ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 372 ขุมกำลังใหญ่ (2)
บทที่ 372 ขุมกำลังใหญ่ (2)
“เช่นนั้นก็ดี ความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างพวกเรากับผู้ถืออาวุธอยู่ที่จิตวิญญาณ ถ้าหากบอกว่าจิตวิญญาณของผู้ถืออาวุธอ่อนแอกว่าอาวุธเทพศัสตรามาร อย่างนั้นจิตวิญญาณของอริยะเจ้าเช่นพวกเราก็อยู่ในระดับเดียวกันกับอาวุธเทพศัสตรามาร จะว่าไป ในยุคบรรพกาลก็เคยมีตำนานกล่าวไว้ว่า ความจริงแล้วอาวุธเทพศัสตรามารในตอนแรกสุดเกิดจากจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตระดับอริยะเจ้าที่มารวมตัวกัน แน่นอนว่าตำนานนี้มีหลักการและมีหลักฐาน แต่ข้ายังไม่เคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อน เจ้าฟังหูไว้หูก็แล้วกัน”
ซูหนิงเฟยวางตำราในมือลงบนหินเบาๆ ก่อนจะถอนใจเสียงแผ่ว
“จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของอริยะเจ้า อยู่ที่สามารถแสดงพลังทั้งหมดและอานุภาพทั้งหมดของอาวุธเทพศัสตรามารออกมาได้โดยสมบูรณ์ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าครอบครองอาวุธเทพชิ้นไหน แต่เจ้าต้องไปขบคิดเอาเองว่าจะใช้จิตวิญญาณกับอาวุธเทพของตนอย่างไร มิหนำซ้ำ เมื่อมาถึงขอบเขตของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นอาวุธเทพ หรือตัวพวกเราเอง ได้แต่ใช้จิตวิญญาณนำทาง เจ้า…เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”
“ทำลายจิตวิญญาณของอาวุธเทพหรือขอรับ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ควรบอกว่าหลอมรวมมากกว่า” ซูหนิงเฟยยิ้ม “ดังนั้นข้าจึงมีสองชื่อ ชื่อหนึ่งคือเชียนตู้ นั่นคือชื่อของศัสตรามารที่ข้าหลอมรวมด้วย ส่วนชื่อจริงของข้าคือซูหนิงเฟย”
“ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้ว…” ลู่เซิ่งเคร่งขรึม เขาไม่มีอาวุธเทพศัสตรามารสักชิ้น ดูเหมือนว่าภายหลังจะต้องหามาปกปิดสักชิ้นหนึ่งแล้ว
กระแสหลักนี้อยู่ในโลกของอาวุธเทพศัสตรามาร ถ้าไม่ปกปิดเพิ่มเติม แล้วเกิดว่าเรื่องที่ตนไม่ต้องใช้อาวุธเทพศัสตรามารโดยสิ้นเชิงถูกเปิดเผย เกรงว่าจะไม่มีจุดจบที่ดีเท่าไหร่
“อริยะเจ้าเช่นพวกเรา ใช้ระดับอานุภาพของอาวุธเทพศัสตรามารที่ครอบครอง มากำหนดพลังของตัวเอง อาวุธเทพแบ่งเป็นสามระดับ ใบไม้ทองคำ ดาวหยก เทวปัญญา ซึ่งแต่ละระดับก็แข็งแกร่งกว่ากันขั้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาวุธเทพระดับรอง ทว่าส่วนใหญ่จะเป็นการซ่อมแซมขึ้นใหม่หลังจากพังลง อานุภาพตกลงฮวบฮาบ ไม่ได้อยู่ในสามระดับก่อนหน้าอีก ข้าจะอธิบายสามระดับนี้ให้เจ้าฟัง
อาวุธเทพศัสตรามารระดับใบไม้ทองคำมีมากที่สุด ทุกๆ ปีจะกระจัดกระจายออกมาจากโลกใบนั้นหลายชิ้น ระดับดาวหยกหายากขึ้น เหมือนที่ข้าถือครองอยู่ หรือไม่ก็เหมือนพวกสุดยอดวีรบุรุษที่มีพลังติดอยู่ในสิบอันดับแรกของสามสำนัก ทุกชิ้นล้วนอยู่ในระดับนี้ ส่วนอาวุธเทพศัสตรามารระดับเทวเทวปัญญา หลายปีมานี้ ที่ต้าอินมีโผล่มาแค่สามชิ้น สถานที่อื่นๆ โผล่มาไม่เกินสองชิ้น”
“ระดับเทวปัญญา…” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“มีแต่อานุภาพระดับเทวปัญญาเท่านั้นถึงจะต้านทานจักรพรรดิมารและสี่เสาหลักได้ น่าเสียดายที่ระดับชั้นนั้นพันปียากพบพาน ต่อให้เจอก็…” ซูหนิงเฟยคล้ายนึกอะไรได้ จึงไม่ได้กล่าวคำพูดต่อจากนั้นออกมา
“สิ่งเหล่านี้คือตำแหน่งของพวกเราเหล่าอริยะเจ้าในสายตาของชนชาวโลก เจ้าเข้าใจก็พอแล้ว สามระดับของอาวุธเทพศัสตรามารคือสามระดับที่ใช้วัดตำแหน่งบารมีของพวกเราอริยะเจ้า
ขอบเขตของอริยะเจ้าขึ้นอยู่กับอาวุธเทพที่หลอมรวมด้วย ดังนั้นอาวุธเทพของเจ้าอยู่ในขั้นไหน เจ้าก็จะได้แต่อยู่ในขั้นนั้นตลอดชีวิต เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” ซูหนิงเฟยกล่าวต่อ
“นี่ก็คือพรสวรรค์กำหนดทุกสิ่งอย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางนิ่วหน้า
“ไม่อย่างนั้นเจ้านึกว่าต้าอินของเราอยู่มาหลายพันปีโดยไม่ล่มสลายได้อย่างไร อริยะเจ้าที่เกิดจากอาวุธเทพศัสตรามารที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านั้น ล้วนแข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน นี่เป็นสายเลือดโดยกำเนิด เป็นอริยะเจ้าระดับเทวปัญญาโดยกำเนิด!” ซูหนิงเฟยเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“อย่างนั้น ตำแหน่งของอาจารย์…คงจะเป็นระดับเทวปัญญาในตำนานกระมัง” ลู่เซิ่งถามเบาๆ อย่างระมัดระวัง
“สำหรับอริยะเจ้า ตำแหน่งอาวุธเทพเป็นความลับสูงสุด ภายหลังจงอย่าถามคำถามนี้อีก” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างราบเรียบด้วยสีหน้าเย็นชา “ต่อให้เป็นคนที่สนิทที่สุด ก็อย่าให้ล่วงรู้ถึงความสามารถหลักและตำแหน่งอาวุธเทพของเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าเอง”
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ต่อจากนี้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังว่า เหล่าเจ้าอริยะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร“ ซูหนิงเฟยลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าผนังหินก่อนหน้า ก่อนจะเคาะเบาๆ สามครั้ง
ทันใดนั้นหนอนสีดำสนิทที่แปดเปื้อนโคลนเหมือนกับไส้เดือน ก็มุดออกมาจากผนังหินราวกับปลาที่โผล่พ้นผิวน้ำ มันลืมตาสีเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือขึ้น ก่อนมองซูหนิงเฟย
“ธูป”
พรึ่บ
อยู่ๆ ก็มีควันสีขาวหลายสายทะลักออกมาจากใต้ดวงตาของหนอนอย่างรวดเร็ว
ควันสีขาวสายนี้เหมือนมีชีวิต พลิกม้วนอยู่ด้านหน้าซูหนิงเฟยกับลู่เซิ่งหลายครั้ง สุดท้ายก็แผ่กระจายออกกลายเป็นแผนที่กว้างใหญ่สีขาวอมเทา โดยจับตัวกันลอยอยู่กลางอากาศ
ซูหนิงเฟยชี้ไปที่แผนที่
“ตอนนี้ต้าอิน มีอริยะเจ้าหรือจ้าวแห่งมารกี่คนข้าก็ไม่รู้ แต่ว่าคงไม่น้อยไปกว่าสิบยี่สิบคน กระนั้นส่วนใหญ่ล้วนต่อสู้กับพิภพมาร ระหว่างอริยะเจ้าด้วยกันเอง นอกจากการแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่จำเป็นแล้ว สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดคือการสร้างตำหนักภายในถ้ำ และการแลกเปลี่ยนลูกหลานเพื่อบ่มเพาะ”
“ต้าอินมีกฎอยู่ว่า ถ้าหากสำเร็จเป็นอริยะเจ้า ก็จะมีสิทธิ์เจาะถ้ำสร้างตำหนักได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นเป็นเพราะต่อให้จะเป็นสายเลือดที่ได้รับการฉายรังสีจากอาวุธเทพชนิดเดียวกัน ทว่าคุณสมบัติของคนรุ่นหลังที่ได้มาในตอนสุดท้ายก็มีความแตกต่างอยู่ดี จึงมีการแลกเปลี่ยนลูกหลานเพื่อบ่มเพาะ บางสายเลือดอาจเกิดการกลายพันธุ์จนแข็งแกร่งและเข้มข้นขึ้น ทว่ากลับเข้ากันไม่ได้ก็มีเช่นกัน
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วอริยะเจ้าทั่วไปจึงมีการคบหาสหายไม่น้อย บวกกับพวกเรามีอายุขัยยืนยาว สามารถอยู่ได้หลายพันปีโดยไม่มีปัญหา การแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์แบบนี้จึงน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม”
“หมายความว่าพวกเราจะพยายามบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งที่เป็นสายของตนเองมากกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่พลังและขุมกำลังของตัวเองอย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งพูดพลางพยักหน้า
“ไม่ใช่บ่มเพาะเพื่อขุมกำลังของตัวเอง แต่เพื่อต่อสู้กับพิภพมาร” ซูหนิงเฟยส่ายหน้าพลางกล่าวช้าๆ “ดังนั้นเกิดเจ้าเผยพลังของตัวเอง อันดับแรกจะมีอริยะเจ้าของสำนักพันอาทิตย์จำนวนไม่น้อยเข้ามใกล้ แน่นอนว่าย่อมมีการตรวจสอบ ทว่าขอแค่ผ่านด่านนี้ไปได้ อย่างอื่นก็คุยกันง่ายแล้ว ระหว่างอริยะเจ้าด้วยกันจะไม่ค่อยสร้างความแค้นกันนัก อะไรที่แก้ได้ก็จะคิดหาวิธีแก้ไข
เนื่องจากเมื่อมาถึงระดับของพวกเรา พอจิตวิญญาณแข็งแกร่งจนเหนือมนุษย์ ต่อให้กายเนื้อถูกทำลาย ก็สามารถหากายเนื้อใหม่เพื่อคืนชีพขึ้นมาได้ โดยที่ไม่มีผู้ใดทราบ กำจัดทิ้งยากเย็นสุดขีด เมื่อเป็นแบบนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดไม่มีใครเพาะความแค้นต่อกันโดยสิ้นเชิง “
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาย่อมไม่ได้เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายง่ายๆ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าคำพูดของซูหนิงเฟยไม่มีส่วนช่วยเหลือ
ซูหนิงเฟยพลันนึกอะไรได้ จึงรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าเลื่อนระดับได้อย่างไร แต่ถ้าเจ้าสร้างผลึกวิญญาณขึ้นได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าขอบเขตของเจ้ามั่นคงอยู่ในระดับใบไม้ทองคำแล้ว”
นางชี้แผนที่ด้านหน้า
“เมื่อกลายเป็นอริยะเจ้าแล้ว จะไปที่ไหนในต้าอินก็ได้ ข้าจะชี้บอกสถานที่ส่วนหนึ่งให้เจ้าซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่มีปัญหาสำหรับพวกเรา”
“ขอรับ ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ซูหนิงเฟยเริ่มชี้สถานที่ต้องห้ามในต้าอินให้ลู่เซิ่งดูทีละแห่ง ลู่เซิ่งตั้งใจจดจำ ดูเหมือนอาจารย์จะแสดงความเมตตา และศิษย์แสดงความเชื่อฟังอยู่ชั่วขณะ ชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหลังจากชี้บอกสถานที่ต้องห้ามแล้ว ซูหนิงเฟยก็ไม่ได้ให้วิชาจริงแท้ที่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีก และไม่ได้บอกว่านางเป็นคนวาดแผ่นหินขึ้นมา หากแต่มอบคำสั่งบางส่วนให้ แล้วเตรียมจะจากไปเพียงลำพัง
“ข้ามีธุระบางส่วนที่ยังไม่ได้จัดการ ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็รีบกลับไปเสีย การช่วงชิงในสาขาหลักใกล้จะเริ่มแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเลื่อนระดับหรือไม่ก็ควรจะเข้าร่วม แน่นอนว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือฉวยโอกาสถอนตัวออกมาเร็วๆ การตามหาคนก็อย่าได้เสียเวลา ระดับผู้ถืออาวุธเมื่อก่อนหน้านี้ยังพอถูไถได้ ทว่าปัจจุบันมาถึงระดับนี้แล้ว…พวกคนเบื้องบนไม่ใช่คนโง่” ซูหนิงเฟยพูดพลางส่ายหน้า
“ศิษย์เข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“จบเท่านี้ ข้าขอตัวก่อน ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่แล้ว ก็กลับไปเองได้เลย” ซูหนิงเฟยหมุนตัวกระโดดไปหาผนังหิน นางพุ่งเข้าไปในผนังถ้ำ พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดวงตาของลู่เซิ่งที่ตอนแรกหยีอยู่พลันงงงวย พอเห็นท่าร่างนี้เข้า เขาคล้ายนึกอะไรได้
‘นี่คือกฎเกณฑ์อย่างนั้นหรือ…’ อาวุธเทพทุกๆ ชิ้นล้วนมีความสามารถ มีพรสวรรค์อันเป็นแกนหลักของตัวเอง ความสามารถนี้ เป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง ทุกอย่างที่เหลือล้วนก่อกำเนิดจากความสามารถและพรสวรรค์นี้
จนถึงตอนนี้ อาวุธเทพเพียงชิ้นเดียวที่ลู่เซิ่งเคยเห็นมีแค่พู่กันบรรพตของตระกูลซั่งหยาง ทว่าเขาเคยได้ยินคนของตระกูลซั่งหยางเล่าว่า ความสามารถแกนหลักของพู่กันบรรพตคือการทิ้งข้อความ
อานุภาพที่ทิ้งไว้ผ่านการเขียนตัวหนังสือจะแข็งแกร่งเป็นหลายเท่าตัวของอาวุธเทพชิ้นอื่น อาศัยแค่จุดนี้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลซั่งหยางสร้างขึ้นมาและใช้งานในตอนนั้นจึงมีไม่น้อย นี่จึงเป็นความได้เปรียบ
ดูจากตอนนี้ ความสามารถของอาวุธเทพโดยพรสวรรค์ของซูหนิงเฟยคล้ายกับพิสดารยิ่งกว่า
ทำให้นางทะลุผนังหินจากไปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับเป็นวิญญาณ
ลู่เซิ่งค่อยๆ นั่งลงบนตำแหน่งของซูหนิงเฟย เอนร่างไปด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองผนังหินที่นางใช้ออกไป เขาประสานนิ้วสิบนิ้วเข้าด้วยกันอย่างลืมตัว แล้วตกสู่ห้วงคิด
……………………….
ต้าอิน หุบเขาสองภพ
ควันมารสีดำอมเทาตลบอบอวล เสียงคำรามประหลาดดังมาจากส่วนลึกของหุบเขา บ้างครั้งก็มีเสียงโหยหวนและเสียงร่ำไห้คล้ายเสียงของมนุษย์แทรกอยู่
หมอกควันปกคลุมทิวทัศน์ในส่วนลึกของหุบเขาจนมืดมิด ทอดตามองไปไกลมีแต่ความขมุกขมัว
โซ่สีดำขนาดเท่าท่อนปลายแขนหลายเส้น ขึงเป็นสะพานแขวนหลายแห่งไว้เหนือหุบเขา บนสะพานมีทหารติดอาวุธสวมชุดนักรบสีเทาของต้าอินเดินอยู่ตลอดเวลา
บนสะพานแห่งหนึ่งในนี้ คุณชายคุณหนูที่แต่งกายอย่างค่อนข้างหรูหรา และสวมเกราะครึ่งตัวสีแดงอ่อนหลายคนกำลังชมทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ที่อยู่รอบๆ ด้วยความสนอกสนใจ
“นี่คือหุบเขาสองภพที่เชื่อมสู่พิภพมารโดยตรงในตำนานอย่างนั้นหรือ ทิวทัศน์ช่างหาได้ยากแท้ๆ” คุณชายคนหนึ่งในนี้กล่าวด้วยดวงตาสงสัย “ว่ากันว่าทัพมารยกทัพมาจากหุบเหวลึกแบบนี้ ทั้งหมดล้วนบินออกมาทำศึกจนโลกมนุษย์รับมือแทบไม่ทันใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด เป็นเช่นที่ท่านว่า ต้าอินของเรามีหุบเขาสองภพอยู่สามแห่ง แต่จุดที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดจริงๆ แล้วคือหุบเขาสองภพฉีหลัว ทางนั้นอยู่ตรงข้ามกับกำลังหลักของพิภพมาร ที่นี่เป็นแค่ของตัวอย่างเท่านั้น ไม่มีมารมาหลายปีแล้ว ปัจจุบันจึง…” สตรีที่สีหน้าเหมือนเกล็ดน้ำค้างอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
อยู่ๆ นางก็หยุดชะงักโดยที่พูดไม่ทันจบ ก่อนจะมองไปยังด้านล่างหุบเขา
รองเท้าหนังงดงามของแต่ละคนต่างยืนไม่มั่น ข้างใต้เท้าโคลงเคลงส่ายไหว
“เกิดอะไรขึ้น?!”
“สะพานกำลังสั่น!?”
ชั้นน้ำแข็งหนาที่ถูกเหยียบย่ำจนแข็งบนหน้าสะพานที่จับตัวเป็นน้ำแข็งเริ่มหลอมละลายด้วยความเร็วสูง
สตรีนางนั้นพลันคล้ายนึกอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
นางยกมือขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงไฟสีแดงสามกลุ่มปรากฏบนข้อมือแล้วหมุนด้วยความเร็วสูง กำลังจะพุ่งไปหากระถางควันไฟที่อยู่บนหอคอยเตือนภัยไกลออกไป
ครึ่กๆ…!
ชั่วพริบตานั้น การสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณพลันเกิดขึ้นในใจทุกคนที่อยู่รอบๆ
เงาดำกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ก้นหุบเหว
ตูม!
มีเงาดำพุ่งออกมาจากหมอกสีเทา พุ่งออกจากหุบเหว และชนใส่สะพาน
ผิวสะพานเหมือนตะเกียบหัก ถูกชนหักแกร๊กอย่างง่ายดายเพียงยกมือ คนที่อยู่ด้านบนกระเด็นไปรอบๆ ยังไม่ทันส่งเสียง ก็ถูกควันมารอันเป็นหมอกเทาม้วนมาปกคลุม จนมองไม่เห็นเงาคนอีก
เงาสีดำพุ่งสู่ท้องฟ้า ขึ้นไปอยู่เหนือป้อมปราการทางทหาร ระหว่างสองภพที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขาน้ำแข็งสองฝั่ง ก่อนจะทะลวงชั้นเมฆไปอย่างฉับพลัน
ฟู่ว!
ปีกมังกรสีดำสนิทที่มีขนาดมหึมาถึงหลายพันหมี่ซึ่งแยกออกไปสองด้านของเงาดำค่อยๆ กางออกปกคลุมดวงอาทิตย์
กรรซ์!
เงาดำนี้เป็นมังกรยักษ์สีดำสนิทที่ร่างยาวมากกว่าพันหมี่ มันเงยหน้าคำรามไปทางราชสำนักต้าอิน ทั่วทั้งตัวมีหมอกควันสีดำนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา
เงาคนยิ่งใหญ่ที่สวมเกราะอ่อนสีม่วงยืนนิ่งอยู่ตรงกลางเขาทั้งสี่คู่ของมังกร
ผ้าคลุมด้านหลังเขาเกิดจากเปลวไฟสีม่วงที่ลุกไหม้ไหลวนเวียน
……………………………………….