ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 417 จัดการ (1)
บทที่ 417 จัดการ (1)
ลู่เซิ่งไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของอริยะเจ้าทงเซิง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ
“รายงาน! ใต้เท้าทั้งสองท่าน เจอร่องรอยของจิ่งหงแล้วขอรับ! เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้าประจำตำแหน่งและตรวจสอบความแม่นยำของร่องรอยทุกๆ สิบลมหายใจ!”
บนเนินเขาไกลออกไปมีเงาคนสีเทาสายหนึ่งกระโจนมา แล้วหมอบลงคำนับคนทั้งสองคน นี่เป็นยอดฝีมือที่กรมหยินหยางและกรมสังข์เขียวส่งมาร่วมกัน ถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในท้องที่ ทว่าเทียบกับลู่เซิ่งและทงเซิงแล้ว ย่อมสู้ไม่ได้
“ยืนยันตำแหน่งได้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“ขอรับใต้เท้า ตอนนี้จิ่งหงกำลังกินอาหารเที่ยงอยู่ที่เหลาหงส์โบยบินในตำบลภูษาหลากสีสันขอรับ” คนคนนั้นตอบอย่างรวดเร็ว
“ไปดูด้วยกันเถอะ ยอดฝีมือของรังผึ้งคงจะต้องมีส่วนใดพิเศษสักแห่งเป็นแน่” ทงเซิงหัวเราะพร้อมกับเสนอ
“อือ” ลู่เซิ่งหัวเราะตาม สายตาเป็นประกายเล็กน้อย
จิ่งหงผู้นี้คงไม่ใช่แค่แบกรับปัญหาของเขาเท่านั้น สิ่งที่เขาคิดก็คือ ภารกิจที่สือจื้อซิงมอบให้ก็พูดถึงการดำรงอยู่ของรังผึ้งเช่นกัน
เมื่อคืนตอนที่เขาศึกษาภารกิจอย่างละเอียด ได้พบเนื้อหาส่วนหนึ่งที่พอดูไปดูมาดันมีความเกี่ยวข้องกับจิ่งหงผู้นี้พอดี
‘ดูเหมือนที่สือจื้อซิงมอบภารกิจนี้ให้เราจะไม่ใช่ความบังเอิญ…’ ลู่เซิ่งคิดในใจพร้อมกับติดตามอริยะเจ้าทงเซิงไป มีเมฆเกิดขึ้นข้างใต้คนทั้งสอง หมอกขาวและไอเมฆลอยเวียนวน คนทั้งสองลอยขึ้นเหนืออากาศด้วยการเสริมพลังจากปราณจริงแท้ ก่อนจะบินไปยังตำบลภูษาหลากสีสันที่อยู่ใกล้ๆ
ทงเซิงมีอายุเยอะแล้ว จึงทราบวิธีการใช้ปราณจริงแท้ไม่น้อย เขาติดตั้งค่ายกลอำพรางให้พวกเขาทั้งสองคน พอเป็นแบบนี้แม้แต่คนเดินถนนธรรมดาด้านล่างก็ไม่มีใครเห็นเมฆสีขาวสองกลุ่มที่พวกเขาบังคับอยู่เลยสักคนเดียว
ผ่านไปเพียงสิบลมหายใจ ทั้งสองก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงใกล้ๆ ตำบลภูษาหลากสีสัน ย่างเท้าไปตามเส้นทางหลวง ก่อนจะเดินเข้าไปในตำบลเล็กๆ ที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบ
เสียงตะโกน เสียงต่อรองราคา เสียงโวยวายมุดเข้าสู่หูของพวกเขาอย่างสับสน
“ตำบลภูษาหลากสีสันแห่งนี้น่าจะมีคนเยอะทีเดียว เวลาปกติก็คึกคักขนาดนี้แล้ว” ทงเซิงประหลาดใจอยู่บ้าง
“เป็นอย่างที่ท่านว่า” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดสีย้อมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของทั่วทั้งนครเขต มีพ่อค้าไปๆ มาๆ มากมาย คนจึงพลอยเยอะไปด้วย” เขาอ่านเจอข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้จากตำราทั่วไปไม่น้อย
ทงเซิงพยักหน้าแสดงออกว่าตนเข้าใจ จากนั้นไม่นานคนทั้งสองก็มาถึงด้านหน้าเหลาสุราสูงสองชั้นด้วยการนำทางอย่างลับๆ ของคนจากกรมสังข์เขียวในฝูงชนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ใต้ชายคาด้านนอกเหลาสุราแขวนโคมไฟสีเหลืองไว้หกใบ โดยจัดเรียงเป็นทรงขนมเปียกปูน กลางโคมไฟคือป้ายต้อนรับที่ทำจากไม้ บนกระดานที่มีพื้นสีดำเขียนไว้ว่า ‘เหลาสุราหงส์โบยบิน’
ทั้งสองยังไม่ได้เดินเข้าไปในเหลา ก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นของสุราผสมดอกไม้ทันที
“กลิ่นหอมแบบนี้ ขนาดที่ราชธานีอินตูก็ยังหาได้ยาก ไม่เลวๆ รอบนี้มาไม่เสียเที่ยวแล้ว” ทงเซิงพลันเกิดความสนใจ จึงสาวเท้าเข้าไปในเหลา
ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวช้าลงหนึ่งก้าว สายตาคล้ายกวาดผ่านแขกจำนวนมากในเหลาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเดินตามเข้าไป
พอทั้งสองเข้าประตูไปก็มีเสี่ยวเอ้อร์มาต้อนรับทันที
“แขกทั้งสองท่านเชิญทางนี้ขอรับ รับสุราเก้าบุปผาเก้าน้ำผึ้งของทางเราก่อนเป็นอย่างไรขอรับ”
“อ้อ สุราเก้าบุปผาเก้าน้ำผึ้งนี้คืออะไรหรือ” ทงเซิงถามด้วยความสนใจ
“พันวาจาหมื่นถ้อยคำมิสู้ดื่มดูสักครั้ง ใต้เท้า ถ้าท่านดื่มก็จะรู้เอง” เด็กน้อยผู้นี้มีไหวพริบยิ่ง วาจาเองก็ไม่ต้อยต่ำหรือสูงสุด ขณะเดียวกันยังขายสุราอย่างมีมารยาทโดยไม่ทำให้คนรู้สักตะขิดตะขวงใจด้วย
ลู่เซิ่งอดยิ้มเงียบๆ ไม่ได้ ตนเองอายุใกล้เคียงกับเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ แต่กลับมีจิตใจอย่างคนชราอายุมากอย่างไรอย่างนั้น
เขาเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่บนร่างชายฉกรรจ์อาภรณ์สีดำที่กำลังกินอาหารอย่างมูมมามตามลำพังในมุมหนึ่งของเหลาสุรา
นี่ก็คือเป้าหมาย
จิ่งหงผู้ล่าอาวุธเทพ ยอดฝีมือระดับสุดยอดที่เคยหนีจากตระกูลจิ่ง
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า โต๊ะอาหารของจิ่งหงอยู่ใกล้ประตูใหญ่ ตรงประตูมีเด็กยาจกสกปรกสองคนกำลังจ้องมองอาหารบนโต๊ะของเขาด้วยตาที่แวววาว ด้านข้างคือยามเฝ้าประตูในเหลาสุรา แต่กลับไม่ใส่ใจเด็กทั้งสอง
จิ่งหงไม่เหลือบแลเด็กยาจกทั้งสองคน แต่กลับโยนอาหารที่ดูจะไม่ถูกปากของตัวเองสองสามอย่างไปให้เด็กสองคนนั้น
นี่เป็นความรู้กันอันแปลกประหลาด จิ่งหงโยนของกินออกไปตลอดเวลา เด็กยาจกสองคนก็ไม่ได้เดินเข้าไปร้องขอ เพียงรออยู่นิ่งๆ เท่านั้น
พอลู่เซิ่งเห็นภาพนี้ก็เกิดฉุกใจได้ จิ่งหงผู้นี้คล้ายไม่ใช่คนโหดเหี้ยมทารุณอย่างในข้อมูล
แม้เขาลู่เซิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนดี ทว่าก็มีขีดจำกัดของตัวเอง
เขาชมชอบฆ่าคนเลว เป็นเพราะว่าตัวเขาไม่ใช่คนดี คนเลวบนโลกยิ่งมีน้อยเท่าไหร่ คนดีก็มีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
คนดียิ่งเยอะเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งใช้ชีวิตได้สุขสบายเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันคนทุกสถานที่ทุกเวลา ส่วนคนชั่วไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นคู่แข่งของเขาก็ได้
“สุดท้ายก็เป็นคนจิตใจดี…” ทงเซิงดื่มสุราเก้าบุปผาเก้าน้ำผึ้งที่เพิ่งส่งมา พร้อมกับถอนใจชมเชย
จากนั้นเขาก็ดื่มสุราหมดในอึกเดียว
“ไปเถอะ ในเมื่อเป็นคนจิตใจดี พวกเราก็พยายามอย่าทำร้ายชีวิตคนเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่งลุกตามทงเซิงแล้วเดินไปหาจิ่งหงตรงมุม
ตอนนี้แขกในเหลาสุราเริ่มถูกไล่ไปแล้ว เวลานี้คนของกรมหยินหยางและกรมสังข์เขียวไม่กลัวว่าจิ่งหงจะหลบหนี เมื่อมีใต้เท้าทั้งสองท่านอยู่ ถ้าหากแบบนี้จิ่งหงยังหนีได้อีก เช่นนั้นก็มีพลังไม่ธรรมดาจริงๆ คนระดับพวกเขาคงจะไล่ตามไม่ทันแน่
จิ่งหงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเช่นกัน จึงมองไปยังพวกทงเซิงที่เดินเข้ามาหาเขา
“ข้าไม่ชอบให้ใครมากวนตอนดื่มสุรา” เขามองความตื้นลึกหนาบางของทั้งสองไม่ออก แต่เป็นเพราะยอดฝีมือจำนวนมากมีความสามารถซ่อนเร้นของตัวเอง นอกจากเจ้าแห่งอาวุธก็ไม่มีผู้ใดมองความสามารถซ่อนเร้นทั้งหมดได้ทะลุอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ลนลาน
เป็นเพราะเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง เขาจึงไม่กลัวแม้แต่น้อย
“พวกเราไม่ได้มารบกวนเจ้าหรอก” ทงเซิงกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับยื่นมือไปหยุดลู่เซิ่งที่กำลังจะเอ่ยปาก แล้วนั่งลงด้านตรงข้ามของจิ่งหง
มือที่จับขาเป็ดพะโล้ของจิ่งหงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองทงเซิง เขามีชื่อเสียงมาหลายปี ฝีมือเหี้ยมโหด บนร่างจึงปล่อยความอำมหิตออกมาเองตามธรรมชาติ นึกไม่ถึงว่านอกจากเด็กยาจกสองคนนั้นแล้ว ยังมีคนพูดกับเขาในระยะใกล้ขนาดนี้โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยอีก
เขารู้แล้วว่าสองคนนี้มาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งเห็นทงเซิงรู้สึกสนใจขนาดนี้ จึงนั่งลงเป็นเพื่อนเขา ทว่าเทียบกับชีวิตอันยาวนานของอริยะเจ้าทงเซิง เขายังหนุ่มมากๆ จึงไม่เข้าใจว่าการกระทำที่ไร้ความหมายของทงเซิงมีอะไรน่าสนุกสนานกัน
ทงเซิงพูดคุยกับจิ่งหงหลายประโยค ถึงกับยิ่งคุยยิ่งเพลิน ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจหลักปรัชญาชีวิตที่ทั้งสองคุยกันเท่าไหร่ ความสนใจของเขารวมอยู่บนร่างคนยุทธภพที่พกพาดาบกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังกินเนื้อดื่มสุราอยู่ในเหลา
คนกลุ่มนี้สวมใส่ชุดทะมัดทะแมงสีขาวที่ดูอวดโอ่ รัดเชือกเล็กๆ สีทองไว้ที่เอว รวมถึงสวมรองเท้าหนังวัวพันชั้นที่ปักลวดลายดอกไม้และก้อนเมฆ
เดิมทีคนกลุ่มนี้เพียงแค่นั่งกินข้าวอย่างเงียบๆ แต่ก็เกิดความขัดแย้งกับยอดฝีมือของกรมสังข์เขียวที่กำลังจัดการพื้นที่ พวกเขาไม่ไปไหน ไม่กลัวเกิดเรื่อง และไม่สนใจการบอกใบ้ของกรมสังข์เขียวโดยสิ้นเชิง หากยังนั่งดื่มสุราอยู่ที่เดิมต่อไปโดยไม่สนใจใคร
เป็นสามบุรุษสามสตรี ที่ล้วนเป็นคนมาจากขุมกำลังเดียวกัน บนเสื้อผ้าปักคำว่าหลัวเอาไว้ คนของกรมหยินหยางเห็นพวกเขาไม่เชื่อฟังจึงเลิกสนใจ ถึงอย่างไรหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ จะตายหรือพิการก็ถือว่าสมควร
เวลานี้หลิวชิงหยวนศิษย์ของทงเซิงมาถึงแล้ว เมื่อมีศิษย์อยู่ด้วย ย่อมไม่ให้อาจารย์ออกโรงเอง ส่วนลู่เซิ่งในฐานะอริยะเจ้าเป็นผู้อาวุโส ย่อมไม่ให้เขาลงมือเป็นคนแรก ไม่อย่างนั้นคงเป็นการบอกว่าจังหวัดไร้เหมันต์ไม่มีใครแล้ว
หลิวชิงหยวนสาวเท้าเดินมาถึงโต๊ะที่จิ่งหงนั่งอยู่ แล้วยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนอยู่ด้านหลังทงเซิง
เวลานี้ทงเซิงหยุดพูดคุยแล้ว การสนทนากับจิ่งหงทำให้เขารู้คร่าวๆ แล้วว่า คนผู้นี้ไม่ได้เหี้ยมโหดอย่างในจินตนาการ ดังนั้นหลิวชิงหยวนที่ได้รับการถ่ายทอดกระแสเสียงจากเขาจึงไม่คิดจะใช้วิธีไร้มารยาทสนทนากับอีกฝ่ายเช่นกัน
“จิ่งหง” หลิวชิงหยวนยิ้มพลางเดินไปถึงด้านหน้าจิ่งหง “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงล่าอาวุธเทพ เจ้าควรจะรู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังของผู้ถืออาวุธของอาวุธเทพเหล่านั้นคือผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่ ค่ายพรรค และสำนัก เกิดว่าพวกเขาที่เป็นจุดสนับสนุนตายหมด จะเกิดความวุ่นวายขนาดไหน จะมีคนมากมายเท่าไหร่เร่ร่อนไร้ที่อยู่ ถูกซ้ำเติม และเสียชีวิต”
จิ่งหงมีคิ้วที่เข้มมาก ในดวงตาฉายแววแน่วแน่และเชื่อมั่นในตัวเอง
“ข้ารู้ ดังนั้นคนที่ข้าเลือกจึงเป็นที่มีความชั่วมากกว่าความดี” เขาผุดสีหน้ามั่นใจ เงยหน้ามองหลิวชิงหยวน สายตาหยุดอยู่บนอาวุธเทพพู่กันตุลาการที่เอวของอีกฝ่าย
“เจ้ากล้ารับประกันหรือ” หลิวชิงหยวนเลิกคิ้ว
“แน่นอน”
ทั้งสองเงียบเสียงทันที
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนี้ ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ ข้าไม่เห็นความบ้าคลั่งจากในดวงตาของเจ้าแม้แต่น้อยนิด” ทงเซิงส่ายหน้าพลางถอนใจกล่าว “ขอถามสักคำถามได้หรือไม่ เจ้ามาที่นี่เพราะจุดประสงค์ใด”
จิ่งหงเงียบเสียง เพียงยกจอกสุราขึ้นเงยหน้าดื่มจนหมด
“พวกท่านไปเถอะ ข้าไม่อยากฆ่าคนแล้ว” เขากล่าวประโยคสุดท้ายอย่างสงบนิ่ง
ในสายตาของเขาอย่างมากสุดพวกทงเซิงก็เป็นแค่ยอดฝีมือระดับผู้ถืออาวุธ ทว่าผู้ถืออาวุธกับราชามารที่ตายด้วยน้ำมือของเขาจำไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่แล้ว
ฉายานักล่าอาวุธเทพไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ แล้วจะได้มา หากแต่ค่อยๆ สั่งสมมาทีละนิดๆ จากผลการรบอันดุเดือดนับไม่ถ้วน
“พวกท่านไปเถอะ ข้าไม่อยากฆ่าคนแล้ว” อยู่ๆ บนโต๊ะกินข้าวด้านข้างก็มีเสียงที่หญิงสาวคนหนึ่งทำเสียงทุ้มเลียนแบบดังมา
จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ที่อดไม่ได้ คนที่พูดเป็นคนสวมอาภรณ์ขาวที่ไม่ยอมถูกไล่จากไปกลุ่มนั้น
“ศิษย์น้องเล็ก ห้ามเสียมารยาท ออกมาด้านนอกต้องให้เกียรติคนอื่นก่อน ลืมการสั่งสอนของบิดาเจ้าแล้วหรือ” บุรุษที่หน้าตาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในกลุ่มคนอาภรณ์ขาวสั่งสอนอย่างเอาจริงเอาจริง
“ทราบแล้วๆๆ ศิษย์พี่หยวน ศิษย์น้องจะจำไว้” คนหนึ่งที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มลูกศิษย์หญิงปิดปากหัวเราะคิก
“พวกเรามาที่นี่เพราะมีภารกิจสำคัญ อย่าให้เกิดเหตุแทรกซ้อน ไปเถอะ อย่าขัดขวางคนอื่นทำงาน” สตรีที่มีใบหน้าอ่อนโยนน่ารักคนหนึ่งเสนอเบาๆ
“ตกลงศิษย์พี่” คนที่เหลือพากันขานรับ แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้มีตำแหน่งสูงสุด
จิ่งหงละสายตาที่มองไปทางด้านนั้นกลับมา
“ไปกับข้าเถอะ ไม่ใช่ว่าเจ้ากล่าววาจาบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีเรื่อง คดีร้ายแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ต้องการให้เจ้ามอบคำว่ากล่าวให้” แม้ทงเซิงจะเอ่ยปากแล้ว ทว่าหลิวชิงหยวนไม่คิดจะปล่อยคนผู้นี้ไป
ต่อให้เขาจะไม่ได้ก่อคดีเมื่อไม่นานมานี้ แต่คนผู้นี้ก็เป็นผู้ร้ายที่ต้าอินประกาศจับมาหลายปี
บนร่างทั้งสองค่อยๆ ปล่อยกระแสความมืดหลายสายออกมา
คนหนึ่งเป็นศิษย์ที่อริยะเจ้าถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง มีพลังเหี้ยมหาญ อีกคนคือนักล่าอาวุธเทพ มีพลังไม่ธรรมดาเหมือนกัน พลังบิดเบี้ยวหลายสายไหลเชี่ยวอย่างช้าๆ ระหว่างคนทั้งสอง ทว่าการปะทะกันระหว่างอาวุธเทพได้เริ่มต้นขึ้นกลางระยะห่างระหว่างคนทั้งสองแล้ว
ทงเซิงนั่งนิ่งๆ ทว่าบนร่างเขามีก้อนสนามพลังปิดผนึกสายหนึ่งที่กระจายไปทั่ว ผนึกอาณาเขตหลายหมี่ในการต่อสู้ของคนทั้งสองเอาไว้ และตัดขาดผลกระทบทั้งหมด
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างยกสุราขึ้นดื่มคำหนึ่ง รสชาติไม่เลว เขามองออกแล้วว่า อริยะเจ้าทงเซิงไม่มีแผนการจะจับตัวจิ่งหงจริงๆ คนผู้นี้ไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้
แต่ว่าไม่ต้องร้อนรนไป ไม่ว่าทงเซิงจะอยากจับคนหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ภารกิจที่สือจื้อซิงมอบให้คือการเก็บดาบสดับฟ้ากลับไป
ดาบสดับฟ้าอยู่ในมือคนที่มือชื่อว่าสวีฉี และเผอิญที่สวีฉีผู้นี้เป็นพี่ใหญ่ของจิ่งหง หนำซ้ำยังเป็นพี่ชายแท้ๆ รวมถึงเป็นคนของรังผึ้งเหมือนกัน
แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะเขามีโอกาสพบเจอโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงมอบหมายภารกิจนี้ให้แก่เขา
……………………………………….