ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 429 มั่นคง (1)
บทที่ 429 มั่นคง (1)
หลายเดือนต่อมา…
แซ่ก แซ่ก แซ่ก…
ใช้ไม้กวาดกวาดฝุ่นละอองและขยะบนพื้นเบาๆ ลู่เซิ่งหยุดลงแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า เป็นยามบ่ายแล้ว
องุ่นที่แขวนอยู่บนซุ้มองุ่นในเรือนสุกใสแวววาวเหมือนกับหยกสีเขียว พวกมันเปล่งแสงงดงามน่าอัศจรรย์ใต้แสงแดด
“ลู่เซิ่ง กับข้าวเสร็จแล้ว เข้ามากินด้วยกันเถอะ” เสียงของชายชราจากห้องด้านในทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ลู่เซิ่งวางไม้กวาดพิงกำแพงด้านหนึ่ง เทขยะในกระบอกเข้าไปในถังขยะ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
แสงด้านในห้องอึมครึมเล็กน้อย ตะเกียงน้ำมันที่มีสีเหลืองมัวซัวหลายชิ้นบนผนังส่องแสงใส่เครื่องเรือนอันเรียบง่ายในบ้าน
ชายชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นและชราจนเหมือนกับจะล้มลงนอนแน่นิ่งได้ตลอดเวลาคนหนึ่งประคองโจ๊กผักด้วยมือสั่นเทา แล้ววางมันเอาไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยม จากนั้นก็จัดกับข้าวอย่างอื่นที่เตรียมไว้แล้วบนโต๊ะตามตำแหน่ง
ลู่เซิ่งนั่งลง ก่อนจะหยิบตะเกียบคีบหมูเส้นผัดต้นหอมใส่ปากเงียบๆ
เส้นหัวไชเท้าที่กรุบกรอบให้รสหว่านฉ่ำ แทรกด้วยความนุ่มนวลจากกลิ่นหอมที่ไม่มีความคาวแม้แต่น้อยของหมูเส้น บวกกับต้นหอมสีเขียวมรกตที่เล็กละเอียดอีกนิดหน่อย เมื่อส่งเข้าช่องปากขณะที่ยังอุ่น ทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกถึงความร้อนและเกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
“ก่อนหน้านี้พวกเราไปยังศาลาเก็บหนังสือสี่ขั้น ทิวทัศน์ไม่เลวจริงๆ แต่ว่าขาดความสุนทรีไปบ้าง วันนี้พวกเราจะไปยังภูเขาเหลืองกำเนิด” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ภูเขาเหลืองกำเนิดหรือ”
“เป็นสถานที่ที่ไม่เลวแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าน้ำแร่บนเขาหวานฉ่ำเป็นอย่างยิ่ง” ชายชราหัวเราะ “สมัยหนุ่มอยากจะไปลองน้ำแร่บนเขาลูกนี้มาก น่าเสียดาย…หลายปีมานี้ไม่เคยมีเวลา มักจะยุ่งนู่นยุ่งนี่ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว”
ลู่เซิ่งพยักหน้า “คนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ย่อมไม่อาจทำตามใจ…”
ทั้งสองคนสลับกันคีบอาหาร ไม่นานก็ยัดกับข้าวบนโต๊ะเข้าปากจนหมด ลู่เซิ่งมีความจุอาหารมากเป็นทุนเดิม ตอนนี้หลังกินข้าวมื้อนี้เสร็จ ถึงกับได้รับความพึงพอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาลุกขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับเก็บกวาดชามตะเกียบและทำความสะอาดผิวโต๊ะ จากนั้นก็อุ้มจานชามที่สกปรกไปใส่ไว้ในอ่างล้างจานในห้องครัว ตักน้ำล้างพวกมัน ก่อนจะทำความสะอาดพื้นรอบๆ
เขาทำเรื่องแบบนี้มานานแล้ว ในหลายเดือนมานี้แทบเป็นแบบแผนเช่นนี้
ตอนแรกเขาหงุดหงิดรำคาญใจมาก แต่มาถึงภายหลัง เขาก็ค่อยๆ สงบนิ่งและใจเย็นขึ้น
เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร จะมีผลกระทบอะไร แต่เขาเพลิดเพลินกับการเปลี่ยนแปลงนี้มาก
หลังกินข้าวเสร็จ ทั้งสองก็พักผ่อนเล็กน้อย ก่อนจะออกไปเรียกรถม้าคันหนึ่งแล้วขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ภูเขาเหลืองกำเนิด
พอมาถึงภูเขาเหลืองกำเนิด พวกเขาก็ซื้ออาหารส่วนหนึ่งและกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำไว้ดื่มจากแผงลอยเล็กๆ ที่ตีนเขา แล้วเริ่มปีนไปตามตีนเขาทีละก้าวๆ
อย่าเห็นว่าชายชราอายุมาก ร่างกายกลับแข็งแรงเป็นพิเศษ ปีนถึงยอดเขาพร้อมกับลู่เซิ่งในตอนที่ฟ้ามืดพอดี
บนยอดเขามีแท่นเรียบๆ ที่ได้รับการบูรณะ ติดตั้งรั้วป้องกันอันตรายเข้าไปหลายแห่ง
ชายชรายืนชมทัศนียภาพอยู่ด้านในรั้วกั้น ส่วนลู่เซิ่งนำกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำออกมาอย่างระมัดระวัง เปิดจุกออกเบาๆ ก่อนจะเทใส่ปาก
“ลู่เซิ่ง เจ้าเข้าใจหรือยัง” ชายชราที่หันหลังให้เขาพลันถามเบาๆ
“อะไรหรือขอรับ”
“เข้าใจถึงสิ่งที่เจ้าต้องการอย่างแท้จริงหรือยัง”
“ข้า? ข้าต้องการ…” ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ออกแล้ว เหมือนกับในห้วงสมองมีเรื่องที่สำคัญถึงขีดสุด แต่กลับนึกไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เขากุมหน้าอก พร้อมกับหลับตาใคร่ครวญอย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไร ก็ไม่อาจนึกออกว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร
“เจ้าเป็นเพื่อนข้าไปยังสถานที่ต่างๆ มานานขนาดนี้ ข้าพอใจมากแล้ว” ชายชราหมุนตัวมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพื่อตอบแทน ข้าจะทิ้งสิ่งที่เจ้าต้องการให้เจ้าทั้งหมด ส่วนจะได้ผลลัพธ์อะไรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”
“ทิ้งไว้ให้ข้าหรือ” ลู่เซิ่งหลับตา และในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในส่วนลึกของดวงตาก็มีความเข้าใจแล้ว
“ใจเจ้าร้อนรนเกินไป…” ชายชราพูดอย่างจนปัญญา “ระดับของเจ้าในตอนนี้เป็นความเร็วในการยกระดับที่เร็วที่สุดแล้ว เมื่อมาถึงขั้นนี้ จะไม่มีใครก้าวข้ามได้ง่ายๆ อีก ตัวเจ้าแม้แต่กฎเกณฑ์หลักของตัวเองก็ยังคลำไม่ออกด้วยซ้ำ”
ลู่เซิ่งพลันสั่นสะเทือน ความทรงจำเมื่อก่อนหน้าตื่นขึ้นในห้วงสมองของเขาอย่างรุนแรงเหมือนกับกระแสน้ำ
เขาตอบรับเงื่อนไขข้อหนึ่งของอริยะเจ้าทงเซิงเพื่อเป้าหมายเกี่ยวกับการฝึกฝนขั้นต่อไป นั่นก็คือการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ เป็นเพื่อนอีกฝ่ายสักสองสามเดือน
และตอนนี้เขาได้ทำตามเงื่อนไขที่ตอบรับไว้แล้ว ถึงตาอริยะเจ้าทงเซิงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขาสักที
ลู่เซิ่งสงบจิตใจ เขาจำไม่ได้โดยสิ้นเชิงว่าตนเองออกจากเขตจันทราสารทกับอริยะเจ้าทงเซิงอย่างไร ความทรงจำในห้วงสมองพลันเลือนรางตั้งแต่เห็นอริยะเจ้าทงเซิงแสดงปฐมพลังตอนอยู่ในอาราม
‘นี่…ก็คือพลังของปฐมพลังอย่างนั้นหรือ’ ลู่เซิ่งจิตใจเย็นเยียบ เขาถูกคนควบคุมมาตั้งนานอย่างเงียบเชียบ แถมแม้แต่ความทรงจำของตัวเองยังถูกทำให้ปั่นป่วนสับสนอีกต่างหาก
ชายชรายิ้มแย้ม เขาคือร่างหลักของอริยะเจ้าทงเซิงจริงๆ
“นี่คือปฐมพลังของข้า ถือเป็นปฐมพลังชนิดเดียวกัน ปฐมพลังที่ต่างกันจะก่อให้เกิดผลที่ต่างกันออกไป และบังเอิญที่จิตวิญญาณของเจ้ามีช่องโหว่ใหญ่สุดขีดอยู่ เพียงได้เห็นธรรมชาติของปฐมพลัง ก็สับสนงุนงงแล้ว แถมความทรงจำยังเลือนรางอีก”
“ช่องโหว่ใหญ่หรือ” ลู่เซิ่งตกใจ “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส ช่องโหว่บนตัวผู้เยาว์คืออะไรกันแน่”
“เจ้าไม่ได้ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์หลักอย่างครบถ้วน ยังมีการหลอมรวมและพึ่งพาอาศัยระหว่างจิตวิญญาณกับกฎเกณฑ์หลัก…กฎเกณฑ์หลักของเจ้าแปลกประหลาดมาก แม้จะอ่อนแอจนข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ทว่าข้าก็ยังคงสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติของอริยะเจ้าได้” ชายชรากล่าวพลางขมวดคิ้ว
“สิ่งที่เจ้าต้องการในตอนนี้ที่จริงคือการกักตนฝึกฝน เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่พลังของตัวเอง ไม่ใช่การแสวงหาขั้นต่อไป
ช่างเถอะ จะจัดการอย่างไร เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน ข้าจะแนะนำสถานที่แห่งหนึ่งให้เจ้า เป็นสถานที่ที่มีประโยชน์กับเจ้า หากเจ้ายินดีก็ไป หากไม่ยินดีก็แล้วแต่ หลังจากเจ้าสร้างความมั่นคงให้แก่ทุกสิ่งในตอนอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว เจ้าอาจจะชดเชยช่องโหว่ได้และเจอสิ่งที่เจ้าต้องการก็ได้”
เขาโบกมือ จากนั้นก็มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งลอยอย่างแผ่วเบาผ่านที่ว่างระหว่างทั้งสอง แล้วตกลงกลางฝ่ามือลู่เซิ่ง
“เอาล่ะ ขอบใจมากที่เจ้ายินยอมเสียสละเวลามากมายมาอยู่เป็นเพื่อนตาเฒ่าอย่างข้า ภายหลังเมื่อไปถึงสาขาหลักแล้ว อย่าลืมมาเยี่ยมข้าที่บ้านห่านเทาเล่า” ชายชรายิ้ม จากนั้นก็พลันก้าวไปด้านหน้า ร่างกายกลายเป็นควันดำ แล้วหายไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
ลู่เซิ่งก้มมองเนื้อหาบนกระดาษ
“หมู่บ้านโลหิตทอง”
ด้านหลังคือที่อยู่อย่างละเอียด แต่ที่อยู่นี้เหมือนจะไม่ได้อยู่ที่ต้าอิน
จากนั้นเขาก็เก็บแผ่นกระดาษไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
‘นี่คืออานุภาพของปฐมพลังอย่างนั้นหรือ’ ลู่เซิ่งหลับตาทบทวนความรู้สึกที่สัมผัสได้จากข้างกายมาตลอดหลายเดือนนี้
แกร๊ง…เพล้ง!
ชั่วขณะนั้น ภาพและทิวทัศน์ทั้งหมดรอบๆ ตัวเขาแตกออกเหมือนกับกระจก
บริเวณรอบๆ หลังจากแตกออก เป็นภูเขาร้างที่เปล่าเปลี่ยว มืดมิด และเย็นยะเยียบ
ท้องฟ้ามืดแล้ว ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่เขาเหลืองกำเนิดแต่อย่างไร และไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่ เป็นเพียงเนินเขาธรรมดาๆ เท่านั้น
มองไปด้านหน้า เทือกเขาที่เป็นลุ่มเป็นดอนหยุดนิ่งใต้ม่านวิกาลที่ค่อยๆ โรยตัว เหมือนกับสัตว์ยักษ์สีดำที่กำลังหมอบคลาน
“นี่คือปฐมพลังหรือ ถ้าหากวันนั้นซูจื่อจู๋ใช้พลังระดับนี้ เกรงว่าเราจะ…” ลู่เซิ่งสะท้อนใจ เขาถึงกับสัมผัสไม่ได้ว่าตนเองติดอยู่ในวงล้อมของปฐมพลังมานานขนาดนี้
ผลกระทบตลอดหลายเดือนมานี้ปรากฏแวบในห้วงสมองของเขาอย่างรวดเร็ว ทงเซิงไม่ได้พาเขาไปทำอะไร เพียงกระทำเรื่องเรียบง่าย เช่น เดินทางผ่อนคลาย หรือชมดูทิวทัศน์ เหมือนกับชายชราพาหลานออกท่องเที่ยว ไม่เคยพูดถึงการฝึกฝนใดๆ หากแต่ใช้ชีวิตแบบนี้มากระทั่งถึงตอนนี้
ลู่เซิ่งก้มมองกระดาษในมืออีกครั้ง เนื้อหาด้านบนไม่ใช่ที่อยู่เมื่อก่อนหน้าอีกแล้ว หากเป็นตัวหนังสือตัวเล็กๆ
คล้ายจะเป็นเคล็ดวิชาชุดหนึ่ง
ลู่เซิ่งถือกระดาษขึ้นอ่านชื่อเคล็ดวิชาทีละคำ
‘วิชาหล่อเลี้ยงแก่นสาร’
วิธีการง่ายดายยิ่ง เป็นเพียงการโคจรลมปราณอย่างเรียบง่ายที่ประสานจิตใจเข้ากับแก่นจริงแท้เท่านั้น ลู่เซิ่งทดลองดู กลับพบในทันทีว่ามีความรู้สึกสดชื่นที่น่ารื่นรมย์ส่งมาจากส่วนลึกของจิตใจ
แสดงให้เห็นว่าเคล็ดวิชานี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ถือเป็นของขวัญที่อริยะเจ้าทงเซิงมอบให้
‘ช่างเถอะ กลับไปก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งสัมผัสการเชื่อมโยงของตนกับกระบี่ธารธาราซึ่งเป็นอาวุธเทพที่เขตจันทราสารทอย่างละเอียด จากนั้นก็กระโดดขึ้นแล้วบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็หายไปจากม่านราตรี
…
หลังภัยพิบัติมารอุบัติ
เนื่องจากการสนับสนุนของลู่เซิ่ง สำนักมารกำเนิดที่เขตจันทราสารทเริ่มรับสมัครศิษย์ใหม่อย่างสุดกำลัง ทั้งยังมีการติดต่อกับหยวนกวงย่วนในราชธานีอินตู ทั้งสองฝ่ายที่ร่วมมือกันได้รับทรัพยากรจากภายนอกที่ต้องการอย่างเร่งด่วนเป็นจำนวนมาก
ขุมกำลังของสำนักมารกำเนิดจึงใหญ่โตขึ้นด้วยความเร็วสูง ทั้งยังได้รับผลลัพธ์สูงสุดจากการโจมตีทัพมาร
ในเวลาหลายปีต่อจากนั้น ภายใต้การควบคุมของลู่เซิ่ง สำนักมารกำเนิดซึ่งร่วมมือกับสำนักอาทิตย์ชาดฮุบกลืนขุมกำลังของพรรคระดับกลางอย่างต่อเนื่อง ขอแค่เป็นคนมีความสามารถ ก็จะรับเข้ามาในสำนักทั้งหมด อีกทั้งยังส่งไปสมรภูมิเพื่อสู้รบกับทัพมารหลังจากบ่มเพาะเป็นเวลาสั้นๆ ด้วย
การขยายตัวของสำนักมารกำเนิดส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของตระกูลและพรรคจำนวนไม่น้อยในท้องที่ จนขนาดที่สามสำนักในท้องที่ค่อนข้างไม่พอใจ
ทว่าติดที่สถานะและพลังของลู่เซิ่ง จึงไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ได้แต่ข่มใจไว้
สำนักมารกำเนิดบุกไปถึงแนวหน้าสุด รวบรวมยอดฝีมือในยุทธภพที่ไร้หลักแหล่งเป็นพวกตัวเองอย่างเต็มที่ แม้แต่ยอดฝีมือคนธรรมดาที่ไม่ถึงแม้แต่ระดับพันธนาการก็ยังเอา การฮุบกลืนที่ไม่น่าดูเช่นนี้ทำให้ขุมกำลังจำนวนมากขบขัน
ต่างคิดว่าหากส่งมือใหม่เหล่านี้ไปในสมรภูมิสู้รบกับทัพมาร จะต้องเกิดปัญหาแน่อน
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ กลุ่มของสำนักมารกำเนิดไม่เพียงไม่เกิดเรื่อง กลับสังหารทัพมารขนาดใหญ่ไปเป็นจำนวนไม่น้อยอย่างไม่เกรงกลัว
ทางพิภพมารส่งแม่ทัพมารและราชามารมา ล้วนคว้าน้ำเหลวกลับไป ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ขณะทุกคนตรวจสอบอย่างสงสัย ในที่สุดสามขุนพลของสำนักมารกำเนิดก็โผล่พ้นน้ำ
ราชาเงา ผู้เฒ่าสือ ประมุขจัตุรัสอิง
สามคนนี้ถูกเรียกว่าเป็นตัวตนสามขั้วที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักมารกำเนิด อีกทั้งแต่ละคนยังแสดงพลังอันน่ากลัวระดับราชามารอันเหี้ยมหาญออกมาด้วย
จ้าวแห่งมารไม่ใช่ผักกาดขาว ต่อให้พิภพมารจะมียอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ แต่ก็ไม่ถึงกับส่งจ้าวแห่งมารตนหนึ่งมาสะกดทัพที่นครเขตเล็กๆ แห่งนี้
ทางพิภพมารแค่เคยส่งจ้าวแห่งมารตนหนึ่งมาโดยบังเอิญเท่านั้น ทว่าหลังจากถูกลู่เซิ่งฆ่าตายคาที่ ก็ไม่มีการสนับสนุนใดๆ อีก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไร ถึงจะเจาะไม่เข้าพิภพมารก็ไม่สนใจ
กอปรกับมีซูจื่อจู๋ซึ่งถูกสือจื้อซิงสวมรอยคอยช่วยดูแลในที่ลับ ขุมกำลังของสำนักมารกำเนิดจึงเริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ตามชัยชนะจากการเข่นฆ่าขนาดเล็กๆ หลายครั้งเหมือนกับลูกหิมะ
……………………………………….