ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 465 ครั้งที่สอง (1)
บทที่ 465 ครั้งที่สอง (1)
ราชธานีอินตู ตระกูลหยวนกวง
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสหงฟางไป๋แห่งสำนักมารกำเนิดที่มาจากเขตจันทราสารทในแคว้นนวกระจ่าง”
ด้านในโถงประชุม หยวนกวงย่วนที่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสจัดการเรื่องราวทุกคนของตระกูลกำลังแนะนำหญิงงามด้านข้างตนที่เพิ่งเดินทางมาถึง
คนระดับสูงสิบกว่าคนของตระกูลย่อยประจำสาขานี้มารวมตัวกันในโถงใหญ่ หยวนกวงเจิงนั่งอยู่ไม่ไกลออกไป บุรุษวัยกลางคนสภาวะไม่ธรรมดาสองคนติดตามอยู่ด้านหลังเขา ตอนนี้บุรุษคนหนึ่งกวาดตามองหงฟางไป๋ขณะดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ
หยวนกวงฉินผู้ควบคุมสาขาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานพิจารณาหงฟางไป๋ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ในเมื่อเป็นคนของย่วนเอ๋อร์ อย่างนั้นก็มอบที่นั่งให้เถอะ” ปีนี้นางอายุห้าร้อยแปดปีแล้ว จึงไม่สนใจการต่อสู้ไร้สาระในตระกูลอีก
นางเห็นการรุกไล่ของผู้เยาว์สองคนอย่างหยวนกวงย่วนกับหยวนกวงเจิงและยินดีสนับสนุน ในตระกูลต้องมีการแข่งขันที่ดีแบบนี้ถึงจะใช้ได้
การที่เบื้องหลังทั้งสองหากำลังสนับสนุนจากภายนอกมาถือว่าไม่สำคัญ คนของตระกูลได้รับการสนับสนุนจากโลกภายนอก เดิมก็เป็นการแสดงออกทางความสามารถอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
หยวนกวงย่วนตัดสินใจว่าครั้งนี้จะกำหนดสถานะของผู้อาวุโสหงฟางไป๋ต่อหน้าระดับสูงทุกคน เพื่อที่การปฏิบัติการในภายหน้าจะได้เหมาะสมน่าเชื่อถือ
นางช้อนตามองไปยังหยวนกวงเจิง ตาหงส์ที่เรียวยาวของอีกฝ่ายฉายแววราบเรียบและเชื่อมั่นในตัวเอง บุรุษวัยกลางคนสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาล้วนมาจากสำนักวารีคราม บุรุษทางขวาซึ่งกำลังพิจารณาผู้อาวุโสหงฟางไป๋อยู่เป็นคนที่ลงมือสังหารผู้เฒ่าจินในครั้งก่อน
“วันนี้ ทุกคนมาปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับเหมืองแร่เหล็กชั้นดีเก้าแห่งกับเหมืองแร่เงินที่หนาแน่นสองเท่าทั้งสิบสองแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือกัน…”
ผู้ควบคุมสาขาหยวนกวงฉินเริ่มเปิดการประชุมตระกูลอย่างเป็นทางการในครั้งนี้
หยวนกวงย่วนฟังอยู่เงียบๆ หงฟางไป๋ที่อยู่ด้านหลังนางพิจารณายอดฝีมือของสำนักวารีครามที่อยู่อีกด้านอย่างเรียบเฉย
ครั้งนี้นางได้รับคำสั่งจากลู่เซิ่งให้มาจัดการเรื่องราวทางนี้ เดิมทีมีความคิดใช้กระบี่ประมือวีรบุรุษในใต้หล้า
นางที่ตอนนี้ให้อิงอิงอยู่ด้านนอกยังไม่ได้หมดหวังในการเอาชนะลู่เซิ่ง แม้ตัวนางจะทราบว่าความหวังนี้จะน้อยนิดถึงขีดสุดก็ตาม แต่ขอแค่ไม่ยอมแพ้ ก็ต้องมีสักวันที่ทำได้
นางได้ยินความแข็งแกร่งทางด้านพลังของสำนักวารีครามก่อนจะมาแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าสังหารยอดฝีมือระดับปฐพีกำเนิดที่สำนักมารกำเนิดส่งมาเมื่อก่อนหน้านี้ตรงๆ
“เป็นอย่างไร” หยวนกวงย่วนแอบส่งกระแสเสียงถาม
หงฟางไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “พอรับมือไหว ระดับการฝึกฝนของทั้งสองคนใช้ได้ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
หยวนกวงย่วนพลันโล่งใจ ขอแค่ขุมพลังที่ยืนอยู่ฝั่งตนแข็งแกร่งก็เพียงพอแล้ว
นางครุ่นคิดก่อนถามอีก “ทำให้พิการโดยไม่ฆ่าได้หรือไม่”
“ข้าจะลองดู” หงฟางไป๋หลุบตาลงเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเห็นจิตสังหารในดวงตาของตน
เดิมทีพวกเขาสำนักมารกำเนิดไม่คิดจะพลิกหน้ากับอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง แต่ปัจจุบันขี่หลังเสือยากจะกระโดดลง
หยวนกวงเจิงอาจจะพิจารณาว่าทั่วทั้งตระกูลย่อยมีแค่หยวนกวงย่วนเท่านั้นที่สู้กับเขาได้ เบื้องหลังคนอื่นๆ ยังไม่มีการสนับสนุนจากยอดคน ดังนั้นจึงชิงลงมือกับหยวนกวงย่วนก่อน
ปัจจุบันหลังจากมีการคัดเลือกมาพักหนึ่ง ก็เหลือแค่พวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันครั้งสุดท้าย
นางนึกไม่ถึงว่าสำนักวารีครามจะชิงลงมือก่อนจริงๆ มิหนำซ้ำยังลงมืออย่างเด็ดขาดและไม่ปรานีแม้แต่น้อย “ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจอย่างแน่วแน่แบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว”
……
เขตจันทราสารท สำนักมารกำเนิด
ตูม
ควันสีเขียวค่อยๆ ระเบิดขึ้นรอบๆ ตัวลู่เซิ่ง เขายืนอยู่กลางค่ายกลด้วยใบหน้าอิดโรย แต่ความยินดีจากความสำเร็จกลับฉายขึ้นจากในดวงตาแวบหนึ่ง
เขาดึงกระดิ่งที่แขวนอยู่ด้านข้าง เสียงติ๊งๆๆๆ ดังออกมาจากกระดิ่งแล้วลอยไปยังภายนอกอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเท่าไหร่ คนสิบกว่าคนก็ทยอยกันเข้ามาในตำหนักวิจัย ก่อนจะเริ่มจัดระเบียบทำความสะอาดตำหนักใหญ่อย่างตั้งใจ
หลังจากการทำความสะอาดเสร็จสิ้น ลู่เซิ่งก็กลับไปยังกลางค่ายกลพร้อมกับกำจัดความผิดพลาด แก่นหยางสีทองคำขาวหลายจุดสว่างบนมือตลอดเวลา
ครั้งนี้เขาส่งหงฟางไป๋ไปลงมือ ไม่ว่าสำนักวารีครามจะส่งยอดฝีมือระดับใดมา ตราบใดที่หงฟางไป๋อยู่ จะต้องไม่เกิดเรื่องแน่ อย่างไรร่างกายของอิงอิงก็เป็นความประหลาดลี้ลับซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่มีทางฆ่าตายได้
ถ้าหากเจอเรื่องที่ยุ่งยากกว่าเดิม นางก็ยังมีโอกาสกลับมารายงาน
หลังจากโยนภารกิจต่างๆ ให้ผู้เฒ่าสือเสร็จ ลู่เซิ่งก็ทุ่มเทสมาธิกับการวิจัยค่ายกลรวมเป็นหนึ่ง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีกว่าๆ
ในที่สุดเขาก็มีความมั่นใจแล้วว่าสามารถระบุทิศทางเพื่อส่งตัวเองเข้าไปในโลกที่มีอาณาเขตแน่นอนได้แล้ว
แม้ว่าอาณาเขตนี้จะใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังดีกว่าสถานที่ที่ถ้าเข้าไปแล้วจะต้องตายแน่นอนอยู่ดี
หลังเตรียมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ลู่เซิ่งก็ส่งการแจ้งเตือนว่าพร้อมจะกักตนฝึกฝนตลอดเวลาออกไป
เนื่องจากมีอาวุธเทพที่เขาติดตั้งไว้คุ้มครองและฉายรังสีใส่ อายุขัยของคนทุกคนในคฤหาสน์ลู่จึงเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง ไม่ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ อีกแล้ว
การใช้ชีวิตอยู่ได้สองร้อยปีเป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหา และถ้าหากฝึกฝนสำเร็จก็จะพัฒนาได้อีกขั้นหนึ่ง ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เขากักตนหลายปีก็ไม่มีผลกระทบใหญ่อะไร
‘ครั้งก่อนที่เข้าไปในโลกพลังวิญญาณ เราอยู่ในนั้นหนึ่งปี หนึ่งปีของต้าอินเทียบได้กับเวลาหลายปีในนั้น การไหลของเวลาไม่เหมือนกันอย่างที่คิดไว้ ครั้งนี้หากเราต้องการจะข้ามมิติครั้งที่สอง จะต้องให้ความสำคัญกับปัญหาด้านนี้ด้วย’
เขาได้ปรับปรุงความเร็วในการไหลของเวลาเป็นการเฉพาะ แม้จะไม่สามารถควบคุมตัวเลือกในการข้ามโลกได้ แต่ก็สามารถเลือกโลกที่มีความเร็วในการไหลของเวลาช้ากว่าต้าอินได้
เมื่อเป็นแบบนี้ ต่อให้เขาอยู่ในโลกด้านนอกหลายปี พอกลับมาก็จะยังคงเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก
‘ทดลองดูก่อนค่อยว่ากันดีกว่า เราแก้จุดบกพร่องในค่ายกลไปพอประมาณแล้ว การตั้งค่าขากลับยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ต้องไปถึงโลกด้านนอกก่อนถึงจะปรับตามกฎเกณฑ์และสถานการณ์ทางด้านนั้นได้’ หลังจากลู่เซิ่งแก้ไขเป็นครั้งที่ห้าเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน ในที่สุดก็เตรียมทดลองใช้ค่ายกลแล้ว
ปัจจุบันครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สถานการณ์ภายนอกมีสำนักมารกำเนิดคอยจัดการ และถึงแม้โลกมนุษย์กับพิภพมารจะยังสู้กันอยู่ แต่เป็นเพราะเจ้าแห่งอาวุธและจักพรรรดิมารได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังได้ยินมาว่านอกจากต้าอินแล้ว จักรพรรดิมารในพิภพมารยังลงมือกับประเทศใหญ่ๆ ในอาณาเขตอื่นๆ ด้วย
พูดให้ถูกต้องก็คือประเทศใหญ่ทางนั้นรุกรานพิภพมารเอง กดดันให้จักรพรรดิมารที่เหลือต้องกลับไปคุ้มครองทัพหลัง ทางต้าอินจึงอยู่ในสถานการณ์ชะงักงันชั่วคราว
พิภพมารทำศึกหลายด้าน ขณะเดียวกันก็ต่อสู้กับประเทศใหญ่ๆ หลายแห่ง หมายจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทว่ากลับล้มเหลว ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะประตูแห่งเลือดเนื้อที่อย่างมากสุดได้แค่รองรับการเข้าออกของจักรพรรดิมารได้แค่ตนหนึ่ง เกรงว่าโลกมนุษย์จะถูกจักรพรรดิมารยึดครองไปแล้ว
ปัจจุบันสถานการณ์มั่นคงแล้ว ลู่เซิ่งจึงคิดจะยกระดับต่อ การฝึกฝนอย่างหนักเพียงอย่างเดียวนั้นไร้ประโยชน์ และหากคิดใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูยกระดับจิตวิญญาณก็เป็นความเพ้อฝันเช่นกัน เนื่องจากกระบวนการในการก้าวเป็นเจ้าแห่งอาวุธ ความจริงแล้วก็คือกระบวนการรวมตัวตนมากมายเป็นหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าดีปบลูจะสารพัดประโยชน์ แต่กระบวนการนี้ก็ไม่มีเคล็ดลับที่จับต้องได้ ต่อให้พลังอาวรณ์แข็งแกร่งปานใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนร่างกลายเป็นร่างหลักลู่เซิ่งจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อช่วยให้เขายกระดับได้อยู่ดี
ดีปบลูเหมือนอาศัยข้อมูลและประสบการณ์ความรู้ที่มีในตอนนี้เพื่อเรียนรู้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง โดยใช้พลังของตัวเองเป็นพื้นฐานมากกว่า
ความจริงพลังอาวรณ์เป็นแค่พลังงานระดับสูงชนิดหนึ่งเท่านั้น มันอาจจะใช้แทนจิตวิญญาณและพลังจิตได้ แต่ก็ไม่สามารถเนรมิตความทรงจำ เครื่องหมาย และกายเนื้อของลู่เซิ่งในโลกอื่นๆ ได้
และเผอิญที่สิ่งที่เส้นทางมารสวรรค์ต้องการเป็นสิ่งเหล่านี้พอดี
ลู่เซิ่งทดลองใช้ดีปบลูเรียนรู้วิชาไร้ขอบเขตมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเส้นทางที่เรียนรู้ได้กลับเบี่ยงเบนไปมาก ถึงขั้นที่ตัวเขาเองมองออกได้อย่างง่ายดายว่า ถ้าหากเดินตามเส้นทางที่ดีปบลูเรียนรู้ออกมา เขาก็จะไปถึงเพดานขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว และไม่อาจไปถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธได้อีกตลอดกาล
พูดอีกอย่างก็คือ ขอบเขต ระดับ ประสบการณ์ และความรู้ของเขาในปัจจุบัน ไม่อาจใช้เรียนรู้วิชาที่แข็งแกร่งทัดเทียบกับเส้นทางของเจ้าแห่งอาวุธได้
ดังนั้นหากคิดจะไปให้ถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธ เขาได้แต่เดินบนเส้นทางรวมตัวตนเป็นหนึ่งเดียวอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะดำเนินการข้ามมิติครั้งที่สอง ลู่เซิ่งก็เตรียมสิ่งของไว้หลากหลายชนิดเพื่อนำไปด้วย จากนั้นก็แจ้งต่อสำนักมารกำเนิด คฤหาสน์ลู่ และคนที่ใกล้ชิดอย่างเฉินอวิ๋นซีแม่ลูกกับบิดามารดา
ใช้เวลาสองวันจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาค่อยกักตน เข้าสู่ตำหนักวิจัย และหยุดพบแขก
สิบกว่าวันให้หลัง องครักษ์ด้านนอกตำหนักมารกำเนิดรู้สึกได้ว่าตำหนักใหญ่สั่นสะเทือนน้อยๆ แสงสีแดงอ่อนสาดลอดออกมาจากช่องประตู จากนั้นก็ไม่มีสุ้มเสียงใดอีก
…
ทะเลสีคราม ท้องฟ้าสีสดใส เส้นสีขาวเส้นหนึ่งกระเพื่อมขึ้นลงตรงชายทะเล ทิ้งฟองน้ำจำนวนมากไว้บนหาดทรายสีเหลืองเข้มอย่างต่อเนื่อง
กลางหน้าผาสีดำน่ากลัวที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่นไม่ไกลจากหาดทราย นักพรตหล่อเหลาใส่กวนขนนกติดไข่มุก และสวมอาภรณ์สีขาวยืนอยู่ตรงปากถ้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่มีความกว้างยาวสิบกว่าหมี่
ทว่าตอนนี้ ใบหน้าขาวใสไร้รอยตำหนิของนักพรตกลับมีแต่ความดุร้าย
“อาศัยอะไร!? อาศัยอะไรข้ามู่อวิ๋นถึงต้องมอบลูกประคำคู่ชีวิตที่ใช้บำเพ็ญมาสามชาติภพให้แก่บุตรแห่งโชคชะตานั่นอย่างไม่มีเหตุผลด้วย!” เขาพลันโบกแขนเสื้อ เกิดอัสนีบาต ดอกไม้ใบหญ้าด้านนอกวิมานถ้ำระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีเขียวเข้มปลิวว่อนอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
เขาตบฝ่ามือใส่ผนังถ้ำด้านข้างอีกรอบ ผนังถ้ำถูกฟาดเป็นรอยฝ่ามือที่ไม่ทราบลึกขนาดไหนขณะที่สั่นสะเทือน
ไข่มุกบนศีรษะของเขาปล่อยแสงสีขาวเร่งร้อนที่กระพริบอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของเขา
เขาคือนักพรตมู่อวิ๋น (เมฆสนธยา) เป็นเจ้าของถ้ำยุทธพฤกษา วิมานถ้ำที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะที่มีรัศมีหลายพันลี้แห่งนี้ และเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญวิชานอกรีตที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในทะเลทักษิณ
สมัยยังอยู่จงหยวน เขาได้รับบาดเจ็บเพราะจอมสัจจะแห่งวิถีธรรมะ จึงต้องหลบหนีมาโพ้นทะเล และเป็นเพราะว่าอย่างไรวิชาไข่มุกลี้ลับเจ็ดประกายของเขาก็มีอานุภาพไม่เลว จึงสร้างชื่อบนโพ้นทะเลได้
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามสิบกว่าปี ตอนแรกเขานึกว่าตนเองจะแก่ตายที่โพ้นทะเลแล้ว เขาไม่หวังว่าตัวเองจะบรรลุธรรมเหินทะยานทำลายนภาออกไปอีก แต่ก็ยังหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข
ทว่าเรื่องราวไม่เป็นไปดั่งหวัง สิ่งที่เขานึกไม่ถึงก็คือ จอมสัจจะแห่งวิถีธรรมะในตอนนั้น หรือผู้สูงส่งที่ทำร้ายเขาผู้นั้น กลับส่งคนมายังวิมานถ้ำของเขา และบอกว่าต้องการให้เขามอบไข่มุกเทพวารีที่เขาใช้ฝึกบำเพ็ญมาสามชาติภพให้แก่บุตรแห่งโชคชะตาที่มีโชคชะตานับพันปีของวิถีธรรมะอยู่กับตัว
บุตรแห่งโชคชะตากำลังจะถึงภายในเรือที่ถูกพายุพัดมา
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้แล้ว เป็นละครที่มีการวางแผนไว้แต่ต้น ความจริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่เซียนเป่ยถงแห่งดินแดนน้ำแข็งในขั้วโลกก็หายตัวไปอย่างลึกลับ จนปัจจุบันก็ยังหาศพไม่เจอเพราะไม่ยอมให้ความร่วมมือในแผนการของยอดคนจากฝ่ายธรรมะเหล่านี้เช่นกัน
เซียนเป่ยถงมีพลังฝึกปรือมากกว่าเขาเสียอีก แม้แต่บุคคลฝ่ายอธรรมที่แข็งแกร่งระดับนี้ก็ยังประสบภัยพิบัติ กลายเป็นฝุ่นผง เป็นที่ทราบได้ว่าวิถีธรรมะในปัจจุบันมีสภาวะเหมือนอาทิตย์กลางหาว ผู้ที่ขัดขืนก็เหมือนตั๊กแตนใช้แขนขวางรถ รังแต่จะรนหาที่ตายเปล่าๆ
มู่อวิ๋นรู้ดี แต่เขาไม่ยินยอม
รากฐานพลังฝึกปรือของเขาอยู่ในไข่มุกดำ หากวู่วามมอบให้คนอื่นๆ แล้วเกิดว่าไข่มุกถูกทำลายหรือถูกหลอมเปลี่ยน การฝึกฝนนับสามชาติพบของเขาจะสูญเปล่าในพริบตา
ทว่ามีเซียนเป่ยถงเป็นตัวอย่าง เขารู้ว่านี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูของวิถีธรรมะซึ่งได้รับการเรียกขานว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งในการบำเพ็ญเพียร
ดังนั้นแม้เขาจะเดือดดาล แต่ว่าเมื่อเผชิญกับบุตรแห่งโชคชะตาที่กำลังจะมาถึง ก็ยังคงได้แต่อดทนเท่านั้น!
……………………………………….