ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 397 แผนการร้าย (1)
บทที่ 397 แผนการร้าย (1)
หมอกมัวขดตัวอยู่ที่เดิมอย่างอึ้งงัน รู้สึกตัวเย็นเล็กน้อย
เดิมทีมันเป็นอาวุธเทพธาตุน้ำ ตอนนี้กลับรู้สึกหนาวได้ ย่อมไม่ใช่อาการหนาวของจริง หากแต่เป็นความหนาวในใจ
“ข้า…ข้า…” มังกรที่หมอกมัวสร้างขึ้นมาใหม่เค้นยิ้ม “ข้าว่า…ระหว่างพวกเราอาจมีความเข้าใจผิดเล็กน้อย…”
เสียงยังไม่ทันขาด มือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าหามันอย่างสะเทือนเลือนลั่น
หมอกมัวขนลุกขนชัน ร่างมังกรระเบิดกลายเป็นหมอกดำนับไม่ถ้วนในทันที ไม่นานมันก็รวมตัวโผล่ขึ้นมาใหม่ในบริเวณใกล้ๆ
กระนั้นก็เห็นได้ชัดว่าร่างทุลักทุเลอยู่บ้าง กรงเล็บเมื่อครู่ของลู่เซิ่งมาอย่างกะทันหัน พละกำลังและการกระแทกกระทั้นรุนแรงสุดขีด จนความสามารถโดยกำเนิดของมันถูกหยุดในตอนที่กำลังโคจร จึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“ใต้เท้า! ข้าน้อยไม่มีความคิดเป็นศัตรูกับท่าน เรื่องใดๆ ของเผ่ากวางดำล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า ข้าเพียงแค่ซ่อนตัวฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายเท่านั้น ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ” หมอกมัวอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ตามเงื่อนไขสองข้อเมื่อครู่ หากเจ้าเชื่อฟัง ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่ฆ่าเจ้าทิ้ง” ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจในตัวอาวุธเทพหมอกมัว ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น เป็นเพราะวิชาเคลื่อนย้ายหลบหลีกที่มันใช้เมื่อก่อนหน้า ถึงกับรักษาสถานะไม่ชนะไม่แพ้ได้ ทั้งๆ ที่ถูกค่ายกลมากมายกลุ้มรุม นี่กลับทำให้เขาต้องตามมาด้วยความทึ่ง
ต่อให้ใช้ประสบการณ์และความช่ำชองในมรรคายุทธ์ของเขา ก็ยังมองความน่าอัศจรรย์ในนั้นไม่ออก นี่ร้ายกาจมาก
หมอกมัวย่อมไม่ได้โง่ปานนั้น แม้มันจะซื่อบื้อ แต่ว่าย่อมไม่เดินเข้าไปในหลุมพรางตื้นๆ นี้ง่ายๆ ขณะที่มองลู่เซิ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าพลังเหนือกว่าตนเองเท่าหนึ่ง มันก็ใช้ความคิดอย่างรวดเร็วเพื่อหาวิธีเอาตัวรอด
“ใต้เท้า ถ้าท่านต้องการอาวุธเทพ ข้าน้อยสามารถบอกที่อยู่ของอาวุธเทพหลับใหลซึ่งผนึกตนเองให้แก่ท่านได้ส่วนหนึ่ง เทียบกับข้าแล้ว อาวุธเทพศัสตรามารที่หลับใหลเหล่านี้มีมูลค่ามากกว่า อีกทั้งยังเอามาง่ายกว่า เพียงแค่หายากเพราะการปลอมแปลงเท่านั้น” มันเตรียมจะขายอาวุธเทพจำนวนหนึ่งที่ตนรู้จักก่อนหน้าอย่างแน่วแน่แล้ว
“อ้อ จริงหรือ” ลู่เซิ่งย่อมไม่เชื่ออีกฝ่ายอย่างซื่อๆ เช่นนี้
“ด้วยตำแหน่งและสถานะของใต้เท้า จะส่งคนไปเอากลับมาก็ยังได้ หมอกมัวย่อมไม่กล้าหลอกลวงเรื่องใหญ่แบบนี้กับใต้เท้า” หมอกมัวรีบพูดต่อ
“ข้าต้องการวิธีการหลบหลีกที่เจ้าเพิ่งใช้ออกมา” ลู่เซิ่งพูดออกไปอย่างตรงประเด็น เขาค่อนข้างพอใจกับความฉลาดและมารยาทของอาวุธเทพชิ้นนี้อยู่บ้าง สิ่งที่หายากยิ่งกว่าก็คือมันยังเดาความคิดของตัวเองได้ ทั้งยังตอบสนองทำตาม นี่หายากเย็นสุดขีด จึงเริ่มไม่อยากฆ่ามันแล้ว
“ไม่มีปัญหาๆ! ใต้เท้ามีพลังฝึกปรือสะท้านฟ้า หมอกมัวไหนเลยกล้าปิดบัง เหอะๆ เอ่อ…นอกจากนี้ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามาทำลายเผ่ากวางดำ ไม่รู้ว่าทราบเรื่องที่เผ่านี้ติดต่อกับศัตรูในพิภพมารหรือไม่ จะว่าไป เรื่องใหญ่ที่พวกเขาวางแผนในนครเขตจันทราสารทด้วยกันก่อนหน้านี้เกือบจะสำเร็จแล้ว” หมอกมัวขายพันธมิตรของตัวเองอย่างแน่วแน่เพื่อเพิ่มแต้มต่อให้กับตัวเอง
“พิภพมารหรือ” ลู่เซิ่งสะดุดใจ ครั้งนี้เขาคาดไม่ถึงจริงๆ แล้ว เจ้าหมอกมัวถึงกับละเอียดรอบคอบ มีประโยชน์อยู่บ้าง
“ขอรับ!” หมอกมัวรีบกล่าว “ใต้เท้า…” มันขนลุกอยู่บ้างขณะมองปากใหญ่และฟันแหลมตรงกรามของลู่เซิ่ง “พอเท่านี้ก่อนดีหรือไม่ ข้าน้อยอกสั่นขวัญแขวนเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน หนำซ้ำพื้นที่ยังเล็กอีกต่างหาก ท่านยึดครองพื้นที่มากเกินไป…อีกอย่าง ข้าน้อยมีสิ่งที่อยากพูดแต่พูดไม่ได้บางส่วนด้วย”
ลู่เซิ่งครุ่นคิด ก่อนจะอนุญาตคำขอของมัน
เดิมทีเพียงคิดเตรียมมากำจัดอาวุธเทพ กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้เจอของชั้นเลิศอย่างหมอกมัวเข้า เกรงว่าในอาวุธเทพศัสตรามารของประหลาดอย่างมันจะมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเช่นกัน
เขามีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้ตนเองอาจได้ผลประโยชน์มากมายแล้ว
หนึ่งเค่อต่อมา ลู่เซิ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ตรงเอวแขวนกระบี่ยาวประณีตสีเขียวอ่อนเพิ่มอีกเล่ม เขาไม่ได้ฆ่าหมอกมัว แต่รับมันเอาไว้ โดยทำสัญญาง่ายๆ เพื่อให้มันกลายเป็นอาวุธเทพใต้สังกัดของตัวเอง
ถึงอย่างไรตัวสัญญาก็มีแค่การแลกเปลี่ยนพลังของสองฝ่าย ไม่ได้ออกแบบเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กัน
พอเดินออกมาจากน้ำในสระ เขาก็มองผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดที่อยู่รอบๆ
“เปลี่ยนเป้าหมาย พวกเราจะไปหุบเขาเสียงคืนกลับ”
หุบเขาเสียงคืนกลับเป็นตำแหน่งที่อาวุธเทพอีกชิ้นหนึ่งซ่อนอยู่ ซึ่งหมอกมัวบอกให้ฟัง และเป็นอาวุธเทพธาตุน้ำเช่นกัน
ครั้งนี้ราบรื่นเป็นอย่างดี หุบเขาเสียงคืนกลับห่างจากเขตจันทราสารทร้อยลี้ หลังจากไปถึงที่นั่นผู้เฒ่าสือก็ออกโรงนำอาวุธเทพหลับใหลมาให้ลู่เซิ่งด้วยตัวเอง นับว่าทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จนสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
…
พิภพมาร
วังจักรพรรดิด้านทิศเหนือ
ตุบๆๆ…
ในวังจักรพรรดิขนาดใหญ่โตสีดำสนิทที่เย็นเยียบ เงาคนสูงใหญ่สวมเกราะอ่อนสีทองเข้มนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย พลางใช้นิ้วเคาะกับที่พักแขนบนบัลลังก์อย่างแผ่วเบา
เงาคนสวมเกราะอ่อนไว้ทั่วตัวอย่างแน่นหนา แม้แต่ใบหน้าก็ซ่อนอยู่ในหมวกเกราะจนมองไม่เห็นส่วนใด
“หมายความว่าจนถึงตอนนี้ เสินอินก็ยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ หรือ” ในน้ำเสียงสงบนิ่งของคนสวมเกราะอ่อนมีความเกรี้ยวกราดซุกซ่อนอยู่
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” สองฟากข้างของพระราชวังด้านล่าง มีเงาสูงใหญ่จำนวนมากที่สวมเกราะอ่อนสีดำและผ้าคลุมยาวสีดำยืนกระจัดกระจายกันอยู่
เงาคนสวมเหมาะเกราะที่มีเขากระทิงคนหนึ่งเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยว่า “ดูจากทิศทางที่เสินอินมุ่งไป เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าราชวงศ์ต้าอินจะค้นพบแผนการของพวกเราแล้ว จึงลงมือวางหลุมพรางไว้ก่อน คุณหนูเสินอินนำกลุ่มไป เกรงว่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี”
เปรี้ยง!
จักรพรรดิมารเหวยลาบนบัลลังก์ทุบที่วางแขนอย่างแรง
“ไร้ความสามารถ!” เขาพ่นลมหายใจโดยแรง แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจการกระทำวู่วามของเสินอินถึงขีดสุด
“ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเรากำลังโจมตีรอบๆ หุบเขาสองพิภพสุดกำลัง จ้าวแห่งมารทุกคนล้วนไปยังราชวงศ์ต้าอิน ด้านในประเทศว่างเปล่า เหลือแค่พลังพอจะป้องกันตัวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาใหม่อีก ตั้งสมาธิกับศึกหลักอย่างวางใจก็พอ” เงาคนที่มีลายจิ้งจอกตรงอกอีกคนเดินขึ้นหน้าพร้อมกับกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ในหนึ่งปี! ข้าต้องการผลลัพธ์ที่เหมาะสมจากหุบเขาสองพิภพ! เจ้าไปบอกมารเกล็ดว่า ถ้าไม่ได้ทัพพันธมิตร ข้าจะฆ่ามันก่อน!” จักรพรรดิมารเหวยลาแทบจะคำรามประโยคนี้ออกมา
คนที่อยู่เบื้องล่างล้วนระอาใจ
ในสี่จักรพรรดิมาร จักรพรรดิมารเหวยลามีนิสัยย่ำแย่ที่สุด กระทำทุกอย่างเกรี้ยวกราดที่สุด ดังนั้นพลังของคนใต้สังกัดจึงอ่อนแอที่สุดเช่นกัน มีจ้าวแห่งมารและราชามารตั้งมากมาย ผู้ใดยินยอมสวามิภักดิ์กับจักรพรรดิมารผู้น่ากลัวที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และโมโหร้ายบ้าง
ต่อให้จะเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิมารเหวยลาก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสี่เสาหลักของพิภพมาร ไม่ใช่เพราะพลังของเขา หากเป็นเพราะความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา เขาเป็นผู้ก่อให้เกิดคดีอำมหิตจำนวนหนึ่งที่โด่งดังที่สุดในพิภพมารและโลกมนุษย์เองกับมือ
“นอกจากนี้ แค่เด็กน้อยจากสำนักมารกำเนิดเพียงคนเดียวก็จัดการไม่ได้ ข้าจะมีพวกเจ้าไปทำอะไร!? ลู่เซิ่งที่ทำลายแผนการใหญ่ของข้าผู้นั้น ผิงอวี๋เกอเจ้าไปจัดการ มีปัญหาหรือไม่” ครั้งนี้จักรพรรดิมารเหวยลาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้อย่างแท้จริงแล้ว
หลังจากเสียร่างแยกไปสองครั้ง แม้เขาจะเป็นจักรพรรดิมาร มีพลังยิ่งใหญ่ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เจ็บใจที่เสียร่างแยกไป พึงทราบว่าร่างแยกสักร่างหนึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสร้างขึ้นใหม่ได้
บุรุษที่รูปร่างผอมแห้งอยู่บ้างคนหนึ่งในพระราชวังค่อยๆ ปลดหมวกเกราะแล้วอุ้มไว้ในมือ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“กระหม่อมรับคำสั่ง”
“เคลื่อนไหวให้เร็ว ฉวยโอกาสตอนราชวงศ์ต้าอินยังตอบสนองไม่ทัน รีบปฏิบัติการ ถ้าจับไม่ได้จริงๆ ก็จงฆ่าทิ้งเสีย” จักรพรรดิมารเหวยลากล่าวอย่างเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะ” ผิงอวี๋เกอเป็นชื่อที่มีแต่จักรพรรดิมารเหวยลาจึงจะมีสิทธิ์เรียก ชื่อแท้จริงของเขาคือจ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจ
เขาเป็นจ้าวแห่งมารที่แข็งแกร่งที่สุดใต้อาณัติของจักรพรรดิมารเหวยลา ไม่มีใครอื่นอีก และเป็นผู้ก่อคดีฆาตกรรมใหญ่ที่ดังขจรขจายไปทั่วพิภพมาร ถ้าหากบอกว่าจ้าวแห่งมารทั่วไปที่แข็งแกร่งที่สุดไปถึงระดับเทวปัญญา อย่างนั้นเขาก็เป็นเทวปัญญาในหมู่เทวปัญญา ทั้งยังเป็นจ้าวแห่งมารเทวปัญญาตั้งแต่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนแล้ว ตอนนี้ยิ่งล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด ถึงขั้นมีขุนนางดวงดาวเดาว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าเขามีความหวังมากที่สุดในการเลื่อนระดับเป็นจักรพรรดิมารคนต่อไป
การให้เขาลงมือเองเหมือนกับใช้มีดเชือดวัวฆ่าไก่[1] ทว่าตอนนี้จักรพรรดิเหวยลาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
เขาแค่ต้องการผลลัพธ์ ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ส่วนจะทำอย่างไรนั้นไม่สำคัญ
…
ราชวงศ์ต้าอิน รัชศกสามร้อยหกสิบแปด ฤดูใบไม้ผลิ
ซื่อเทาจงฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าอินประชวรสวรรคต ประชาราษฎร์เศร้าโศก หุบเขาสองพิภพมีอีกแห่งถูกทำลาย ประตูเลือดเนื้อก่อตั้งเป็นบานที่ห้า ภัยพิบัติมารรุนแรงขึ้นอีกขั้น
ราชสำนักปั่นป่วน เหล่าโอรสบ่อนทำลายกันเอง ดึงขุนนางกับผู้เข้มแข็งของสามสำนักเข้าเป็นพวก มู่เซวียนถัวบรรพชนกษัตริย์สูงสุด เจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วออกหน้ารักษาสถานการณ์ สร้างขื่อแปขึ้นใหม่ ทั้งยังจัดระเบียบให้กองทัพล้อมปราบอาณาเขตของภัยพิบัติมาร
ปีเดียวกัน สิบหอกหยกปีศาจปรากฏกาย สังหารหย่วนกวงเถิงแม่ทัพใหญ่สำเร็จ ทัพใหญ่ถูกโจมตีแตกพ่าย
ปีเดียวกัน จิ่งฝานสมุหกลาโหมประจำราชสำนัก นำทัพรักษาพระองค์หนึ่งหมื่นหกพันนายลอบโจมตีประตูเลือดเนื้อสามบาน สังหารวิญญาณมารสี่ตนกับจ้าวแห่งมารตนหนึ่ง สร้างผลงานสะท้านแผ่นดิน พลิกสถานการณ์เลวร้ายกลับมา
มาถึงตอนนี้โลกมนุษย์และพิภพมารอยู่ในสภาพเข่นฆ่าห้ำหั่น
ปีเดียวกัน ฉยงซังโอรสองค์ที่ยี่สิบเจ็ดหายตัวไป หลังจากการค้นหาไร้ผลลัพธ์ ก็สรุปว่าถูกทัพมารสังหารไปแล้ว จึงเพิ่มบรรดาศักดิ์ให้
…
แคว้นนวกระจ่าง จังหวัดไร้เหมันต์ เขตจันทราสารท
นับตั้งแต่ลู่เซิ่งกลับมา ทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่ก็คึกครื้นผ่อนคลาย ลู่เฉวียนอันให้อิสระคนในตระกูล ปล่อยให้พวกเขาปลดปล่อยอย่างลิงโลด
ด้านในเขตจันทราสารท สถานะและพลังของลู่เซิ่งแทบจะอยู่ในจุดสูงสุด ขุมกำลังทั่วไปทั้งหมดของสำนักพันอาทิตย์ ขุมกำลังของอีกสองสามสำนัก และทางการล้วนหลีกทางให้ตระกูลลู่ครึ่งส่วน เห็นคนคุมหางเสือจำนวนไม่น้อยเข้าหาหรือไม่ก็ถึงขั้นเสนอการแต่งงานให้แก่ผู้เยาว์ในคฤหาสน์ลู่ด้วยตัวเองเอง
ตำแหน่งของลู่เซิ่งในเขตจันทราสารท สุดที่ศิษย์จริงแท้ทั่วไปเมื่อก่อนหน้านี้จะเปรียบเทียบได้
คนไม่น้อยนึกว่าลู่เซิ่งจะรับตำแหน่งเจ้าสำนักพันอาทิตย์ของเขตจันทราสารทเป็นคนต่อไป แต่มีแค่เจ้าสำนักเฉินจิ้งจือของสำนักพันอาทิตย์เท่านั้นที่ทราบว่า ลู่เซิ่งไม่สนใจตำแหน่งนี้
ช่วงนี้เขากักตัวถี่ขึ้น หากไม่มีเรื่องราวใด นอกจากไปยังเขตเก็บหนังสือของอารามสำนักพันอาทิตย์ ก็ศึกษาท่าร่างลึกลับวิชาหนึ่งไม่รู้เอามาจากไหน อีกทั้งการติดต่อกับหน่วยอาทิตย์โลหิตก็แน่นแฟ้นขึ้นเช่นกัน เหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
กลับเป็นเหล่าคนรุ่นหลังของคฤหาสน์ลู่จำนวนไม่น้อยมีพลังไม่พอ ในที่สุดก็อดทนไม่ไหว เกิดความหวั่นไหวต่อการล่อลวงไม่น้อยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง
…
บ่อนพนันผิงอัน
ด้านในโถงใหญ่ของบ่อนพนัน เสียงตะโกนและเสียงด่าดังมาจากโต๊ะพนันขนาดต่างๆ เป็นระยะ สับสนวุ่นวาย แต่ก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นกัน
ข้างโต๊ะหลายตัว เจ้ามือเขย่าลูกเต๋าอย่างช่ำชอง ตั๋วเงินและแท่งเงินถูกผลักไปมาบนโต๊ะตลอดเวลา
ตรงประตูเล็กด้านข้างบ่อน คนสวมชุดหรูหราหลายคนกำลังมองภาพคึกครื้นของที่นี่อย่างเงียบๆ
“เป็นอย่างไรบ้างสหายเทียนหยาง” บุรุษท่าทางร่ำรวยที่เป็นผู้นำยิ้มพลางมองบุรุษวัยหนุ่มด้านข้าง
บุรุษหนุ่มสีหน้าซีดขาว ถุงใต้ตาใหญ่ยิ่ง ร่างกายผอมแห้งอ่อนแอเพราะดื่มสุราเคล้านารีมากเกินไป เขาคือลู่เทียนหยางหนึ่งในคุณชายของตระกูลลู่
……………………………………….
[1] มีดเชือดวัวฆ่าไก่ หมายถึง ลงทุนกับเรื่องเล็กๆ มากเกินไป ตรงกับสำนวนขี่ช้างจับตั๊กแตน