ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 464 รวมเป็นหนึ่ง (2)
บทที่ 464 รวมเป็นหนึ่ง (2)
สถานะของลู่เซิ่งคือเจ้าสำนักระดับจังหวัดของสำนักพันอาทิตย์ แถมยังมีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งอย่างซูหนิงเฟยยืนอยู่เบื้องหลัง ส่วนพี่ชายของซูหนิงเฟยก็คือเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกซึ่งเป็นเจ้าสำนักพันอาทิตย์ในปัจจุบัน
ฉากหลังเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นตระกูลหยวงกวงในยุครุ่งเรืองที่สุดก็ไม่มีทางท้าทายอีกฝ่ายเพราะผู้มีสายเลือดที่แข็งแกร่งแค่คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันตระกูลหยวนกวงยังมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงด้วย
“เจ้าสำนักเปลี่ยนคำร้องขอได้หรือไม่ เงื่อนไขนี้ออกจะ…” ทูตกล่าวอย่างจนปัญญา
“ไม่เกินเลย มีการสนับสนุนของข้าอยู่ ถึงแม้จะเทียบกับพวกเทพเซียนอย่างกระบี่อริยะสนธยาไม่ได้เพราะพวกมันล้วนมีอริยะเจ้าระดับสุดยอดคอยสนับสนุน แต่การแย่งอาวุธเทพลำดับที่ห้าแค่ชิ้นเดียว ยังค่อนข้างมีความมั่นใจ หยวนกวงย่วนสมควรเข้าใจเรื่องนี้ดี ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หยวนกวงหมีหลงยังสนิทกับนางด้วยไม่ใช่หรือ”
มารดาของหยวนกวงหมีหลงคือหนึ่งในสองผู้อาวุโสหอในที่เฝ้าหอคัดเลือกลับ มีพลังแข็งกล้าสุดเปรียบปาน
ทูตเงียบงันครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า “เข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะบอกต่อคุณหนูย่วนเอง ถ้าหากนางตอบรับ จะส่งยันต์จดหมายกลับมาจากราชธานีอินตู”
“อือ ไปเถอะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ตระกูลหยวนกวงเป็นเครือญาติทางสายเลือดของร่างกายนี้ เขาคิดจะหาเวลาไปสักครั้งเหมือนกัน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
เขาในตอนนี้ยังมีพลังด้อยไปบ้าง
หลังทูตจากไป ลู่ซิ่งก็ทุ่มเทกับการวิจัยค่ายกลทะลุมิติต่อ ค่ายกลนี้ถูกเขาตั้งชื่อว่าค่ายกลรวมเป็นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ความหมายคือหลอมรวมตัวตนหมื่นพันเป็นหนึ่งเดียว
หลังเขาหลอมรวมกับจิตวิญญาณและกายเนื้อของลู่จ้ง ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังฝึกปรือกับจิตวิญญาณของตนที่หยุดนิ่งมานานมีการเพิ่มขึ้นไม่น้อย ตามสถานการณ์ปกติ การเพิ่มขึ้นนี้อย่างน้อยต้องซุ่มฝึกปรือมากกว่าพันปี
ทว่ากลับได้รับพลังฝึกปรือพันปีมาในเวลาสั้นๆ แค่นี้
นี่เป็นสาเหตุที่อริยะเจ้าคนอื่นๆ ตามเจ้าแห่งอาวุธไม่ทัน พึงทราบว่าต่อให้เป็นเจ้าแห่งอาวุธก็มีอายุแค่สองสามพันปีเท่านั้น อริยะเจ้าฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลามากกว่าพันปีแต่กลับมีพัฒนาการเพียงน้อยนิด แม้แต่ระดับเทวปัญญาก็ยังข้ามไม่พ้น ยิ่งอย่าว่าแต่ก้าวเป็นเจ้าแห่งอาวุธ เจ้าแห่งอาวุธเหล่านั้นฝึกฝนอย่างไรกันแน่นะ
ถึงขั้นที่เจ้าแห่งอาวุธบางคนใช้เวลาหนึ่งพันปีก็ประสบความสำเร็จแล้ว
ลู่เซิ่งวิจัยค่ายกลรวมเป็นหนึ่งไปพลาง สั่งสอนลูกศิษย์ไปพลาง พอว่างๆ ก็กลับคฤหาสน์ไปอยู่กับเฉินอวิ๋นซีและลู่หนิงระยะหนึ่ง บางครั้งก็ไปเยี่ยมบิดามารดา และจัดการภารกิจในสำนักมารกำเนิด เวลาผ่านไปเช่นนี้อย่างช้าๆ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว ยันต์จดหมายของหยวนกวงย่วนถูกส่งมาจากราชธานีอินตู สิ่งที่ส่งมาพร้อมกันยังมีชิ้นส่วนโลหะทรงหกเหลี่ยมสีแดงเข้มชิ้นหนึ่ง
หลังจากลู่เซิ่งได้ชิ้นส่วนโลหะมาก็มุดเข้าตำหนักวิจัยทันที เขาโยนภารกิจของสำนักมารกำเนิดทั้งหมดให้แก่ผู้เฒ่าสือซึ่งเป็นมือรอง จากนั้นก็วิจัยเนื้อหาที่อยู่ด้านในชนิดลืมกินลืมนอน
ใช้เวลาแค่สามวัน เขาก็ทำลายชิ้นส่วนโลหะนั้นทิ้งเพราะจดจำเนื้อหาทั้งหมดไว้ได้แล้ว
ด้านในชิ้นส่วนโลหะนี้ก็คือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูที่ใช้ตราประทับจิตวิญญาณบันทึกเอาไว้ หน้านี้เป็นกระบวนการที่บรรยายการก้าวจากอริยะเจ้าไปเป็นจ้าวแห่งอาวุธโดยเฉพาะ
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งพอใจก็คือ เนื้อหาที่บันทึกไว้คือกระบวนการฝึกฝนของอริยะเจ้าที่ตามหาตัวตนอื่นๆ เพื่อหลอมรวมผ่านการเข้าออกโลกด้านนอกและสิงร่างจริงๆ
ทว่าคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูเป็นตัวรับประกันความปลอดภัย โดยมันจะหลอมรวมตัวเองเป็นศิลาน้ำแข็งเก้าแฉกที่แข็งแกร่งที่สุดชิ้นหนึ่งในระหว่างเดินทางข้ามไปยังโลกด้านนอก
ศิลาน้ำแข็งเก้าแฉกเป็นน้ำแข็งอีกชนิดหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องใช้ความแข็งแกร่งกัดกร่อนพลังงานต่อต้าน หลังจากศิลาน้ำแข็งข้ามมิติออกไปแล้ว จึงเป็นย่างก้าวที่อันตรายที่สุด
สิ่งที่อันตรายที่สุดในตอนที่อริยะเจ้าเข้าไปในโลกใบอื่นไม่ใช่สิ่งใดอื่น หากเป็นสภาพแวดล้อมและกฎเกณฑ์ที่แตกต่างออกไป
คัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูบันทึกโลกไว้หลายใบ ระบบพลังล้วนแตกต่างกับต้าอิน ถึงขั้นที่โครงสร้างจิตวิญญาณกับส่วนประกอบการรวมกลุ่มของโลกบางใบยังแตกต่างออกไป หากไม่ระวังก็จะดับสูญเสียชีวิตอย่างสิ้นเชิงในพริบตาที่เข้าไปได้
เป็นเพราะว่าโครงสร้างจิตวิญญาณของอริยะเจ้าในต้าอินเป็นสิ่งที่มีความขัดแย้งในโลกใบนั้นๆ
เวลานี้ต้องให้เหล่าอริยะเจ้าใช้ทักษะความสามารถต่างๆ รับมือกับอันตรายประเภทนี้
ลู่เซิ่งทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการทะลุมิติ วิธีการตามหาตัวตน และวิธีการรับมือวิกฤตการณ์ทุกชนิดอย่างละเอียด
เขาเองก็ทราบกระจ่างดีว่า อันตรายหลังจากอริยะเจ้าทะลุมิติไป นอกจากความขัดแย้งของกฎเกณฑ์ในโลกด้านนอกแล้ว ยังมีการไม่ยอมรับจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมในโลกนั้นๆ ด้วย
พวกเขาเรียกจิตวิญญาณของอริยะเจ้าเป็นมาร มารสวรรค์นอกเขตแดน
เป็นเพราะพวกอริยะเจ้าของต้าอินจะเลือกเวลาที่ตัวตนอีกคนหนึ่งอ่อนแอที่สุดตอนข้ามมิติ และหลังจากสำเร็จแล้ว ก็ต้องการวิญญาณและเลือดเนื้อจำนวนมากเซ่นสรวงสายเลือดอาวุธเทพของตัวเอง ดังนั้นจึงยิ่งสร้างความเข้าผิดให้แก่คนอื่นๆ ได้ง่ายดายกว่าเดิม
‘สิ่งที่ยากเย็นที่สุด หนึ่งคือความปลอดภัยในการข้ามมิติ สองคือความขัดแย้งของกฎแต่ละกฎกับการรุมโจมตีจากผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมที่ต้องเผชิญหลังจากข้ามไป สามคือการอ่อนแอลงทางอ้อมของพลัง’
ลู่เซิ่งใช้ภาษาของตัวเองจัดระเบียบเนื้อหาทั้งหมดในใจ
‘ระบบพลังที่แตกต่างกันทำให้ถึงแม้ว่าอริยะเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่พลังจะลดลงอย่างใหญ่หลวงเป็นะระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากกฎเกณฑ์ของพลังแตกต่างกัน หรือเหมือนกับเราครั้งก่อนที่พอใช้ร่างหลักแล้วก็ได้แต่ถูกโลกนั้นกีดกันให้ออกมา ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่ไปถึงโลกใบหนึ่ง วิธีการที่ดีที่สุดคือพยายามหลอมรวมเข้ากับระบบพลังด้านในนั้นเท่าที่จะทำได้ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ พยายามอย่าใช้พลังของร่างหลัก’
หลังจากคิดจนกระจ่างแล้ว ลู่เซิ่งก็ใช้ลวดลายค่ายกลและอักขระที่บันทึกไว้ในคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูปรับค่ายกลรวมเป็นหนึ่งที่ตนออกแบบ
ตามบันทึกในคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดู อริยะเจ้าที่กล้าข้ามมิติไปยังโลกด้านนอกเพื่อเลื่อนระดับมีไม่มากนัก เป็นเพราะว่านี่เป็นเรื่องอันตรายถึงขีดสุดอยู่แล้ว หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว ก็จะต้องขดตัวอยู่ในเปลือกร่างของคนอ่อนแอสักคนอย่างอัปยศเพราะความโชคร้าย จากนั้นก็ตายดับสูญไปเนื่องจากอุบัติเหตุ
เหล่าอริยะเจ้าฝึกฝนมาหลายปี ส่วนใหญ่ไม่อยากจะฝากทุกสิ่งของตนไว้กับโชคที่ล่องลอยไม่แน่นอน
และคนส่วนหนึ่งที่ไม่สนใจทุกสิ่ง เอาแต่มุ่งหวังหาพลัง ก็อาจจะตายจากการรุมโจมตีหลังจากสิงร่างหลักเพราะโชคไม่ดีก็ได้
กระบวนการแบบนี้มีอัตราการตายสูงลิ่ว ด้านหลังคัมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดูยังมีชื่อของอริยะเจ้าที่เคยคิดจะเลื่อนระดับในสำนักน้ำแข็งบันทึกไว้ด้วย
สำนักน้ำแข็งเป็นสำนักผู้ให้กำเนิดคีมภีร์น้ำแข็งฟ้าสี่ฤดู พรรคใหญ่ระดับสุดยอดที่เคยมีเจ้าแห่งอาวุธรุ่นหนึ่ง แต่ต่อมาเป็นเพราะมีแต่อริยะเจ้าแต่ไม่มีเจ้าแห่งอาวุธ จึงกลายเป็นตระกูลขุนนางขนาดใหญ่ จากนั้นก็ถูกตระกูลหยวนกวงล้างตระกูลเพราะเรื่องเหนือความคาดหมาย
‘อริยะเจ้าสิบเก้าคน…ไม่มีใครทำสำเร็จสักคน ส่วนใหญ่ตายในการข้ามมิติรอบที่สาม’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วตรวจสอบบันทึกอย่างละเอียด แสดงให้เห็นว่ารายชื่อบันทึกนี้เป็นสิ่งที่คนจงใจทิ้งเอาไว้บนคัมภีร์ลับเพื่อเตือนคนรุ่นหลัง
แต่ลู่เซิ่งไม่คิดว่าตัวเองจะแย่กว่าคนพวกนี้ เขาแตกต่างกับอริยะเจ้าคนอื่นๆ ตรงที่ตัวเขามีดีปบลู ขอแค่มีเวลาพักหายใจสั้นๆ เขาจะสามารถใช้พลังอาวรณ์ที่เก็บสำรองไว้ในดีปบลูทำการหลอมรวมเข้ากับระบบพลังของโลกใบนั้นๆ รวมถึงยกระดับอย่างรวดเร็วได้ จากนั้นก็ปรับปรุงพลังของร่างหลัก ทำให้ตนเองหลอมรวมได้ดีกว่าเดิม และสุดท้ายก็ลดปฏิกิริยาการกีดกันและทำความเข้าใจเหตุและผลของร่างกายโดยสมบูรณ์
‘สิ่งที่น่าเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวคือดันข้ามไปในโลกที่กฎเกณฑ์แตกต่างเกินไป แต่เรื่องนี้สามารถควบคุมและปรับสมดุลได้ ขอแค่ทำลวดลายค่ายกลแบบนี้…แล้วก็แบบนี้…’ ลู่เซิ่งเริ่มปรับปรุงทันที
…
เคร้ง!
ดาบและกระบี่กระแทกกันจนเกิดเสียงดัง ก้อนเมฆสีแดงเพลิงก้อนหนึ่งระเบิดกลางท้องฟ้าอย่างฉับพลัน เงาร่างสีแดงสายหนึ่งกระเด็นออกมาจากด้านในก้อนเมฆ
เงาร่างสองสายใช้กระบวนท่าที่เหมือนกัน แก่นจริงแท้ที่เหมือนกัน พุ่งเข้าใส่กันและกันพลางร้องตะโกน
เปรี้ยง!
ดาบกระบี่ปะทะกันอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น หลี่ซุ่นซีถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกจนเลือดไหลออกจากเจ็ดทวารและหล่นลงบนพื้น
“อ่อนแอ! อ่อนแอเกินไปแล้ว! อ่อนแอแบบนี้ อาจารย์ยังให้ความสำคัญกับเจ้าอีกหรือนี่!? เหลือจะเชื่อ!” บุรุษอีกคนมีรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีแดงยาวถึงส้นเท้า เส้นผมงอไปทางซ้ายเหมือนกับหยกโค้ง เขามีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ให้ความรู้สึกป่าเถื่อนเกรี้ยวกราดอย่างเข้มข้น
“หลี่ซุ่นซี พลังแบบนี้ ต่อให้ไปจากหุบเขาแห่งนี้ก็มีแต่จะทำให้อาจารย์ขายหน้าเท่านั้น หากจะทำให้คนอื่นๆ อับอายขายหน้าแล้ว ให้ข้าข่งเฉิงฆ่าเจ้าเสียตอนนี้เลยดีกว่า!”
จิตสังหารที่เหมือนกับจับต้องได้ลอยออกจากทั่วร่างบุรุษนั้น
เขาชื่อข่งเฉิง เป็นศิษย์เอกของอาจารย์ที่หลี่ซุ่นซีเพิ่งกราบไหว้ เป็นผู้เข้มแข็งน่ากลัวที่กดข่มพลังของตัวเองให้เท่ากับระดับของหลี่ซุ่นซี แต่ก็ยังทำให้หลี่ซุ่นซียังคงไร้ความสามารถต่อต้าน
หลี่ซุ่นซีนอนหงายอยู่กลางหลุมลึกบนพื้น ปากกระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง ทำท่าใกล้จะตายได้ตลอดเวลา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยู่ตรงชายขอบของความเป็นความตาย
พลังของข่งเฉิงแข็งแกร่งมากๆ แข็งแกร่งจนเขาไม่เห็นขีดจำกัด เหมือนกับอาจารย์ของเขา เขาเคยเห็นข่งเฉิงขู่อาจารย์ต่อหน้าหลายครั้งเพื่อให้อาจารย์มอบคัมภีร์ลับอะไรสักอย่างให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว
อาจารย์ร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่ข่งเฉิงยังคงมีพลังข่มขวัญไม่น้อย แม้จะไม่ได้ลงมือ แต่ก็อาละวาดหลายครั้ง
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นาน หลังจากอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ข่งเฉิงก็เดิมพันกับอาจารย์ว่า ถ้าหากเขาเอาชนะข่งเฉิงได้ในห้าปี ในสภาพที่ทั้งสองมีระดับพลังเท่ากัน อาจารย์จะต้องมอบคัมภีร์ลับพิเศษม้วนนั้นให้ข่งเฉิง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ถูกอาจารย์เคี่ยวเข็ญวันแล้ววันเล่า ต่อจากนั้นก็ถูกข่งเฉิงเหยียบย่ำต่อ
เขาสัมผัสได้ว่า ความจริงส่วนลึกในใจของข่งเฉิงมีความคิดขัดแย้งกันอยู่ ดังนั้นแม้จะสามารถฆ่าตนเองได้อย่างง่ายดายหลายๆ ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลงมือโดยอำมหิต
นอกจากนี้เป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้มีนิสัยทะนงตน คล้ายจะไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ได้ลอบเล่นงานเขา ที่อีกฝ่ายย่ำยีเขาอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นเพราะปมในใจเท่านั้น
“ข้าแพ้อีกแล้ว…ขอบคุณที่…ศิษย์พี่ใหญ่ปรานี…อั่ก!” เขาพูดไม่ทันจบก็กระอักเลือดอีกรอบ
“สวะ!” ข่งเฉิงแค่นเสียงเย็นชา มองยังไม่มองศิษย์น้องสวะผู้นี้ หากหมุนตัวจากไปกลายเป็นดาวตกสีแดงหายไปจากขอบฟ้า
หลี่ซุ่นซีตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นพลางมองสีแดงตรงเส้นขอบฟ้า หากบอกว่าไม่อิจฉาคงจะโกหก ในหมู่คนที่เขาเคยพบเจอมา นอกจากอาจารย์แล้ว ข่งเฉิงสมกับที่เป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุด
มีครั้งหนึ่งข่งเฉิงทะเลาะกับอาจารย์ พริบตาที่ระเบิดเพลิงโทสะ เขาได้พลั้งมือทำลายภูเขาสูงหลายร้อยหมี่ด้านหลังจนเป็นทะเลทราย
“แค่กๆ…” กระอักเลือดออกมาอีกคำ หลี่ซุ่นซีที่นอนอยู่บนพื้นพลันนึกถึงลู่เซิ่งผู้เป็นสหายขึ้นมา
‘บางทีคงมีแค่ยอดฝีมือจอมวางอำนาจอย่างพี่ใหญ่ลู่ที่มีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ใหญ่กระมัง…ข้า…สุดท้ายก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ทั่วไปเท่านั้น’ เขาค่อยๆ ยันตัวขึ้นอย่างจนปัญญา แสงสีเขียวจุดหนึ่งสว่างขึ้นช้าๆ ด้านในร่างกาย รักษาอาการบาดเจ็บในตัวเขา นี่เป็นพลังของอาวุธเทพที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้สำแดงผล
หวนนึกถึงลู่เซิ่ง หลี่ซุ่นซีอดเอาเขามาเปรียบกับศิษย์พี่ใหญ่ข่งเฉิงไม่ได้ บทสรุปที่ได้คือ ทั้งสองบ้าคลั่งป่าเถื่อนอย่างเหลือล้น ฆ่าคนเหมือนผักปลา ย่ำบนทะเลเลือดและกองกระดูก รวมถึงถูกเรียกเป็นวีรุบุรุษแห่งยุคเหมือนกัน
‘ถ้ามีโอกาสอาจแนะนำให้พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นพวกจิตใจบิดเบี้ยว ถึงจะอยากได้คัมภีร์ลับมาก ถึงแม้ว่าพลังก็ไม่ได้อ่อนกว่าอาจารย์ด้วย แต่ก็เอาแต่ด่าทอเท่านั้น ไม่เคยลงมือ’
หากสองคนนี้เจอกัน ไม่ทราบว่าจะเกิดการปะทะรุนแรงขนาดไหน
หลี่ซุ่นซีนึกเพ้อฝันในใจ รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้อาจจะน่าสนใจมาก จึงหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว
……………………………………….