ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 472 เคล็ดจริงแท้ (2)
บทที่ 472 เคล็ดจริงแท้ (2)
ทั้งสองทยอยกันเดินเข้าไปในประตูของวังวารี
ด้านในเห็นบ่าวรับใช้ทั้งหญิงและชายที่ล้มอยู่กับพื้นพลางร้องโอดโอย บางคนก็หัวร้างข้างแตก หมดสติอยู่กับพื้น
ปีศาจหอยส่วนหนึ่งรีบหามสหายร่วมเผ่าของตัวเองออกไป แต่เพราะมีจำนวนมากเกินไป จึงยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี
“เอ่อ…นี่เป็นเพราะการสะเทือนที่เกิดขึ้นตอนสู้กันเมื่อครู่ ท่านก็รู้ว่าฐานของวังที่สร้างอยู่ในก้นทะเลอ่อนนุ่มอยู่บ้าง…ดังนั้นหากเกิดการกระแทกที่ด้านนอกอย่างรุนแรง ด้านในจะมีคนล้มคว่ำ”
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
เขาสังเกตเห็นว่าหญิงรับใช้ที่เป็นปีศาจหอยเหล่านี้ต่างก็ทั้งอยู่ในวัยสาวและทั้งงดงาม ต่อให้เป็นคนที่มีอายุหน่อย ก็ยังคงมีเสน่ห์เต็มเปี่ยม ไม่แสดงให้เห็นถึงความแก่ชรา แต่ละคนต่างมีองค์เอวล้ำเลิศ
ส่วนข้ารับใช้ชายก็องอาจผิวขาว ร่างกายสมส่วน หากอยู่บนโลกเดิมคงจะมีศักยภาพเป็นพวกหนุ่มหน้ามน ยังมีข้ารับใช้ชายหนุ่มๆ จำนวนไม่น้อยที่ถ้าหากแต่งเป็นหญิง จะยิ่งสวยกว่าเด็กสาวเสียอีก
“จะว่าไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเข้ามาเดินชมในวังวารีแห่งนี้มาก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ฟู่จิ้นหัวเราะแหย “ขออภัยประมุขถ้ำด้วย สถานการณ์ในเผ่าข้ามีความพิเศษ หากปล่อยให้คนเข้ามาเห็นมั่วซั่ว เกรงว่า…”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เป็นการบอกว่าเข้าใจ
เผ่าหอยเมฆหมอกต่างมีรูปร่างหน้าตาดี หากเผยโฉมหน้า เกรงว่าจะสร้างปัญหาได้จริงๆ
เดินไปด้านในวังเรื่อยๆ คนเริ่มลดลงทีละน้อย หญิงสาวงดงามที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบางค่อยๆ เพิ่มขึ้น เหล่าเด็กสาวหมอบกราบอยู่บนพื้น ทุกคนสะพายเปลือกหอยที่มีเฉพาะในเผ่าปีศาจหอยไว้บนหลัง เปลือกหอยบนหลังของเด็กสาวเหล่านี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกันหมด
ปีศาจหอยที่เป็นแม่ทัพองครักษ์หลายคนเดินเข้ามาส่งกระแสเสียงคุยกับฟู่จิ้นเบาๆ ฟู่จิ้นหมุนตัวมากวาดตามองค่ายกลใหญ่ที่ฝังซ่อนอยู่รอบๆ วัง หวนนึกถึงกำแพงน้ำอันแข็งแกร่งที่ปกคลุมฟ้าดินเมื่อก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็ลอบถอนใจ ละทิ้งโอกาสลงมือครั้งสุดท้าย
เขามั่นใจแทบจะเต็มร้อยว่า ต่อให้ลงมือก็คงไม่สำเร็จ
นักพรตมู่อวิ๋นมีพลังที่แท้จริงน่าตกตะลึงเกินไป มิหนำซ้ำคนผู้นี้ซ่อนพลังมาหลายปี ต้องมีแผนการยิ่งใหญ่แน่ ถ้าหากลงมือไม่สำเร็จ ก็รังแต่จะกระตุ้นโทสะของคนผู้นี้ ถึงเวลาจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่เผ่าหอยเมฆหมอกแบกรับได้ด้วย
ลู่เซิ่งเป็นคนระดับใด แม้จะไม่เชี่ยวชาญค่ายกล แต่หลายปีมานี้ก็วิจัยค่ายกลมาโดยตลอด จึงรู้จักกลิ่นอายและการจัดตั้งดี มองออกทันทีว่าในวังแห่งนี้มีค่ายกลซึ่งมีอานุภาพไม่เลวอยู่ด้วย แน่นอนว่าอานุภาพไม่เลวในที่นี้เอาไว้ใช้กับเซียนพรตระดับสร้างโอสถเท่านั้น
ตอนนี้เห็นฟู่จิ้นไม่คิดลงมือ เขาจึงทราบว่าอีกฝ่ายยอมแพ้โดยสิ้นเชิงแล้ว ถือว่าสวามิภักดิ์กับเขาอย่างแท้จริง จึงค่อยวางใจเล็กน้อย
“วังวารีแห่งนี้ดูไม่เลว ถ้าหากว่าสามารถสร้างฐานให้มั่นคงได้ คงเป็นสาขาหลักของเผ่าปีศาจหอยที่มีพัฒนาการยิ่งใหญ่ได้แน่” เขาประเมินอย่างไม่ใส่ใจ
“ประมุขถ้ำกล่าวถูกแล้ว ครั้งกระโน้นข้ามีแผนการและความคิดแบบนี้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่…มารดาของข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่เพราะสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เผ่าข้าต้องอพยพออกจากมาตุภูมิ ผละจากสาขาหลักของเผ่าปีศาจหอย มาตั้งถิ่นฐานที่ก้นทะเลน้ำตื้น ไม่อย่างนั้นเผ่าปีศาจหอยเมฆหมอกของเราคงไม่ตกต่ำถึงขนาดนี้” ฟู่จิ้นส่งเสียงกล่าวโอดครวญ หลังจากเขากล่าวประโยคนี้ ก็ใช้สายตาลอบพิจารณาสีหน้าของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรู้ความคิดของเขา อีกฝ่ายกำลังจะบอกตนว่า เผ่าหอยเมฆหมอกไม่ใช่ทัพโดดเดี่ยว เบื้องหลังมีเผ่าปีศาจหอยที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นกำลังสนับสนุน เพียงแค่ผละจากแผ่นดินเกิดและยังไม่ได้กลับไปเท่านั้น
พอเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะกล่าวจากด้านใด เขาลู่เซิ่งล้วนต้องเกิดความกริ่งเกรง และพยายามไม่อาละวาดจนต้องสู้กับเผ่าปีศาจหอยในภายหลัง
“เผ่าปีศาจหอย เผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่ที่ยึดครองทะเลลึกไปทั่วใต้หล้า ปีศาจหอยแห่งเผ่าทะเลนั่นน่ะหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา แทนที่จะตกใจกลับยินดี
“ถูกต้องๆ” ฟู่จิ้นรีบพยักหน้าขานตอบ ดวงตาฉายแววได้ใจ “ในเมื่อประมุขถ้ำทราบแล้ว ก็ควรเข้าใจว่า…”
“ในเมื่อเผ่าเจ้ามาจากเผ่าปีศาจหอย อย่างนั้นก็ให้ข้าประมุขถ้ำยืมดูเคล็ดจริงแท้ในสายสืบทอดของพวกเจ้าเถอะ” ลู่เซิ่งตัดบทอีกฝ่าย บอกเป้าหมายที่แท้จริงของตนในรอบนี้
เดิมทีเพียงนึกว่าได้แต่เอาวิชาสร้างโอสถธรรมดาไป นึกไม่ถึงว่าเผ่าปีศาจหอยเมฆหมอกจะยังมีต้นกำเนิดเช่นนี้ นี่ตรงกับความต้องการของลู่เซิ่งพอดี
ตอนแรกฟู่จิ้นคิดจะเล่าเรื่องยิ่งใหญ่ในอดีตของเผ่าปีศาจหอยสักสองสามเรื่อง เพื่อสร้างความตกตะลึงให้แก่ประมุขถ้ำที่แข็งแกร่งลี้ลับสุดหยั่งคาดผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ออกไพ่ตามปกติ หากแต่บอกว่าต้องการเคล็ดจริงแท้ในสายสืบทอดของเขาโดยตรง
สีหน้าเขาเคร่งขรึมในพริบตา ดวงตาที่ยิ้มหยีเมื่อครู่นี้บังเกิดโทสะขึ้น
“ประมุขถ้ำ อย่าพูดเรื่องล้อเล่นเช่นนี้ดีกว่า เคล็ดจริงแท้ในสายสืบทอดของเผ่าสักเผ่าหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะแพร่งพรายออกไปด้านนอกได้ง่ายๆ ถ้าหากไม่มีเคล็ดจริงแท้นั้น เกรงว่าอนาคตของเผ่าเมฆหมอกจะอเนจอนาถถึงขีดสุด จะเจอจุดจบหรือโศกนาฏกรรมขนาดไหนก็คงไม่แปลก”
ความเป็นมิตรบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ หายไปเช่นกัน
“ข้าไม่ได้กำลังขอร้อง นี่เป็นคำสั่ง”
ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิม ชะงักงันอยู่ชั่วขณะ
เสียงชักอาวุธดังเคร้งๆ มาจากรอบๆ ไม่ขาดหู เหล่าหญิงรับใช้แสนบริสุทธิ์ที่ก่อนหน้านี้ยังน่ารักเป็นมิตร เวลานี้ไม่ทราบว่าชักกระบี่สั้นออกมาจากตรงไหนบนร่าง พร้อมกับจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ถ้าไม่นำออกมา ก็จงไปตายเสีย” เงาของก้อนโลหะสีเงินปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอีกรอบ วังวารีค่อยๆ สั่นไหว น้ำทะเลรอบข้างเหมือนกับกำลังเดือดพล่าน ถูกแรงดันอันน่าสะพรึงฉุดรั้ง ถึงขั้นที่ขวางแสงรอบตัวลู่เซิ่งไว้
ครืนๆ…
วังวารีโคลงเคลงแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฟู่จิ้นลอบตรึงวังวารีไว้สุดกำลัง เหล่าแม่ทัพองครักษ์ในวังวารีกระตุ้นค่ายกลทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังคงไร้ความหมาย
วังวารีเหมือนกับของเล่นชิ้นเล็กๆ ในมือยักษ์ มองข้ามขุมกำลังของพวกเขาทั้งหมดไปอย่างง่ายดาย การสั่นไหวทวีขึ้นช้าๆ โดยไม่มีร่องรอยว่าจะถูกหยุดยั้งแม้แต่น้อย
“ข้าจะเอาให้ท่าน!” ในที่สุดฟู่จิ้นก็หน้าซีด ล้มก้นจ้ำเบ้า ปราณโอสถทั้งหมดบนตัวเขาหมดไปแล้ว ครั้งนี้ถึงขั้นไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงรักษาหน้า
“ท่านพ่อ!” มีเสียงดังมา หญิงสาวที่งดงามหมดจดสองคนพุ่งออกมาประคองฟู่จิ้นจากที่ลับภายในวัง
หญิงสาวทั้งสองคน คนหนึ่งสวยบริสุทธิ์ สวมชุดติดกระโปรงตัวเล็กสีขาว ผิวขาวเนียนนุ่มนิ่ม
อีกคนมีรูปร่างยั่วยวน เพียงสวมกระโปรงสั้นสีชมพูกับเกาะอก ไว้ผมทรงหางม้า เผยขาอ่อนขาวเนียนออกมาด้านนอก ทำให้คนอดที่อยากจะยื่นมือไปลูบคลำอย่างแรงไม่ได้
“กลับไป! เสี่ยวอิ่น เสี่ยวหรง!” ฟู่จิ้นตำหนิด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งกวาดตามองสองสาว จากนั้นก็ละสายตากลับมา “เด็กทั้งสองคนกตัญญูรู้คน ข้าไม่ว่าอะไร”
“ถุย! เจ้าคนเลว!” หญิงสาวรูปร่างยั่วยวนที่ชื่อเสี่ยวหรงถุยน้ำลายใส่ลู่เซิ่ง ใบหน้างามฉายแววเย็นชา
น้ำลายที่นางถุยออกมาตกลงตรงตำแหน่งที่ห่างจากเท้าลู่เซิ่งเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ลู่เซิ่งกลับยิ้มให้นาง “ครั้งหน้าหากยังไม่รู้จักมารยาทอย่างนี้อีก จะทำลายพลังฝึกปรือของเจ้า แล้วให้เจ้าแต่งกับเผ่าช้างทะเล”
เสี่ยวหรงเดิมที่มีสีหน้าเหมือนเกล็ดน้ำค้าง พอได้ยินคำพูดนี้หน้างามพลันซีดขาว ตัวสั่นเทา ก้มหน้าไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก
เสี่ยวอิ๋นที่อยู่ด้านข้างนางตัวสั่นงันงก ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน
ความสามารถทางด้านนั้นของเผ่าช้างทะเลขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่และความรุนแรง ว่ากันว่าการแต่งงานในเผ่าปีศาจของพวกเขายังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากมีเผ่าปีศาจจากภายนอกแต่งเข้าไป เช่นนั้นจึงค่อยเจ็บปวดจนไม่อยากอยู่และอยู่มิสู้ตกตายของจริง
“ตามข้ามา” ในที่สุดฟู่จิ้นก็หยุดขัดขืน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพร้อมกับให้ลูกสาวทั้งสองล่าถอยไปก่อน ส่วนตัวเองพาลู่เซิ่งออกจากวังหลักเพียงลำพัง แล้วเดินไปในตำหนักข้างที่อยู่ลึกที่สุดของวังวารี ก่อนจะหยิบเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งจากช่องลับบนผนังของตำหนักข้าง เป็นคัมภีร์ทำจากผ้าแบบพิเศษที่ใช้ผ้าไหมเดินลายทองเขียนขึ้น
“นี่เป็นเคล็ดจริงแท้ในสายสืบทอดของเผ่าหอยเมฆหมอก” ฟู่จิ้นส่งคัมภีร์ผ้าให้ลู่เซิ่งด้วยใบหน้าเย็นชา
ลู่เซิ่งรับมาดูอย่างละเอียด แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับยินดี
คัมภีร์ผ้าเล่มนั้นเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า เคล็ดหอยกาบทองแปลงมังกร
เขาเคยได้ยินตำนานบทหนึ่งจากความทรงจำนับหลายร้อยปีของมู่อวิ๋น ว่ากันว่าเคล็ดจริงแท้สายสืบทอดทั้งหมดในเผ่าพันธุ์ทะเล ขอแค่มีคำว่าแปลงมังกร ล้วนเป็นสิ่งที่เทพมังกรตัวจริงบัญญัติขึ้น เป็นยอดคัมภีร์ของมหาวิถีแปลงมังกร
เขาพลิกอ่านคัมภีร์ผ้าอย่างอดรนทนไม่ไหว
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เคล็ดจริงแท้นี้มีการบันทึกที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ระดับหลอมปราณที่เป็นระดับต่ำสุด ถึงระดับสร้างรากฐาน สร้างโอสถ และทารกจิต
“เคล็ดจริงแท้สายสืบทอดที่สมบูรณ์แบบนี้…เหตุใดเผ่าพันธุ์หอยเมฆหมอกของเจ้าจึง…?” ลู่เซิ่งมองฟู่จิ้นอย่างอดไม่ได้
ฟู่จิ้นยิ้มอย่างขื่นขม “เป็นเพราะแม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะแข็งแกร่ง แต่ว่ามันต้องใช้สมบัติฟ้าดินชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือศิลาแปลงมังกร ก่อนหน้านี้หมื่นปีมีศิลาแปลงมังกรอยู่เต็มไปหมด ทว่าตอนนี้ ศิลาแปลงมังกรส่วนใหญ่ถูกเก็บไปหมดสิ้นแล้ว เผ่าพันธุ์ใหญ่ๆ ในทะเลลึกถือครองส่วนที่เหลืออยู่ ส่วนเผ่าพันธุ์เล็กๆ อย่างพวกเรา…” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ก็รับรู้ความหมายได้อย่างชัดเจน
แม้วิชานี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ขาดทรัพยากรที่สำคัญที่สุดไป จึงไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่
แต่พอลู่เซิ่งได้ยินดังนั้น ในใจกลับยังคงยินดี เนื่องจากว่าแต่เดิมนี่เป็นวิชาที่มอบให้เผ่าปีศาจหอยฝึกฝน เขาเป็นมนุษย์ ย่อมฝึกไม่ได้ แต่ความรู้กับประสบการณ์ที่แฝงอยู่ในการอธิบาย กับการฝึกฝนของแต่ละขอบเขตด้านใน จะมีส่วนช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงต่อการใช้ดีปบลูเรียนรู้เคล็ดวิชาของเขา
เคล็ดวิชาไม่ยาวมาก มีแค่สองสามหมื่นตัวอักษร จิตวิญญาณของลู่เซิ่งในปัจจุบันแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ใช้เวลาไม่เท่าไหร่ก็จดจำได้แล้ว
ต่อจากนั้นเขาก็รีบกลับวิมานถ้ำ
หลังจากมีเคล็ดวิชานี้อยู่กับตัว เขาจะสามารถไปถึงขีดจำกัดที่สามารถเลื่อนระดับได้ในรวดเดียว
ถ้าหากการเรียนรู้ไม่เจอข้อจำกัด ครั้งนี้เขาคิดจะลองดูว่าหลังสร้างโอสถแล้ว จะไปถึงระดับสร้างโอสถขั้นเติมเต็ม แล้วทดลองทะลวงระดับทารกจิตต่อได้เลยหรือไม่
เมื่อมีเคล็ดจริงแท้ระดับสูงแบบนี้เป็นสิ่งที่เอาไว้พิจารณา ดีปบลูที่มีระบบการเปรียบเทียบไม่เลวก็สามารถผสมผสานมรรคายุทธ์ ประสบการณ์ และทักษะหลากหลายชนิดที่ครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้เข้าด้วยกันได้อย่างสะดวกสบาย
หลังจากรีบร้อนกลับมาแล้ว
ลู่เซิ่งก็กักตัวฝึกฝนในคืนนั้นทันที การจะเลื่อนสู่ระดับสร้างโอสถ จะต้องเริ่มเลือกว่าจะใช้สิ่งใดแทนวารีฟ้าคราม เพื่อใช้เป็นคุณสมบัติพลังวิญญาณหลักของเคล็ดวิชา
ด้านในวิมานถ้ำสำหรับการกักตน
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านในมีสีหน้าครุ่นคิด
‘วารีฟ้าครามมอบความเย็นกับความเป็นพิษให้แก่ปราณโอสถได้ หากสมบัติฟ้าดินที่ใส่เข้าไปในตอนสร้างโอสถยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้อานุภาพที่ร้ายกาจเท่านั้น ความจริงแล้วคัมภีร์ประกายฟ้าครามสามผสานเป็นเคล็ดจริงแท้ที่พัฒนาและบัญญัติขึ้นอย่างเป็นลำดับ โดยวนเวียนอยู่กับการผสมวารีฟ้าครามเข้าไปให้โอสถภายใน’
หลังจากลู่เซิ่งอ่านเคล็ดหอยกาบทองแปลงมังกรแล้ว โลกทัศน์ก็เปิดกว้างขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สับสนงุงงกับวิชาที่อยู่ต่อจากระดับสร้างโอสถอีกต่อไป และยังมีความรู้ที่สมบูรณ์ต่อระดับการสร้างโอสถภายในโดยรวมแล้วด้วย
‘อย่างนั้นสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่าและดีกว่าวารีฟ้าครามล่ะ’ กายเนื้อในตอนนี้ของเขาสู้ร่างหลักเมื่อก่อนหน้าไม่ได้ ต่อให้เรียนรู้จนได้พลังงานที่น่าหวั่นสะพรึงและแข็งแกร่งเหมือนกับอัคคีอนธการออกมา กายเนื้อของเขาก็รองรับไม่ไหวอยู่ดี
‘ดูเหมือนได้แต่ทำแบบนั้นแล้วสิ…ยังไงก็เคยทำกับของขลังมาก่อนครั้งหนึ่งแล้วนี่นา’
เขานั่งขัดสมาธิหลับตา ตามระดับการควบคุมปราณจริงแท้ของจิตวิญญาณ หากคิดจะเลื่อนสู่ช่วงสร้างโอสถ แค่ให้ดีปบลูเรียนรู้เคล็ดวิชาระดับต่อไป ก็จะทำให้เงื่อนไขต่างๆ สำเร็จได้เอง
ด้านในวิมานถ้ำตกสู่ความเงียบสงัดอย่างรวดเร็ว
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เส้นแสงอ่อนจางหลายสายเริ่มสว่างขึ้นรอบตัวลู่เซิ่ง น้ำทะเลระยิบระยับกระเพื่อมขึ้นรอบๆ ตัวเขา
เสียงคลื่นดังขึ้นในวิมานถ้ำอย่างช้าๆ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ
ลู่เซิ่งพลันลืมตาพร้อมกับอ้าปากพ่นควันขาวอันเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งออกมา ไม่ต่างอะไรกับมู่อวิ๋นหลังจากจบการฝึกฝนในยามปกติ
แต่ผู้ใดก็นึกไม่ถึงว่า โอสถลวงตาในตัวเขาจับตัวกันเป็นของจริงอย่างเงียบเชียบ และเรืองแสงสีทองอร่ามที่สมบูรณ์ไร้รอยตำหนิออกมาในช่วงเวลานี้
เส้นแสงนี้พุ่งออกจากตัวลู่เซิงไปด้านนอกแล้วกลายเป็นเส้นแสงสีฟ้า
เนื่องจากเขาเป็นมารสวรรค์ จึงไม่มีภัยมารใดกล้ามาจู่โจม หากแต่เปลวเพลิงสีแดงเข้มกลุ่มหนึ่งกลับลุกไหม้ขึ้นใต้ที่นั่งของลู่เซิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
……………………………………….