลือแค่ผู้ครองเรือนสุดประจิมคนเดียว” เจ้าสำนักอีกคนหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย เขาแตกต่างจากคนก่อนหน้า ไม่ใช่คนฝ่ายเดียวกับเรือนสุดประจิม เพียงแค่ยึดหลักความเป็นจริงเท่านั้น
ทุกคนพากันกล่าววาจา แต่ก็แสดงออกถึงลำดับอย่างชัดเจน น้อยครั้งจะมีการพูดแทรกตัดบท และไม่มีคนกล่าววาจาไร้สาระ เจ้าสำนักในร้อยเส้นสายล้วนทราบความแตกต่างระหว่างสำนักกับตระกูลขุนนางดี ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นผู้บำเพ็ญตน ถึงเจ้าสำนักจำนวนน้อยสุดขีดจะมีอำนาจและความปรารนถา ทว่าก็ไหลไปตามคนส่วนใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรมาก
บนที่นั่งสำนักมารกำเนิด ลิ่วซานจื่อมีสีหน้าหนักแน่น วางตัวน่านับถือ
สำนักมารกำเนิดพลิกสถานการณ์ในครั้งเดียวจากใกล้จะโดนทำลายสำนัก จนเหนือกว่าสำนักจำนวนไม่น้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอย่างกับละครนี้ ทำให้เจ้าสำนักหลายคนที่อยู่รอบๆ ถามเขาถึงเรื่องของลู่เซิ่ง
คนที่เข้าใจเรื่องภายในอยู่บ้าง ต่างก็ทราบว่าสำนักมารกำเนิดพึ่งพาลู่เซิ่ง จึงพลิกสถานการณ์ได้
และก่อนจะเข้าร่วม ลู่เซิ่งยังเป็นแค่หัวหน้าพรรคพรรคหนึ่งในแดนเหนือ ถึงขั้นไม่รู้จักแม้กระทั่งร้อยเส้นสาย ในสภาพการณ์แบบนี้ หลังเข้าสำนักมารกำเนิด พลังของวิชาลับกลับไปถึงระดับกลางค่อนข้างสูงในเวลาสองสามเดือน ความเก่งกาจแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่คิดชิงตัว หรือมองเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่มีการคุกคาม ต่างก็เข้าใกล้เพื่อสืบข้อมูล
ลิ่วซานจื่อกลับหนักแน่นไม่หวั่นไหว มีแต่ตอนที่จำเป็นต้องพูดจริงๆ ค่อยกล่าวสักประโยคหนึ่ง……………………………………….