ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 466 ครั้งที่สอง (2)
บทที่ 466 ครั้งที่สอง (2)
“เจ้าพวก…เจ้าพวก…สมควรตายเอ๊ย…” มู่อวิ๋นถึงขั้นยังไม่กล้าด่าลับหลังด้วยซ้ำ พวกจอมสัจจะที่มีชื่อมีแซ่ของวิถีธรรมะเหล่านั้น หากมีคนกล้าด่าทอพวกเขาลับหลังจริงๆ พวกเขาจะสัมผัสร่องรอยเพียงเล็กน้อยได้ในชั่วเสี้ยววินาที
โดยเฉพาะเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญนอกรีต โอกาสที่จะโดนสัมผัสได้มีมากกว่า
หลังจากระบายออกไป มู่อวิ๋นก็กัดฟันและกลับวิมานถ้ำ
ส่วนลึกของวิมานถ้ำเป็นถ้ำสีฟ้าสะอาดสะอ้านที่เก่าแก่และเงียบสงบ ถ้ำหนึ่งเชื่อมต่อกับถ้ำหนึ่ง หินงอกหินย้อยเหมือนกับป่า เห็นก้อนหินประหลาดพิลึกได้ทั่วพื้น
ด้านในถ้ำที่อยู่ส่วนลึกที่สุดเป็นโถงศิลาสีดำที่ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย บนผนังและบนพื้นใช้แผ่นหินเย็นชนิดพิเศษปูจนเรียบ ตั่งไม้ ชั้นหนังสือ เก้าอี้นอน สิ่งใดควรมีก็มีหมดสิ้น
สถานที่ที่เชื่อมต่อกับที่นี่ยังมีห้องบำเพ็ญ ห้องข้ามผ่านภัย ห้องฝึกสัตว์ องค์ประกอบที่ผู้บำเพ็ญควรมีล้วนมีครบครัน
มู่อวิ๋นเพิ่งจะเข้าไปในโถงศิลา เด็กชายกับเด็กหญิงสองคนที่มัดผมแกละก็เข้ามาต้อนรับ “นายท่าน เมื่อครู่นักพรตปี้หลิงแห่งเกาะพันรุ่งเรืองทางทิศตะวันตกเพิ่งส่งยันต์จดหมายมาขอรับ”
“เอามาเถอะ” มู่อวิ๋นรู้สึกจิตใจสับสนยุ่งเหยิง ว่ากันว่าบุตรแห่งโชคชะตาผู้นั้นมีอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ยอดฝีมือฝ่ายอธรรมอายุสามร้อยกว่าปีอย่างเขาจำเป็นต้องฝากพลังฝึกปรือสามชาติภพให้กับเด็กอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง แถมยังต้องแสร้งทำเป็นขอความเมตตาจากอีกฝ่ายตามโครงเรื่องอีกต่างหาก
พอนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม อดเกิดความคิดอยากใช้กระบี่สังหารบุตรแห่งโชคชะตาอะไรนั่นไม่ได้
แต่เขาก็เข้าใจดีว่ารอบข้างบุตรแห่งโชคชะตามีสัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนไม่น้อยคอยติดตามอยู่ในที่ลับ ยอดคนฝ่ายธรรมะไม่มีทางปล่อยให้บุตรแห่งโชคชะตาตกอยู่ในอันตรายง่ายๆ อยู่แล้ว
ระงับโทสะในใจ เขาอดคิดถึงนักพรตปี้หลิงที่ส่งจดหมายมาไม่ได้ คนผู้นี้มีสมบัติที่ถูกฝ่ายธรรมะขู่ให้มอบของแก่บุตรแห่งโชคชะตา ไม่อย่างนั้นจะถูกจับไปทำเป็นพาหานะ และหลอมเปลี่ยนพลังฝึกปรือกับโอสถภายในเหมือนอย่างเขา
ก่อนหน้านี้เขาส่งจดหมายไปเพื่อเชิญนักพรตปี้หลิงผู้นี้มาปรึกษาการใหญ่ร่วมกัน
มู่อวิ๋นสูดหายลึก โคจรโอสถภายใน หยุดความคิดทั้งหลายในพริบตา จากนั้นก็รับยันต์หยกที่เด็กชายส่งมาให้ พร้อมกับถ่ายทอดจิตเข้าไปเพื่อตรวจสอบข้อมูล
ปัจจุบันเขามีเกาะสามเกาะอยู่ใต้สังกัด มีศิษย์ในวิมานถ้ำมากกว่าร้อยคน ในนี้มีผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานราวสามสิบคน นี่นับว่าเป็นขุมกำลังที่ไม่อ่อนแอกลุ่มหนึ่งในโลกผู้บำเพ็ญโพ้นทะเลแล้ว
ถ้าหากบวกกับยอดฝีมือระดับโอสถภายในอย่างนักพรตปี้หลิง กับเกาะสิบเจ็ดเกาะ และยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานสี่สิบกว่าคนในสังกัดของเขา อาจจะร่วมมือกันไปหาผู้อาวุโสจอมสัจจะเก้ามังกรที่ทะเลลึกเพื่อปรึกษาหาวิธีการรับมือกับวิถีธรรมะได้
ในโลกของการบำเพ็ญเป็นเซียนประกอบด้วยสี่ขอบเขต ได้แก่ หลอมปราณ สร้างรากฐาน โอสถภายใน และทารกจิต ขอบเขตทารกจิตเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้บำเพ็ญเพียร
ทุกๆ ขอบเขตมีขอบเขตย่อยที่มีจำนวนแตกต่างกันอีก อย่างตัวมู่อวิ๋นเองอยู่ในระดับโอสถภายในช่วงต้น ต่อจากนั้นจึงเป็นโอสถภายในช่วงกลาง ช่วงหลัง เติมเต็ม ถัดไปต้องฝ่าเจ็ดภัยพิบัติ ถึงค่อยเป็นระดับทารกจิตช่วงต้น
จอมสัจจะเก้ามังกรเป็นเข็มเทวะค้ำยันสมุทรของโลกผู้บำเพ็ญโพ้นทะเล สามารถฝึกถึงระดับทารกจิตในโพ้นทะเลที่แร้นแค้นได้ ผู้บำเพ็ญเช่นนี้แข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้บำเพ็ญบนแผ่นดินไม่น้อย
ฝ่ายธรรมะบนแผ่นดินคิดจะยื่นหนวดมาถึงด้านโพ้นทะเล ยังต้องดูว่าคนผู้นี้ยินยอมหรือไม่ แม้เขาจะไม่ชอบยุ่งในเรื่องราวต่างๆ วันๆ เอาแต่นอนหลับ แต่ขอแค่เผชิญกับปัญหาสำคัญ ก็จะไม่มีวันยอมถอยเด็ดขาด
มู่อวิ๋นเริ่มอ่านเนื้อหาในยันต์หยกพร้อมกับครุ่นคิด
เพียงแต่ตอนไม่ได้อ่านยังไม่เครียดเท่าไหร่ พออ่านปุ๊บ ศีรษะของเขาก็เหมือนถูกสายฟ้าระเบิดใส่ในพริบตา หัวสมองดังหวึ่งๆ เหมือนโดนไฟฟ้า ไม่ได้ยินอะไรอยู่ชั่วขณะ แม้แต่ความคิดก็หยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
นักพรตมู่อวิ๋นยืนอึ้งอยู่กับที่ ปกติแล้วเขาเป็นพวกอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชอบผรุสวาทฆ่าคน และรำคาญเวลามีคนกวนตัวเองมากที่สุด ดังนั้นหลังจากเด็กสองคนมอบยันต์หยกให้แล้ว ก็รีบหลีกหนีทันที ไม่กล้าอยู่ข้างตัวเขานาน ตอนนี้ในโถงศิลารอบๆ จึงไม่มีใคร มีแค่เขายืนอยู่กลางโถงคนเดียว
จอมสัจจะเก้ามังกร…ถูกวิถีธรรมะที่ร่วมมือกับวังหมอกเซียนลอบสังหารไปแล้ว…
เนื้อหาที่บันทึกในยันต์หยกเหมือนกับห้าอัสนีบาตระเบิดใส่ศีรษะ ทำลายความหวังสุดท้ายของมู่อวิ๋นจนกลายเป็นผุยผง
เขาหมดอาลัยตายอยากอยู่ชั่วขณะ ปราณโอสถที่เดิมทีมีระบบระเบียบของโอสถภายในในร่างกายเกิดการกระเพื่อมอย่างรุนแรงตามการกระทบกระเทือนทางจิตใจ เวลานี้โอสถภายในสีเขียวที่ตอนแรกสมบูรณ์แบบเริ่มเปื้อนรอยสีดำๆ เป็นจุดๆ นี่เป็นคราบสกปรกที่เกิดจากความฟุ้งซ่าน ความคิดชั่วร้าย และความเจ็บปวดในใจ
เดิมโอสถภายในมีผลชำระล้างจิตใจ เพียงแต่โอสถภายในของมู่อวิ๋นเป็นโอสถภายในระดับต่ำที่สุด กล่าวได้ว่าเป็นปราณโอสถที่ผนึกรวมได้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น
ตอนนี้ประสบความเปลี่ยนแปลงใหญ่ พลันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอันมหาศาลกับโอสถภายในชนิดอื่นๆ
ความจริงผู้บำเพ็ญนอกรีตฝ่ายอธรรมส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ พวกเขามีพัฒนาการที่น่าตกตะลึงก่อน ในช่วงสร้างรากฐาน แต่ยิ่งไปถึงระดับหลังๆ ก็ยิ่งใช้การไม่ได้ ศักยภาพจะถูกกระตุ้นจนหมดสิ้นไปก่อน
หลังจากที่มู่อวิ๋นได้รับทราบข้อมูลอันน่าสิ้นหวังนี้ ความหวังและเสาค้ำยันสุดท้ายในใจเขาก็พังทลายโดยสิ้นเชิง
จิตมารบังเกิดในใจ ความกลัว ความหวั่นสะพรึง ความหวาดหวั่น ความห่วง ความเจ็บปวด และความต้องการหลีกหนีผสมผสานกัน
เพล้ง!
ทันใดนั้นยันต์หยกในมือมู่อวิ๋นพลันระเบิดโดยสิ้นเชิง สองตาที่กระจ่างใสในตอนแรกของเขาเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีดำสนิทในพริบตา
สีดำชนิดนี้เพียงคงอยู่แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ควันประหลาดแผ่กระจายตลบอบอวลในอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง พริบตาเดียวควันนี้ก็หายเข้าไปในท้ายทอยของมู่อวิ๋น ขณะเดียวกันก็กลืนกินควันดำที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ด้านในร่างกายเขาจนหมดสิ้น
มู่อวิ๋นยืนอยู่ที่เดิมสักพัก อยู่ๆ เขาก็สะดุ้ง เหมือนกับได้สติหลังจากเหม่อลอย
‘แย่แล้ว! จิตมาร!’ เขาพลันตอบสนอง พอเห็นรอยดำบนโอสถภายในของตัวเอง ก็รีบโคจรปราณโอสถพร้อมกับประสานจิตเป็นรูปมุทราสุดกำลัง แล้วใช้มือหยิบขวดเล็กๆ สีเขียวมรกตออกมา ขณะกำลังจะเปิดเพื่อกินยาด้านในนั้นเอง
ฟุ่บ!
ชั่วพริบตานั้น เหมือนกับเวลาถูกเร่งเร็วขึ้นไม่รู้กี่เท่า รอยดำย้อมโอสถภายในของเขาเป็นสีดำทั้งหมดในทันที
มู่อวิ๋นผุดสีหน้าบิดเบี้ยว มือที่ถือขวดพลันชะงักลง การเคลื่อนไหวของเขาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
“อ้อ? สภาพลำบากขนาดนี้เชียว ให้ข้าจัดการเถอะ ให้ข้าจัดการ ข้าจะช่วยให้เจ้าเดินออกจาสภาพจนตรอกเอง” เสียงบุรุษแปลกหน้าที่ทุ้มต่ำดังออกมาจากปากของเขา
มู่อวิ๋นแสดงสีหน้าขัดขืนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าไม่มีแผนการแต่แรกแล้ว ให้ข้าจัดการซะ ข้าเองก็คือเจ้านั่นแหละ เจ้าอีกคนหนึ่ง แบบนี้ถึงจะพอมีหวัง” เสียงนั้นดังขึ้นอีก
“เจ้าลืมความเจ็บปวดในตอนที่ถูกวิถีธรรมะหยามเหยียดแล้วหรือ ต้องหลบซ่อนตัวไปทั่วเหมือนมุสิกในท่อระบายน้ำ ตอนนี้อุตส่าห์หนีมาถึงโพ้นทะเลแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อยจนต้องกลายเป็นหมากตัวหนึ่งในการการเติบโตของบุตรแห่งโชคชะตาอีก เจ้ายินยอมหรือ”
มู่อวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่น
ใช่แล้ว…เขาหมดหนทางถอยแต่แรกแล้ว มารสวรรค์นอกเขตแดน…ถ้าเจ้ามีวิธี เช่นนั้นก็มาเถอะ! ชะตาชีวิตเช่นนี้ ข้าเจอมาพอแล้ว!
ในที่สุดสีหน้าโกรธแค้นทุกข์ตรมของมู่อวิ๋นก็เกิดการสั่นไหว เป็นแค่การสั่นไหวครั้งเดียว จากนั้นปราณมารสีดำก็อาบโอสถภายในทั้งหมดของเขาได้ในพริบตา
เงียบสงัด เป็นความเงียบสงัดราวกับความตาย
มู่อวิ๋นค่อยๆ ชักมือที่กำลังยื่นไปจับขวดกลับมาพร้อมกับกวาดตามองรอบๆ
‘เป็นสถานที่ที่ไม่เลวนี่ ร่างสิงในครั้งนี้เหมือนมีชีวิตใช้ได้ทีเดียว ถ้าไม่นับสภาพเลวร้ายในตอนนี้ล่ะก็นะ’
มู่อวิ๋นหรือควรบอกว่าลู่เซิ่งในตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ และพลังฝึกปรือในร่างกายร่างนี้ของตนเองด้วยความพึงพอใจ
ความทรงจำของมู่อวิ๋นแวบผ่านห้วงสมองของเขาอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเผชิญในปัจจุบันแล้ว
‘หมาก? วิถีธรรม? ผู้บำเพ็ญโพ้นทะเล? จอมสัจจะเก้ามังกร? บุตรแห่งโชคชะตางั้นหรือ น่าสนใจ’ เขาอมยิ้ม ปราณมารพลันกระจายออกมาทั่วร่าง โอสถภายในในร่างกายระเบิดโดยสมบูรณ์แล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งหมดถูกร่างหลักที่แอบเข้ามากลืนกินดูดซับไปแล้ว
โอสถภายในมีตราประทับของมู่อวิ๋นอยู่ เขาจึงใช้ไม่ได้ ต่อให้ถูกย้อมอาบโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่คล่องมืออยู่ดี จึงได้แต่กลืนกลายมัน
‘ขอดูวิชาที่มู่อวิ๋นคนนี้ฝึกฝนหน่อยเถอะ…’
ลู่เซิ่งนึกทบทวนความทรงจำอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าใจทันทีว่าเหตุใดโอสถภายในที่มู่อวิ๋นฝึกสำเร็จจึงเป็นโอสถระดับหนึ่ง
โลกใบนี้ฝึกฝนปราณวิญญาณเช่นกัน เป็นโลกของผู้ฝึกเป็นเซียนที่มีความดั้งเดิมที่สุดในความทรงจำของลู่เซิ่ง
หลอมปราณ สร้างรากฐาน โอสถภายใน โอสถภายในเป็นระดับที่สาม วิถีโอสถแบ่งเป็นเก้าขั้น ขั้นหนึ่ง สอง สาม คือขั้นล่าง ล้วนเป็นโอสถภายในขั้นต่ำสุด ขั้นสี่ ห้า หกถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดของสำนักเล็กๆ บรรพชนของสำนักฝ่ายอธรรมกับสำนักขนาดกลางถึงเล็กส่วนใหญ่แล้วมีพลังระดับนี้
สามขั้นบนเรียกว่าโอสถทอง มีแต่ยอดฝีมืออัจฉริยะระดับสุดยอดที่มีความสามารถล้ำเลิศ หรือไม่ก็มีวาสนายิ่งใหญ่ของค่ายพรรคสำนักใหญ่ๆ รวมถึงมีทรัพยากรกองพะเนินให้เท่านั้น ถึงอาจจะให้กำเนิดผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดพวกนี้ได้
และก็มีแต่โอสถทองสามขั้นบนเท่านั้นถึงจะมีความหวังก้าวสู่ระดับทารกจิตมากที่สุด สามขั้นกลางกับสามขั้นล่างแทบจะได้แต่รอความตายสถานเดียว อย่าคิดจะเข้าสู่ระดับทารกจิตตลอดกาล
ดังนั้นตำแหน่งที่มู่อวิ๋นอยู่จึงกระอักกระอ่วนถึงขีดสุด จะสร้างสำนักตั้งพรรคก็ตั้งหลักหยั่งเท้าไม่ได้ เนื่องจากเขาอยู่ในขั้นที่อ่อนแอที่สุดของระดับโอสถสามขั้นล่าง แถมวิชาที่ฝึกก็เป็นสิ่งนอกรีต จึงออกหน้าออกตาไม่ได้ และไม่อาจเข้าร่วมสำนักใหญ่กลายเป็นแขกได้
ถ้าจะให้เขาด้อยค่าตัวเอง ไปครองอำนาจในสถานที่เล็กๆ เขาก็ไม่ยอมอีก
สุดท้ายเพราะโชคชะตาครั้งหนึ่ง เขาได้ไปกระตุ้นโทสะสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะอย่างวิถีธรรมะเข้า จึงถูกไล่ล่าสังหารจนได้รับบาดเจ็บหนัก และต้องหลบหนีออกโพ้นทะเลอย่างหมดหนทาง สุดท้ายก็ตกต่ำจนมีสภาพอย่างในปัจจุบัน
ลู่เซิ่งจัดระเบียบความทรงจำของมู่อวิ๋น ความจริงแล้วมู่อวิ๋นในโลกใบนี้ก็คือเขาคนหนึ่งในโลกจำนวนนับไม่ถ้วนนั่นเอง
เพียงแต่อย่างไรก็ตามเมื่อเมล็ดลงดินแล้ว การผลิดอกออกผลก็ย่อมต่างกันไป การที่มู่อวิ๋นแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิงก็สมเหตุสมผลเช่นกัน
ทว่าอย่างอื่นนั้นช่างมัน ขอแค่แก่นสารของจิตวิญญาณเหมือนกันและหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบได้ก็เพียงพอแล้ว
ลู่เซิ่งจัดระเบียบวรยุทธ์ที่มู่อวิ๋นฝึกฝนเป็นหลักอย่างละเอียด ในโลกที่ใช้วรยุทธ์เป็นหลักใบนี้ วรยุทธ์ที่บ่งชี้ถึงมหามรรคาได้โดยตรงแทบจะเป็นคัมภีร์ลับระดับสุดยอดที่ผู้บำเพ็ญทุกคนล้วนปรารถนา
มู่อวิ๋นใช้ชีวิตมาสามชาติภพ กลับชาติมาเกิดสามครั้ง จึงค่อยบำเพ็ญไข่มุกบนศีรษะสำเร็จ การจะสำเร็จมหามรรคาโอสถภายในได้ เรียกได้ว่าต้องอดทนต่อความลำบากนานับประการ
‘บันทึกประกายฟ้าครามสามผสาน’ เป็นคัมภีร์ลับสำหรับบำเพ็ญเพียรเพียงเล่มเดียวของมู่อวิ๋น และเป็นคัมภีร์นอกรีตที่ทำให้เขาฝึกฝนวิถีโอสถจนสำเร็จด้วย
อย่าได้ดูถูกคัมภีร์ล้ำค่านอกรีตที่เพียงทำให้ฝึกวิถีโอสถสำเร็จเล่มนี้ หากปล่อยไปยังโลกภายนอก มันสามารถกระตุ้นให้ผู้บำเพ็ญมือใหม่นับไม่ถ้วนต่อสู้แก่งแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกได้ทีเดียว
ศิษย์ในพรรคใหญ่ๆ ย่อมไม่สนใจ แต่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปกับผู้บำเพ็ญพเนจรถือว่าการเดินได้ก้าวหนึ่งก็ยังนับเป็นหนึ่งก้าว อย่าว่าแต่วิถีโอสถของโอสถภายใน แม้แต่ขั้นสร้างรากฐานก็ลำบากเหลือแสนเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นมู่อวิ๋นคงไม่ต้องลำบากฝึกฝนเป็นเวลาสามชาติภพค่อยฝึกโอสถภายในสำเร็จ
ลู่เซิ่งจัดระเบียบคัมภีร์ลับเล่มนี้ ปัจจุบันร่างหลักของเขาซ่อนอยู่ในหัวใจของมู่อวิ๋น จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับกฎของโลกด้านนอกอยู่ ดังนั้นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวจึงเหลือแค่คัมภีร์ลับตรงหน้านี้
กอปรกับโอสถภายในของมู่อวิ๋นเกิดสิ่งเจือปนเพราะร่างกายเปลี่ยนเจ้าของ จึงแตกดับกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์แล้วถูกร่างหลักกลืนกินทันทีไปแล้ว
เขาในปัจจุบันเลยกลายเป็นคนธรรมดาไปแล้ว อย่างมากสุดก็เป็นคนธรรมดาที่ใช้ปราณโอสถหล่อเลี้ยงมาหลายปีเท่านั้น
ทั้งหมดต้องเริ่มจากหนึ่ง
แน่นอนว่านี่ยังไม่ได้นับร่างหลัก แต่เกิดว่าใช้ร่างหลัก หรือให้ร่างหลักปรากฏตัวอย่างใจร้อนก่อนที่จะปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของที่นี่ได้ ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวคือถูกส่งกลับโดยที่คว้าน้ำเหลว เป็นการใช้โอกาสข้ามมิติสิงร่างในครั้งนี้อย่างสิ้นเปลือง
‘ไม่เป็นไร เรามีดีปบลู บวกกับพลังอาวรณ์อีกสามหมื่นกว่าหน่วย เพียงพอแล้ว’ ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน เขาที่มีความทรงจำของมู่อวิ๋นใช้พลังอาวรณ์ฟื้นคืนพลังฝึกปรือระดับโอสถภายในดั้งเดิมกลับมาได้ใหม่ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น
เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขา ไหนเลยจะเดินซ้ำรอยเดิม แม้คัมภีร์ลับนี้จะไม่เลว แต่ก็อยู่ในระดับโอสถภายในขั้นแรกเท่านั้น จึงไม่ใช่ความมุ่งหวังของเขา
……………………………………….