ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 488 ก้าวข้าม (2)
บทที่ 488 ก้าวข้าม (2)
ชายชราแค่นเสียงเย็นชา หลับตาไม่พูดอะไรต่ออีก
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาจากร่างของเขาไปยังร่างของชายหนุ่มหล่อเหลาสองคนที่อยู่ด้านข้าง
“นี่คือมกุฎราชกุมารสองคนของราชวงศ์ราชางูกระมัง อายุยังน้อยอยู่เลย ยังไม่ได้เพลิดเพลินกับชีวิต ก็จะติดตามเผ่าไปปรโลกแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังเสียดายแทนพวกเจ้า”
“เจ้าสำนักโปรด…เมตตาด้วย!” มกุฎราชกุมารคนหนึ่งทนแรงกดดันไม่ได้ โขกศีรษะดังตึงๆ หน้าผากโขกกับพื้นของวังผลึกแก้วที่แข็งแกร่งหลายครั้งจนเลือดโชก เลือดสีน้ำเงินอ่อนไหลไปตามน้ำช้าๆ
“เดรัจ…!” ชายชราผู้นั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงโมโห
โพละ!
เพิ่งจะตะโกนคำแรก ศีรษะของชายชราก็ระเบิดออกในพริบตาเหมือนกับผลแตงโม ศพไร้หัวค้างอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอียงล้มลงกับพื้น
สิ่งสกปรกขุ่นมัวมากมายกระเพื่อมตามน้ำพร้อมกับกระจายออกไปรอบๆ ลู่เซิ่งเก็บพลังอาคมกลับคืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สิ่งสกปรกส่วนหนึ่งค่อยๆ ลอยไปใกล้ตัวเขา แต่พอผู้ครองเขาฉีซันที่อยู่ด้านข้างชี้นิ้ว สิ่งสกปรกทั้งหมดก็หายไป เหมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ราชวงศ์ราชางูพากันกรีดร้อง ราชวงศ์ราชางูเพศหญิงสองนางสลบไสลไปแล้ว
มกุฎราชกุมารคนหนึ่งตัวสั่น สะอื้นเบาๆ อีกคนหน้าซีดขาว ปากพึมพำบางอย่าง
ลู่เซิ่งเห็นว่าข่มขวัญไปพอประมาณแล้ว จึงค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ตอนนี้จงบอกข้ามาว่า การสืบทอดเคล็ดแปลงมังกรที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดในร้อยเผ่าพันธุ์โพ้นทะเลที่เผ่าพันธุ์งูทะเลของพวกเจ้าครอบครองอยู่ อยู่ที่ไหนกันแน่”
“ขอแค่มีใครบอกเบาะแส ข้ารับประกันว่าจะปลดพันธนาการและคืนอิสรภาพให้ทันที นอกจากนี้สำนักสี่สมุทรของข้าจะยังปกป้องคนผู้นั้นหลังจบเรื่องด้วย” ข่งเฟ่ยหัวหน้าเผ่าฉลามทะเลที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริมอย่างเย็นเยียบ
สมาชิกราชางูเศร้าโศกระคนหวาดกลัว ภายใต้แรงกดดันขนาดนี้ ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว เดินออกมา
…
ออกจากวังธาราวารี ลู่เซิ่งนั่งบนรถ เป็นรถม้าอันงดงามที่ใช้อาชาทะเลร่างยักษ์ซึ่งมีสายเลือดเผ่ามังกรในตำนานสี่ตัวลาก ทั้งยังสร้างขึ้นจากผลึกแก้วสีดำกับผงไข่มุกสีม่วง รวมถึงของสมบัติล้ำค่ามากกว่าร้อยชนิด
เคล็ดแปลงมังกรของเผ่างูทะเลที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดในการสืบทอดโพ้นทะเล ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว
ปัจจุบันลู่เซิ่งได้เก็บเคล็ดวิชาทั้งหมดที่มีค่าจากร้อยเผ่าพันธุ์โพ้นทะเลเข้าสำนักทั้งหมดแล้ว เขาเข้าใจเคล็ดวิชาการฝึกฝนของเผ่าพันธุ์ทะเล เผ่าพันธุ์ปีศาจ ฝ่ายนอกรีต และฝ่ายธรรมะอย่างทะลุปรุโปร่ง
รถม้าสีดำลอยขึ้นจากน้ำแล้วแล่นไปตามคลื่น จอมเทวะสามคนติดตามอยู่ใกล้ๆ ด้านหลังมีแม่ทัพปีศาจเผ่าฉลามทะเลมากกว่าร้อยนายเป็นทัพติดตาม
กองทัพมีความยิ่งใหญ่กว่าเผ่าพันธุ์ทะเลจำนวนหนึ่งในตำนานเมื่อครั้งอดีตเสียอีก
ลู่เซิ่งที่อยู่บนรถม้าพลิกอ่านเคล็ดอสรพิษสวรรค์โปรดโลกาในมือ ใจความสำคัญในแผ่นหยกคือวิธีการหลอมสลายเลือดของตนให้บริสุทธิ์
เคล็ดวิชาเคล็ดนี้มีความซับซ้อนถึงขีดสุด เป็นวิชาที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ลู่เซิ่งเคยเห็นมา ต่อให้จะอยู่ในต้าอิน ก็ไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาที่ซับซ้อนแบบนี้มาก่อน
ต้องใช้เวลาฝึกทั้งหมดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าปี ราชางูที่ฝึกฝนเคล็ดอสรพิษสวรรค์โปรดโลกาจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งและกลั่นหลอมสายเลือดให้บริสุทธิ์จนถึงระดับที่ห้าของเคล็ดวิชา
ตอนสุดท้ายจิตวิญญาณจะเกาะติดกับสายเลือด จากนั้นสารกาย ปราณ จิตจะรวมเป็นหนึ่ง แล้วกระตุ้นพลังแห่งสายเลือด ชักนำหยินหยางภายนอกมาปรับสมดุลและชดเชย สุดท้ายค่อยทะลุกายออกมา สำเร็จร่างเทพมังกร
‘เคล็ดวิชานี้…มีกระบวนการมากมายเหมือนกับวิถีแปดมารสูงสุดของเรา ตามบันทึกของมัน หากนำระดับพลังของวิถีแปดมารสูงสุดของเราในตอนนี้มาลองคำนวณเทียบดู น่าจะอยู่ในระดับสามร้อยยี่สิบถึงสามร้อยห้าสิบ’
ลู่เซิ่งคลำบางอย่างออกคร่าวๆ
‘ตอนนี้สั่งสมได้พอประมาณแล้ว หลังจากมีเคล็ดอสรพิษสวรรค์โปรดโลกานี้ เส้นทางในภายหลังของเราจะยิ่งมีโอกาสมากกว่าเดิม’ ลู่เซิ่งเก็บแผ่นหยกพร้อมกับปรับสภาพร่างกายเล็กน้อย
‘ร่างกายก็ปรับตัวเกือบเสร็จแล้วพอดี สามารถเลื่อนไประดับต่อไปได้แล้ว’
เขาเรียกดีปบลูออกมาอย่างคุ้นเคย ก่อนจะกดปุ่มปรับเปลี่ยน หลังเครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหวน้อยๆ เขาก็มองไปยังเคล็ดวิชาปริศนา จากนั้นก็กดลงบนปุ่มเรียนรู้อย่างช่ำชอง
ในสถานการณ์ที่ร่างกายปรับตัวเสร็จแล้ว พลังอาคมกลายเป็นปราณทารกใหม่อย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะทะลักเข้าไปในร่างทารกจิต แม้แต่ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็ไม่จำเป็นต้องดูดซับ ใช้วิธีง่ายๆ แค่นี้ บนร่างลู่เซิ่งก็เกิดการสั่นไหวน้อยๆ ก่อนที่จะก้าวข้ามจากระดับทารกจิตช่วงต้นสู่ระดับทารกจิตช่วงกลางทันที
[คัมภีร์ฟ้าคราม: ขอบเขต—ทารกจิตช่วงกลาง คุณสมบัติ: ปราณทารกแปดพันเท่า, ใกล้ชิดห้วงสมุทร]
‘ผลเพิ่มพลังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าปกติ ปกติแล้วขอแค่เป็นคนที่เลื่อนสู่ระดับทารกจิตแล้ว จะสามารถบรรลุระดับทารกจิตช่วงกลางได้ผ่านการสั่งสมพลังฝึกปรือ ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น สิ่งที่ยากจริงๆ คือช่วงปลาย’
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าในร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติอะไรมากนัก เพียงแต่พลังอาคมเพิ่มขึ้นมามากกว่าครึ่ง และรู้สึกว่าร่างกายติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยคล่องแคล่วเท่าไหร่
‘อือ…วันนี้พอก่อน พรุ่งนี้ค่อยเลื่อนสู่ช่วงปลาย พื้นฐานสำคัญที่สุด จะรีบร้อนไม่ได้’ ความจริงเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานมากที่สุดมาโดยตลอด พึงทราบว่าพื้นฐานเหมือนรากฐานที่แข็งแกร่งของตึกใหญ่ระฟ้า ถ้าหากฐานไม่แข็งแรง จะสร้างตึกสูงเท่าไหร่ สุดท้ายก็มีแต่จะถล่มลงมาเท่านั้น
‘ถ้าหากฝืนเลื่อนระดับเพราะรีบร้อนไปชั่วขณะ การสร้างรากฐานในอนาคตจะไม่มั่นคง ทำให้เกิดความไม่เหมาะสมตามมา’
ที่ผ่านมาเร่งฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด ลู่เซิ่งจึงตัดสินใจปล่อยให้ตัวเองได้พักสักหน่อย
ภารกิจมากมายบนโพ้นทะเลได้รับการจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเดินทางไปจงหยวนเพื่อแก้กรรมอีกกรรมของมู่อวิ๋นเต้าหยินสักที
ถือโอกาสแวะพักผ่อนท่องเที่ยวไปด้วย
นึกถึงตรงนี้ เขาขยับริมฝีปากน้อยๆ ส่งกระแสเสียงออกไป
องครักษ์เผ่าฉลามทะเลที่ติดตามอยู่ด้านนอก ขึ้นรถมาอย่างนอบน้อม
“เจ้าสำนักมีคำสั่งใดหรือ” ชายฉกรรจ์ที่มีศีรษะเป็นปลาฉลามร่างเป็นมนุษย์ผู้นี้คุกเข่าโขกศีรษะอย่างเคารพ ท่าทีศรัทธาเหมือนกับสาวกอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า
“ส่งคำสั่งให้หัวหน้าเผ่าเงือกมาพบข้า” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสบายๆ ตอนนี้เขาอยู่ในระดับทารกจิตช่วงกลาง ไอน้ำรอบตัววนเวียนรวมตัวโดยธรรมชาติ ห้วงทะเลปล่อยกลิ่นอายออกมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างเป็นมิตรถึงขีดสุด ปรากฎการณ์พิสดารนี้ไม่มีคลื่นพลังอาคมแม้แต่น้อย หากเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของตัวมหาสมุทรเอง
สิ่งนี้ทำให้องครักษ์ใกล้ชิดผู้นี้ยำเกรงยิ่งกว่าเดิม
“ตามประสงค์ของท่านเจ้าสำนัก” องครักษ์ใกล้ชิดถอยออกไป
ลู่เซิ่งส่งกระแสเสียงไปอีกหลายประโยค ไม่นานผู้ครองเขาฉีซันในจอมเทวะสามคนก็เข้ามาในรถม้า
“เจ้าสำนักมีคำสั่งใดหรือเจ้าคะ”
เวลานี้ผู้ครองเขาฉีซันเห็นไอน้ำทางธรรมชาติรอบๆ ตัวลู่เซิ่งแล้ว แต่นางมีความรู้เยอะจึงไม่ได้คิดอะไร เผ่าพันธุ์ที่มีสายเลือดโบราณมากมายล้วนมีปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้
“ผู้ครองเขารู้จักจงหยวนดีไหม” ลู่เซิ่งบุ้ยใบ้ให้นางนั่งลง ก่อนจะถามตรงๆ
“เจ้าสำนักเรียกบ่าวว่าหลิ่วเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ นี่เป็นชื่อจริงที่บ่าวเคยใช้มาก่อน” ผู้ครองเขาฉีซันกล่าวเสียงอ่อนโยน
ตอนนี้นางเปลี่ยนหางงูท่อนล่างเป็นสองขาขาวผ่อง ปล่อยผมยาวสีดำถึงเอวด้านหลังอย่างเรียบร้อย และสวมชุดกระโปรงสีดำอันงดงามที่ขับเน้นรูปร่างอันยั่วยวนอย่างสมบูรณ์แบบ
เวลานี้นั่งหันหน้าเข้าหาลู่เซิ่ง เอียงขายาวที่ชิดกันอยู่ไปทางขวา หว่างขาไม่มีร่องแยกแม้แต่น้อย ข้างใต้ชายกระโปรงใบบัวที่ปล่อยลงมาคือสองขาเรียวยาวที่เนียนละเอียดและขาวราวหิมะ
“ถ้าเป็นจงหยวน ข้าเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมากกว่าร้อยปี จำได้ว่าตอนนั้นยังเป็นยุคสงครามสิบรัฐ ตอนนี้เวลาล่วงเลยไป เกรงว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้าสำนักคิดจะไปยังจงหยวนแผ่นดินใหญ่หรือเจ้าคะ” ผู้ครองเขาฉีซันถามอย่างระมัดระวัง
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังปรับมุมท่านั่งอยู่ ด้านในรถมีกลิ่นหอมจางๆ แผ่กระจาย หน้าอกหน้าใจของหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านชูตระหง่านอย่างงดงามกว่าเดิม นางอ้าสองขาออกน้อยๆ เหมือนตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจ ชายกระโปรงที่สั้นและคับติ้วขยับเบาๆ ตามท่านั่งและท่อนขา เผยให้เห็นทิวทัศน์งดงามลี้ลับที่วับแวมใต้กระโปรง
ลู่เซิ่งมองหลิ่วเอ๋อร์อย่างชื่นชม ชั่วขณะนั้นเขาเหมือนเห็นภาพหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบในใจตนเองจากร่างของอีกฝ่าย
หญิงสาวงดงามมีอยู่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ หากเป็นการที่หญิงงามซึ่งสอดคล้องกับอุดมคติของท่านนั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่ท่านกลับรู้ว่านางรักท่าน ไม่ว่าท่านจะให้นางทำอะไร นางล้วนมีแต่จะกึ่งปฏิเสธกึ่งยินยอม
เวลานี้เป็นเวลาที่อันตรายที่สุดอย่างแท้จริง
“วิชาเสน่ห์ไม่เลวทีเดียว” ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก กลิ่นหอมเข้มข้นที่ตลบอบอวลในรถถูกพลังปอดที่ทรงพลังของเขากวาดจนเกลี้ยงในพริบตา
วินาทีนี้เขาไม่ได้ใช้กายเนื้อนี้ดูดซับอีกต่อไป หากเป็นร่างหลักที่ดูดกลิ่นหอมซึ่งวิชาเสน่ห์ปล่อยออกมาจนหมด
ผู้ครองเขาฉีซันเกือบหน้าเขียว นางพยายามปล่อยกลิ่นเสน่ห์ทั้งหมดออกมาทันทีที่ขึ้นรถ กลิ่นหอมที่แข็งแกร่งซึ่งทำให้จิตวิญญาณของคนมากกว่าร้อยคนพลิกคว่ำได้นี้ ตอนนี้โดนเจ้าสำนักสี่สมุทรผู้นี้ดูดไปจนเกลี้ยงไม่เหลือสักหยดเดียว
“ขอบคุณเจ้าสำนักที่ชมเชย…” นางเค้นรอยยิ้ม รู้สึกว่าวิชาเสน่ห์ที่ตนฝึกมาทั้งชีวิตช่างเสียเปล่า ถึงกับไม่มีผลต่อจอมสัจจะกลืนสมุทรผู้นี้แม้แต่น้อย
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะเจ้าดูสบายตา ครั้งนี้ให้ตามข้าไปจงหยวน และช่วยข้าจัดการภารกิจทั่วไป” ลู่เซิ่งกล่าวตามตรง
“เจ้าสำนักอยากจะยึดตรงไหนของจงหยวนหรือ จงหยวนมีอาณาเขตกว้างขวาง แม้จะไม่เท่าเขตทะเลของสี่สมุทร แต่ก็กว้างใหญ่ มีสถานที่ดังๆ หลายแห่ง ค่อนข้างน่าอยู่ทีเดียว” หลิ่วเอ๋อร์ปรับสภาพจิตใจ เก็บวิชาเสน่ห์ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข่าจะไปเขตเขาอู๋ซันของรัฐจ้าว เจ้าช่วยจัดการที” ลู่เซิ่งเอ่ย
เขตเขาอู๋ซันเป็นบ้านเกิดในอดีตของนักพรตมู่อวิ๋น และเป็นสถานที่ที่เขาในชาติที่สามใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลายี่สิบกว่าปี
ที่นั่นเคยมีครอบครัว สหาย พี่น้อง และคนรักของเขา…
เดิมทีเขาควรจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีสหายพี่น้องที่สนิทสนม รวมถึงคนรักที่รักกันและกันในชาติที่สาม
น่าเสียดายที่แผนการของวิถีธรรมะทำลายทุกอย่างจนป่นปี้ เขาได้แต่เลือกหายตัวไป หันหลังให้แก่บ้านเกิด และหนีออกโพ้นทะเลเพราะไม่อยากให้ครอบครัวกับมิตรสหายลำบากไปด้วย
นี่เป็นสาเหตุหลักที่เขาเกลียดวิถีธรรมะเข้ากระดูกดำ ถึงขั้นเปลี่ยนความแค้นนี้ให้กลายเป็นกรรมและซ่อนมันไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
“รัฐจ้าว…ที่นั่นมีภูมิประเทศรกร้าง อำนาจรัฐไม่นับว่าแข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะผลิตแร่เหล็กและแร่สำริด จึงไม่อ่อนแอ ที่นั่นอยู่นอกเหนืออำนาจของบ่าว เพราะเป็นอาณาเขตของสำนักรุ้งน้ำแข็งแห่งฝ่ายธรรมะ สำนักรุ้งน้ำแข็งเป็นสำนักฝ่ายธรรมะอันดับสามที่อยู่ใต้วิถีธรรมะ จอมสัจจะชาดผนึกซึ่งเป็นเจ้าสำนักเคยพบกับบ่าวมาก่อน แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกอะไร” หลิ่วเอ๋อร์อธิบายอย่างละเอียด
“แต่เผ่านางเงือกมีการแต่งงานบนจงหยวนมากมาย อาจจะให้คนที่มีสถานะเหมาะสมมุ่งหน้าไปได้”
“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ข้าได้เรียกเผ่านางเงือกมาแล้ว”
เขาคำนวณไว้ว่า หากครั้งนี้ราบรื่น หลังจากแก้กรรมที่บ้านเกิดเสร็จ ก็จะไปชำระบัญชีที่วิถีธรรมะต่อทันที
การเดินทางครั้งนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือน
ตอนนั้นเขาน่าจะมีพลังฝึกปรือถึงระดับทารกจิตช่วงปลายอย่างมั่นคงแล้ว แถมการเรียนรู้เพื่อเลื่อนระดับในภายหลังยังมีเค้าโครงแล้วเช่นกัน หากว่าราบรื่น เพียงพยายามเล็กน้อย ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับปฐมจิตในตำนานที่ไม่เคยปรากฏมาเป็นเวลาหลายพันปีได้ก็ได้
……………………………………….