ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 452 เส้นทางวิญญาณ (2)
บทที่ 452 เส้นทางวิญญาณ (2)
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น จางเฉินซันที่อยู่ด้านข้างก็นำจี้สีม่วงที่เหมือนกันออกมาเตรียมจะรับพลังเช่นกัน แต่พอเห็นฉากนี้ก็พลันอึ้งงันไป
กระบวนท่านี้แทบจะเป็นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาสองพี่น้อง นับตั้งแต่สร้างขึ้นมา ก็ไม่เคยพานพบคู่ต่อกรมาก่อน เพราะสามารถปิดกั้นมิติอาณาเขตหลายสิบหมี่ แล้วอัญเชิญวิญญาณกระบี่ที่ผนึกรวมตัวกันมาเพื่อโจมตีปูพรม ท่าไม้ตายเช่นนี้ใกล้เคียงกับวิชาเซียนแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงล้มลู่เซิ่งไม่ได้
ไม่นานม่านกระบี่สีม่วงก็ค่อยๆ จางลง วิญญาณกระบี่ที่รวบรวมไว้สลายไปจนหมด คิดจะใช้กระบวนท่านี้อีกครั้ง จะต้องรวบรวมวิญญาณกระบี่ขึ้นใหม่
เพียงแต่ตอนนี้จางมู่ไม่มีกะจิตกะใจไปคิดถึงเรื่องอื่นแล้ว เขาใช้ปราณร้อยวิญญาณไปหมดสิ้น ทรุดนั่งลงกับพื้น ลุกไม่ขึ้นอยู่ชั่วขณะ
“พอแล้วๆ…ดูเหมือนจะแก่แล้วจริงๆ” เขาผุดสีหน้าจนใจ ยกมือปัดจางเจาที่จะประคองเขาขึ้น
จางเฉินซันเองก็หมดหนทางโดยสิ้นเชิง ต่อให้สู้ต่อก็ยังเฉือนผิวหนังอีกฝ่ายไม่ได้ ยังจะมีวิธีการต่อสู้อะไรอีก
“นึกไม่ถึง…พวกเราพี่น้องดูถูกคนในใต้หล้า ตอนนี้โลกถึงกับมีสัตว์ประหลาดที่ไม่มีผู้ใดสู้ได้แบบนี้ปรากฏตัวขึ้น…” ผู้เฒ่าคิ้วดำยิ้มขื่นขม
จางเจาสีหน้าเยือกเย็น ตั้งแต่เห็นเสาแสงสีทองต้นนั้น เขาก็เกิดสังหรณ์ร้ายขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ก็แค่ลางสังหรณ์กลายเป็นจริงก็เท่านั้น
แต่ว่าเรื่องราวมาถึงตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์
เขามองลู่เซิ่งที่เดินเข้ามาหาพวกตนช้าๆ ในใจเกิดความคิดนับไม่ถ้วน วิธีการรับมือมากมายแวบผ่านห้วงสมองอย่างไม่หยุดยั้ง
“ท่านคิดจะสังหารพวกเราหรือ” เขาพลันส่งเสียงถาม
“เหตุใดจึงถามแบบนี้” ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับมองคนหนุ่มผู้นี้ อีกฝ่ายไม่สับสนแม้แต่น้อย คงจะมีที่พึ่งอะไรสักอย่างแน่
“ดูเหมือนท่านไม่คิดจะสังหารพวกเรา” จางเจาตัดสินได้ในทันที ร่างกายจึงผ่อนคลายเล็กน้อย “เสาสีทองขาวที่ท่านต้องการตามหา ข้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเอาจริงเอาจัง ความผ่อนคลายบนใบหน้าค่อยๆ หายไป “วาจานี้เป็นจริงหรือ”
“ในฐานะสี่ตระกูลคุ้มครอง ข้าจางเจาไม่ถึงกับหลอกลวงคน สาเหตุที่เพิ่งมาพูดตอนนี้เป็นเพราะสิ่งที่ท่านถามถึงไม่สะดุดตาจริงๆ มันซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำลับของสถานที่ลับมาโดยตลอด หากคิดหาของสิ่งนั้น จะต้องเข้าไปในถ้ำลับก่อน” จางเจากล่าวอย่างเรียบง่าย
“ถ้ำลับคือสิ่งใด” ลู่เซิ่งซักไซ้
“เป็นถ้ำวิมานที่เคลื่อนไหวอย่างลึกลับ ข้าพาท่านเข้าไปได้ แต่ท่านต้องรับปากว่าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ หุบเขาแห่งนี้มีแค่คนของตระกูลจางเฝ้าอยู่” จางเจามีสีหน้าเยือกเย็น กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง
“หวังว่าเจ้าจะพูดความจริง” ลู่เซิ่งยิ้ม “เดิมทีคิดจะทำลายพลังฝึกปรือของพวกเจ้า แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ นำทางซะ”
“ตามข้ามา” จางเจาฉวยจังหวะตอนหมุนตัวทำท่ามือให้แก่จางมู่กับผู้เป็นตาเพื่อบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง
เขาพาลู่เซิ่งตรงดิ่งไปยังส่วนลึกที่สุดของแดนมายาเชิญวิญญาณ
ระหว่างทางมีแต่เศษหญ้าแห้งเหี่ยวที่เหลืออยู่หลังจากพายุปราณวิญญาณม้วนพัด ต้นไม้หยาบใหญ่ส่วนหนึ่งเหี่ยวเฉาเหมือนกับพลังชีวิตได้รับผลกระทบอย่างสาหัส
ด้านหลังคนทั้งสองมีองครักษ์ของหุบเขาติดตามอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนเป็นพวกไม่กลัวตาย อาจเป็นเพราะต้องการจะหาโอกาสช่วยจางเจาก็ได้
ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจพวกเขา ติดตามจางเจาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางคนทั้งสองเงียบงันไม่พูดอะไร จนกระทั่งไปจนสุดทางในหุบเขา จึงค่อยเห็นถ้ำใหญ่สูงสิบกว่าหมี่ กว้างสิบกว่าหมี่แห่งหนึ่งบนหน้าผาไกลๆ
ในถ้ำมีเส้นทางแยกหลายเส้นทางที่มืดทะมึนเหยียดยื่นไปยังส่วนลึกอันมืดมิดที่อยู่ลึกยิ่งกว่า
“อยู่ด้านในนี้” จางเจากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งมองเขา
“แน่ใจ” จางเจาใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง “สมัยเป็นเด็ก ข้าเคยเข้าไปในถ้ำลับแห่งนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจตอนฝึกฝน ต่อมาหลังแจ้งประมุขตระกูลจึงค่อยๆ ทราบถึงแบบแผนในการเข้าออก ตามข้ามาเถอะ”
เขาเดินนำหน้าเข้าไปในถ้ำใหญ่โดยมีลู่เซิ่งตามติดอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองผ่านปากถ้ำสูงสิบกว่าหมี่เข้าไป ไม่สะดุดตาถึงขีดสุด
จางเจาเงียบงันตลอดทางขณะเดินตรงดิ่งเข้าไปตามเส้นทางตรงกลาง ความเร็วสูงมาก แทบไม่ต่างอะไรกับความเร็วของคนธรรมดาที่กำลังวิ่ง
ถึงแม้ลู่เซิ่งจะติดตามอยู่ด้านหลังเขาอย่างผ่อนคลาย แต่ตอนนี้อดเกิดความกังขาขึ้นมาไม่ได้ เกรงว่าเด็กน้อยนี้จะวางแผนร้ายอะไรอยู่
“ยังอีกไกลไหม” เขาถาม
“ใกล้แล้วๆ” จางเจาตอบ เขามีสีหน้าเยือกเย็นเรียบเฉย
แต่ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ ลู่เซิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กน้อยนี่มีเลศนัย
แต่เขามั่นใจในพลังของตัวเองมาก ต่อให้จะวางแผนร้ายอะไร ก็สามารถบดขยี้ได้อยู่ดี
ไม่นานเท่าไหร่ ทั้งสองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปถึงกลางถ้ำ ถึงขั้นไปถึงสถานที่ที่ไม่ทราบว่าอยู่ลึกเท่าไหร่ในใต้ดิน
เส้นทางในถ้ำกว้างและเรียบขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายประหลาดแผ่กระจายในอากาศอย่างช้าๆ
ไม่ใช่กลิ่นหอมและไม่เหมือนกลิ่นเหม็น หากเหมือนกับกลิ่นประหลาดที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางมากกว่า
อย่างรวดเร็ว จางเจาพลันชะงักฝีเท้าลงพร้อมกับหลับตาคล้ายสัมผัสอะไรอยู่
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าตาม กำลังดูว่าเด็กน้อยผู้นี้จะใช้เล่ห์กลอะไร
“อยู่ตรงนี้!” อยู่ๆ จางเจาก็ลืมตาขึ้นแล้วกระแทกศีรษะกับผนังถ้ำทางซ้ายอย่างปัจจุบันทันด่วน
พรึ่บ!
ร่างเขาหายเข้าไปในผนังหิน
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ พุ่งใส่ผนังหินเช่นกัน
เปรี้ยง!
เขาลูบหน้าผากด้วยความประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เขาถอยหลังสองก้าวไปยืนตรงตำแหน่งของจางเจา แล้วพุ่งใส่ตำแหน่งที่อีกฝ่ายผละไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง
เปรี้ยง!
ผลลัพธ์ยังเป็นแบบเดิม
‘ข้าไม่เชื่อหรอก’ ลู่เซิ่งเกิดแรงฮึด พุ่งศีรษะเข้าใส่ผนังถ้ำอีกรอบ
เปรี้ยง!
ก้อนหินระเบิด ผนังถ้ำถล่มไปกลุ่มใหญ่ สิ่งที่เผยออกมายังคงเป็นผนังหินเหมือนเดิม
เปรี้ยง!!
ลู่เซิ่งชนใส่อย่างโมโหและบ้าคลั่งอีกหลายสิบรอบ จนเกิดถ้ำเล็กๆ ที่ลึกสามหมี่กว่าๆ ยุบตัวลง
ด้านหลังยังคงเป็นผนังหินเหมือนเดิม เขาจึงค่อยทราบว่าเด็กน้อยนั่นตระบัดสัตย์แล้ว
‘น่าสนใจ ไอ้หนูนั่นคงไม่ได้นึกหรอกมั้งว่าเราจะกลับไปทางเดิมไม่ได้’ เขาที่เกิดเพลิงโทสะหมุนตัวคิดจะกลับทางเดิม
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ สิ่งที่ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาไม่ใช่เส้นทางขามาอีกต่อไป หากเป็นโถงใหญ่ในถ้ำใต้ดินที่กว้างขวาง
ด้านในถ้ำมีเสียงลำธารใต้ดินดังครืนครัน คล้ายยังมีเสียงน้ำตกตกลงใส่บึงน้ำด้วย
“ที่นี่…?” ลู่เซิ่งหยีตาแล้วก้าวเข้าไปในถ้ำ
แต่เพิ่งจะเข้าไปในถ้ำ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าคล้ายมีสายตาที่เหมือนมีตัวตนจนสัมผัสได้ในที่ลับจับจ้องมองเขาด้วยจิตชั่วร้ายอันรุนแรง
…
ปากถ้ำ
พรึ่บ!
จางเจาค่อยๆ โผล่ร่างออกมาพร้อมกับกระอักเลือดออกมาเป็นสีดำ เขาอั้นเลือดนี้ไว้มานานมากแล้ว
ครั้งนี้อาศัยวิญญาณศิลาที่ใช้แล้วทิ้งหลอกสัตว์ประหลาดตระกูลลู่นั่นเข้าไปในถ้ำของสุสาน เขาต้องเสี่ยงอันตราย พาคนผู้นั้นเข้าไปในสถานที่ที่อันตรายเองเพื่อทำให้แผนการสำเร็จโดยสมบูรณ์
“ไม่เป็นไรกระมัง!” จางมู่ จางเฉินซัน และเหล่าองครักษ์ในสถานที่ลับคนอื่นๆ พากันเร่งรุดมา พอเห็นจางเจากระอักเลือด ต่างก็ตกอกตกใจ หลายคนสะอึกเข้าไปประคองเขาขึ้น
“ไม่เป็นไร! เพียงแต่วิญญาณศิลาสองร้อยกว่าปีของตระกูลถูกใช้หมดไปในครั้งเดียวแล้ว น่าเสียดาย…” จางเจากล่าวอย่างอับจนพร้อมกับโบกมือ
“วิญญาณศิลาเก็บรวบรวมใหม่ได้ แต่หากคนตายไปก็คงไม่เหลือใครแล้ว” จางเฉินซันกล่าวอย่างโล่งอก “คนผู้นั้นถูกเจ้าล่อเข้าไปในสุสานจริงๆ หรือ”
“อือ เข้าไปแล้ว คนผู้นั้นสังเกตเห็นมันแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ใช้วิญญาณศิลาออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะรอบๆ มีพลังวิญญาณกระจายกันจนทำให้เกิดการรบกวนมากเกินไป คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้” จางเจาหัวเราะเหอะๆ “ครั้งนี้สัตว์ประหลาดยักษ์สู้สัตว์ประหลาดน้อย ดูว่าใครร้ายกาจกว่ากัน ฮ่าๆ…แค่กๆ…” ความได้ใจกระตุ้นอาการบาดเจ็บเข้า ทำให้เขาอดไออย่างรุนแรงไม่ได้
“พอแล้วๆ พักผ่อนเถอะ ความจริงถ้าไม่ใช่สถานที่ลับนี้เป็นสถานที่ต้องห้ามของตระกูลจาง พวกเราคงไม่ต้องใช้แผนการนี้ สถานที่ลับนี้มีความสำคัญมากเกินไป เกิดว่าความลับรั่วไหลล่ะก็…อีกสามตระกูลจะต้องรุมโจมตีตระกูลจางของพวกเราแน่นอน” จางมู่ถอนใจ
“พอแล้วๆ เข้าไปที่นั่นแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ออกมาในระยะเวลาสั้นๆ สัตว์ประหลาดน้อยนั่นคงจะออกมาไม่ได้สักพัก รีบแจ้งประมุขให้วางค่ายกลเถอะ ถึงเวลาถ้าหากลู่จ้งโชคดีหนีรอดออกมาได้ พวกเราจะได้เตรียมพร้อม” จางมู่ออกคำสั่ง
เขาจัดการให้คนที่รวมตัวกันอยู่ไปตรวจสอบสถานการณ์ความเสียหายของค่ายกลใหญ่อีกครั้ง คนส่วนหนึ่งกลับไปส่งข่าวให้ประมุขตระกูล อีกส่วนหนึ่งตรวจสอบทรัพย์สินด้านในแดนมายาบนหุบเขารวมถึงจัดเก็บข้าวของอย่างเรียบง่าย จะได้อพยพไปได้ตลอดเวลา
สถานที่แห่งนี้ไม่ควรมีคนอยู่มากเกินไป ก่อนหน้านี้การทำงานของค่ายกลต้องใช้คนจำนวนมากสนับสนุน แต่ปัจจุบันค่ายกลพังทลายแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทิ้งคนไว้เยอะอีก
หลังจากคนในตระกูลส่วนใหญ่แยกย้ายไปแล้ว พวกจางเฉินซันก็พาจางเจาเข้าไปรักษาในห้องศิลาห้องหนึ่งบนหุบเขา
“จะว่าไป สัตว์ประหลาดในสุสานตัวนั้นมีแต่เจ้าที่รู้ว่าคือสิ่งใด ผู้ที่ออกมาหลังจากเข้าไปได้มีแต่เจ้าคนเดียว เสี่ยวเจา เจ้าบอกตาตามตรงว่าที่นั่นมีสิ่งใดอยู่กันแน่” จางเฉินซันถามเสียงทุ้ม
สองชายชรานั่งอยู่ด้านซ้ายด้านขวาของจางเจา ทั้งสามคนทาบฝ่ามือกัน ปราณร้อยวิญญาณจำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างจางเจาอย่างบ้าคลั่ง ช่วยให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
“สัตว์ประหลาดนั่น…” จางเจานึกถึงภาพที่เคยฝันถึงมาทั้งกลางวันและกลางคืนภาพนั้น
ต่อให้จะเป็นตอนนี้ซึ่งผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงยากจะลืมเลือนความตื่นตะลึงในตอนที่เผชิญกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น
“ข้ารับปากมันว่าจะไม่บอกการดำรงอยู่ของมันออกไป แต่ว่าท่านตาลองทายจากสัตว์เทพในตำนานเทพนิยายดู” จางเจาเงียบงันเล็กน้อย ก่อนจะบอกใบ้อ้อมๆ
“สัตว์เทพ…” จางมู่กับจางเฉินซันงุนงงเล็กน้อย แล้วนึกเชื่อมโยงถึงตำนานบทหนึ่งที่เคยแพร่หลายในเทือกเขาแห่งนี้ พลันตกตะลึงพรึงเพริด
…
รองเท้าหนังของลู่เซิ่งลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ก้าวเท้าก้าวที่สอง
ตอนนี้เขากำลังเงยหน้ามองศีรษะขนาดยักษ์ที่ห้อยลงมาจากด้านบน
นั่นเป็นมังกรสีเงินร่างมหึมาที่ขดตัวอยู่ในถ้ำ ศีรษะขนาดมโหฬารของมันกำลังหย่อนลงมา หนวดมังกรที่มุมปากแทบจะแตะโดนลู่เซิ่งอยู่แล้ว
มังกรไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งตกใจ เขาเคยเห็นมังกรมารในพิภพมารมาก่อน แต่สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้เขาก็คือ ร่างกึ่งโปร่งแสงของมังกรเงินตัวนี้กับสตรีผมยาวที่ลอยอยู่ตรงกลางด้านในลำตัวของมัน
“มาอีกคนแล้ว” สตรีลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาพิสดารที่มีแต่ตาขาวไม่มีม่านตา “เจ้ามาที่นี่ ต้องการสิ่งใด พลัง ความสุข โชคลาภ หรือว่าอายุขัย”
ลู่เซิ่งจ้องมองสตรีนางนั้นครู่หนึ่ง สายตากลับมองข้ามร่างกึ่งโปรงแสงของมังกรเงินไป มองเห็นเสาหินสีทองขาวที่ตั้งอยู่ด้านหลังมัน
“แล้วค่าตอบแทนเล่า ได้รับสิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนในระดับเดียวกันกระมัง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
สตรีนางนั้นหัวเราะ
“ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าล้วนช่วยทำให้เป็นจริงได้…มาเถอะเด็กน้อย กล่าวความปรารถนาของเจ้าออกมา…”
“ข้าต้องการเสาหินด้านหลังท่าน ให้ข้าได้หรือไม่” ลู่เซิ่งบอกเป้าหมายของตัวเองตรงๆ
สตรีงุนงงเล็กน้อย ใบหน้าที่เดิมผ่อนคลายเคร่งขรึมลง
“บอกได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการเสาต้นนั้นไปทำอะไร นั่นก็แค่เสาหินธรรมดาๆ ต้นหนึ่ง…”
……………………………………….